พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ เป็นแหล่งรวบรวมและอนุรักษ์ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในกิจการทหารเรือ ที่เคยใช้งานจริงในกองทัพเรือไทย ทั้งยังจัดแสดงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เรือจำลองสมัยต่างๆ เพื่อเป็นการให้ความรู้ บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เหมาะกับการพาครอบครัวมาเที่ยวชมในวันหยุด นักเรียนนักศึกษามาทัศนศึกษา เป็นการได้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท เดินทางสะดวก มาโดยรถโดยสารก็ไม่ยุ่งยาก มีรถเมล์ผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์หลายสาย
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนนายเรือ บนถนนสุขุมวิท ตรงตามถนนสุขุมวิทมาทางจังหวัดสมุทรปราการ ก่อนถึงตัวเมืองปากน้ำ (ห่างจากตัวเมืองปากน้ำเพียง1 กิโลเมตร) หน้าพิพิธภัณฑ์มีรถเมล์ผ่าน และเมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเปิดให้บริการ ก็สามารถนั่งมาลงสถานีโรงเรียนนายเรือ แล้วเดินเข้าพิพิธภัณฑ์ได้สะดวก
ด้วยกองทัพเรือ ได้มีโครงการปรับปรุงกองประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือ จึงกำหนดให้มีแผนกพิพิธภัณฑ์ขึ้น โดยสร้างเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ในพื้นที่ของกองทัพเรือที่อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนนายเรือ เริ่มสร้างอาคารแรก เมื่อปี พ.ศ.2514 แล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนเข้าชมในปี พ.ศ.2515 หลังจากนั้นได้สร้างอาคารหลังที่ 2 และเปิดให้เข้าชมในปี พ.ศ.2530
เมื่อเข้าไปภายในพื้นที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ บริเวณด้านหน้าจะเห็นเครื่องบินจอดเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นเขตราชนาวี ขับรถเข้าไปแลกบัตรแล้วตรงเข้าไปจอดด้านในได้เลย มีลานจอดรถกลางแจ้งจอดได้สะดวก ภายในพิพิธภัณฑ์ แบ่งส่วนของการจัดแสดงไว้ทั้งนอกอาคาร และภายในตัวอาคาร 2 อาคาร
การจัดแสดงกลางแจ้ง
เป็นการนำเครื่องบิน ชิ้นส่วนเรือ อาวุธ และวัตถุขนาดใหญ่ มาจัดแสดงไว้ในบริเวณสนามหญ้า และบริเวณรอบนอกอาคาร เพื่อให้เดินชมรอบๆ ได้ด้วย
- เครื่องบิน Grumman HU-16B Albatross (7235)
เครื่องบินลำนี้เป็นของกองทัพเรือ เคยประจำการตั้งแต่ พ.ศ.2511 - 2523 (12 ปี) เป็นเครื่องบินสำหรับการลาดตระเวน ตรวจการณ์ ค้นหา และช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล
- ชิ้นส่วนเรือดำน้ำมัจฉานุ (HTMS Matchanu)
เรือมัจฉานุเป็นหนึ่งในเรือดำน้ำประจำกองทัพเรือไทยในอดีต ที่สร้างขึ้นพร้อมกัน 4 ลำ ได้แก่ เรือหลวงมัจฉานุ* เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุทร และ เรือหลวงพลายชุมพล เรือทั้งหมดต่อขึ้นที่อู่ต่อเรือเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น เรือหลวงมัจฉานุสร้างพร้อมขึ้นกับวิรุณ วางกระดูกงูเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2479 และเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ได้ขึ้นระวางประจำการตั้งแต่ พ.ศ.2481 - 2494 (ใช้งานมา 13 ปี) เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำนี้เคยได้ร่วมรับใช้ชาติเมื่อครั้งกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส ช่วงเหตุการณ์ยุทธนาวีเกาะช้าง ส่วนที่จัดแสดงกลางแจ้งอยู่นั้นเป็นส่วนของหอบังคับการ อาวุธปืน และกล้องส่อง ส่วนลำเรือนั้นได้ขายให้กับบริษัทปูนซีเมนต์ไทยไปแล้ว
* มัจฉาณุ เป็นตัวละครหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นลูกของหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉา (นางเงือก) มีร่างเป็นลิงหางเป็นปลา
- เรือตรวจการณ์ลำน้ำ (Patrol Boat River : PBR) เป็นเรือไฟเบอร์กลาส ติดอาวุธปืน และเครื่องยิงลูกระเบิดกล ใช้ในการลาดตระเวนลำน้ำ
- รถสะเทินน้ำสะเทินบก (Landing Vehicle Track : LVT แบบ 4) จัดซื้อมาในปี พ.ศ.2490 เป็นลักษณะคล้ายรถถังตีนตะขาบ สามารถปฏิบัติการได้ทั้งบนบกและในน้ำ
- ปืนใหญ่โบราณ จัดแสดงอยู่ด้านหน้าอาคารเป็นปืนใหญ่บรรจุกระสุนด้านหน้า มีวิถีกระสุนตรง สันนิษฐานว่ามีการเริ่มใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
- ปืนล้อสนาม
- ปืนเรือขนาด 75/51 มม.
- รถหุ้มเกราะคอมแมนโด V-150
อาคาร 1
อาคาร 1 เป็นอาคารเทิดพระเกียรติ ที่จัดแสดงประวัติบุคคลสำคัญต่อกองทัพเรือ
ชั้น 1
- ห้องเทิดพระเกียรติพลเรือเอก พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จัดเป็นมุมให้ถวายการสักการะกรมหลวงชุมพรฯ มีการแสดงประวัติ และเครื่องใช้ของท่าน
- ห้องเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
- ห้องสรรพาวุธ จัดแสดงอาวุธต่างๆ ที่ใช้ในกองทัพเรือ เช่น ปืนต่อสู้อากาศยาน
นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่เคยใช้ในกองทัพเรือ เช่นเข็มทิศเดินเรือ ระฆังประจำเรือหลวง ครุฑที่เคยติดประจำที่หัวเรือ ตราสัญลักษณ์ต่างๆ
ชั้น 2
- ห้องเทิดพระเกียรติ จอมพลเรือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
- ห้องเทิดพระเกียรติ จอมพลเรือ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ุ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
- ห้องเครื่องลายคราม
- ห้องธงราชนาวีและธงที่ใช้ในกองทัพเรือ
- ห้องอดีตผู้บัญชาการทหารเรือ
อาคาร 2
อาคาร 2 เป็นอาคารจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวีรกรรมของราชนาวีไทย อาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ของชาวเรือ เรือพระที่นั่งจำลอง และการจัดกระบวนเรือในงานพระราชพิธี
ชั้น 1
ชั้น 1 เป็นอาคารที่มีใต้ถุนสูง เปิดโล่ง ใช้ในการจัดแสดงอุปกรณ์ที่เคยใช้งานในอดีต เช่น ปืนเที่ยงสมัยรัชกาลที่ 5 ดวงไฟประภาคารแห่งแรกของประเทศไทย ท่อยิงตอร์ปิโด ทุ่นระเบิด เรือโบราณสุวรรณเหรา เป็นต้น
- ปืนเที่ยง สมัยรัชกาลที่ 5 มีลักษณะเหมือนปืนใหญ่กระบอกเล็ก ติดล้อไว้สำหรับลากไปมาได้ ปืนเที่ยง เป็นปืนที่ใช้บอกเวลาในสมัยก่อน ในยุคที่ยังไม่มีการใช้นาฬิกาใช้กัน ทางหน่วยงานราชการจะใช้การยิงปืนใหญ่เพื่อใช้เสียงบอกเวลาแทน ใครที่ได้ยินเสียงยิงปืนใหญ่ ก็เป็นอันรู้โดยทั่วกันว่าเป็นเวลาเที่ยง การยิงปืนเที่ยง จะใช้กันในเขตเมืองพระนคร หัวเมืองใหญ่ หรือจุดที่เป็นศูนย์กลางความเจริญ ดังนั้นคนในเมืองจึงได้ยินเสียงปืนชัดเจน ส่วนคนที่อยู่ไกลออกไปก็อาจจะได้ยินเสียงเบา หรือไม่ได้ยินเลย ทำให้เกิดสำนวนไทยที่ว่า "ไกลปืนเที่ยง" หมายถึงผู้ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ไกลจากการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การบอกเวลาด้วยเสียงปืนนี้ ได้ยกเลิกไปหลังจากที่มีการใช้ไฟฟ้า และวิทยุ เข้ามา ได้มีประกาศกระทรวงกลาโหม ยกเลิกการยิงปืนเที่ยง เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2477
- โคมไฟประภาคาร* มีลักษณะเหมือนโคมครอบตะเกียง โคมครอบใช้เลนส์แบบ Fresnel Lense ที่มีมุมหยักไปมาที่ผนังโคม เพื่อช่วยลดความหนา และระยะโฟกัสของเลนส์ โคมไฟนี้เคยใช้งานที่ "ประภาคารสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา" หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "กระโจมไฟสันดอน" (ในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Regent Lighthouse ที่หมายถึง ประภาคารของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน) ซึ่งเป็นประภาคารแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดสมุทรปราการ (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) ประภาคารนี้สร้างขึ้นสมัยต้นรัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)** ได้บริจาคทุนทรัพย์ส่วนตัวในก่อสร้างและยกให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.2413 เปิดให้ใช้งานเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2417 ถึงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2472 จึงได้เลิกใช้ (ใช้งานมาเป็นระยะเวลา 55 ปี)
* ประภาคาร หรือกระโจมไฟ (Lighthouse) เป็นเครื่องช่วยในการเดินเรือ โดยใช้แสงไฟแสดงตำแหน่งเพื่อให้เรือเดินทางได้สะดวกปลอดภัย ส่วนใหญ่จะทำเป็นหอคอย หรืออาคารที่ติดโคมไฟขนาดใหญ่ไว้บนส่วนบนของอาคาร ใช้ในการส่งสัญญาณไฟที่สว่างมากๆ ประภาคารมักจะสร้างไว้บริเวณปากทางเข้าอ่าว ปากแม่น้ำ ท่าเรือ หรือแสดงจุดอันตราย ที่นักเดินเรือควรระวัง ประภาคารในประเทศไทย หากอยู่ในทะเล หน่วยงานรับผิดชอบคือกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ หากตั้งอยู่ในแม่น้ำจะอยู่ในความรับผิดชอบของกรมเจ้าท่าและการท่าเรือแห่งประเทศไทย
** สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการ (บริหารราชการแผ่นดินแทน) ในรัชกาลที่ 5 ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ เพราะพระองค์มีพระชนมพรรษาเพียง 15 ปี
- เรือสุวรรณเหรา*** เป็นเรือโบราณที่กรมศิลปากรมอบให้จัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ เรือไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม ส่วนหัวเป็นรูปสัตว์หิมพานต์ (ตัวเหรา) ตัวเรือติดปืนใหญ่ขนาดเล็กโผล่ออกมาให้เห็น ตรงกลางมีเก๋ง ทำเป็นห้องเล็กๆ มีหน้าต่างบานเกร็ดปิด-เปิดได้ เรือลำนี้เป็นเรือสำหรับพระเจ้าแผ่นดินยามเสด็จออกไปประทับแรมในที่ห่างไกล เรือสุวรรณเหรานี้เป็นงานช่างฝีมือในสมัยรัชกาลที่ 5 จัดเป็นเรือประเภท เรือพระที่นั่งศรี คือเรือสำหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงใช้เวลาเสด็จลำลอง หรือใช้เป็นเรือพระประเทียบ (เรือสำหรับเจ้านายฝ่ายใน เมื่ออยู่ในกระบวนเรือพระราชพิธี)
*** เหรา (อ่านว่าเห-รา) เป็นคำเรียกสัตว์ในป่าหิมพานต์ประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะครึ่งนาคครึ่งมังกร
- ตอร์ปิโด (Topedo) เป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่สามารถขับเคลื่อนได้เองใต้น้ำ เป็นเหมือนจรวด หรือลูกระเบิดที่วิ่งในแนวระนาบตรงเข้าสู่เป้าหมาย เมื่อวิ่งไปโดนเป้าหมาย (เรือข้าศึก) ดินระเบิดที่บรรจุไว้ที่หัวตอร์ปิโดก็จะระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง มีผลให้เรือข้าศึกถูกทำลาย
ตอร์ปิโดรุ่นแรกที่ประเทศไทยสั่งมาใช้คือ "45 ก." (เลข 45 หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางตอร์ปิโด ส่วนอักษร ก. หมายถึงแบบแรกที่สั่งซื้อมา ชุดแรกมาจากญี่ปุ่นจำนวน 18 ลูก ซื้อเมื่อ พ.ศ.2451ต่อมาก็ได้ชื้อเป็นแบบ 45 ข. 45 ค. สำหรับตอร์ปิโดที่ประเทศไทยใช้นั้น นำเข้ามาจากประเทศเดนมาร์ก ระยะยิงวิถีตรงอยู่ที่ 8 กิโลเมตร (สมัยก่อนสั่งยิงตรงได้อย่างเดียว)
ชั้น 2
ชั้น 2 เป็นส่วนที่อยู่ด้านบนอาคาร มีลักษณะเป็นห้องโถงโล่งกว้าง ตรงกลางจัดวางเรือพระที่นั่ง และเรือในพระราชพิธีขนาดใหญ่หลายลำ (เป็นเรือที่จำลองมา) โดยจัดตามรูปขบวนเรือพระราชพิธี เรือเหล่านี้เป็นฝีมือช่างในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทางกรมศิลปากรมอบให้พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ นำมาจัดแสดง บริเวณตรงกลางนี้จะเป็นพื้นที่ที่ไม่ให้เข้าไป แต่สามารถ่ายรูปได้ (ขึ้นไปถ่ายรูปบนชั้น 2 ก็เป็นมุมที่จะได้เห็นเรือได้ทั้งหมด) นอกจากนี้ยังมีครุฑประจำหัวเรือ เรือรบสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เครื่องมือเดินเรือและอุปกรณ์ต่างๆ
ชั้น 3
ชั้น 3 มีลักษณะเป็นแนวทางเดินซ้ายขวา ส่วนกลางเปิดโล่ง ให้มองลงไปยังชั้นล่างตรงที่จัดเรือพระราชพิธีไว้ได้ ชั้น 3 นี้เป็นการจัดนิทรรศการพิเศษ แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์สำคัญในต่างๆ และการเข้าร่วมในการสู้รบของทหารเรือในช่วงเวลาต่างๆ มีทั้งคำบรรยาย ภาพประกอบ ภาพจำลอง ได้แก่ เรือดำน้ำของไทยในอดีต การรบที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ร.ศ.112 วีรกรรมที่ดอนน้อย สงครามเกาหลี สงครามมหาเอเชียบูรพา เหตุการณ์ยุทธการบ้านชำราก ยุทธนาวีที่เกาะช้าง เป็นต้น
ข้อแนะนำ
- ไม่เสียค่าธรรมเนียมเข้าชมพิพิธภัณฑ์ทั้งส่วนกลางแจ้ง และภายในตัวอาคาร
- เมื่อผ่านประตูทางเข้าจะต้องแลกบัตร เพื่อเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์
- การเข้าชมเป็นหมู่คณะ สามารถติดต่อวิทยากรในการนำบรรยายได้
- ภายในพิพิธภัณฑ์สามารถถ่ายรูปได้
การเดินทาง
ห่างจากตัวเมืองปากน้ำ (ศาลากลาง) 1 กิโลเมตร
ห่างจากพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ 2 กิโลเมตร
ห่างจากฟาร์มจระเข้ 5 กิโลเมตร
ห่างจากแยกบางนา 8 กิโลเมตร
ห่างจากเมืองโบราณ 9 กิโลเมตร
ห่างจากสถานตากอากาศบางปู 13 กิโลเมตร
เส้นทางรถยนต์
เส้นทาง ถนนสุขุมวิท
1 | หากใช้เส้นทางถนนสุขุมวิท (ขาออก) จากแยกบางนา มุ่งหน้าสมุทรปราการ ผ่านแบริ่ง สำโรง แยกเทพารักษ์ แยกปู่เจ้าสมิงพราย พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ จากนั้นไปอีกไม่ไกลนัก จะเห็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์ทหารเรืออยู่ทางซ้ายมือ (อยู่ตรงกับรถไฟฟ้า BTS สถานีโรงเรียนนายเรือพอดี |
เส้นทาง ถนนวงแหวนรอบนอก (ถนนกาญจนาภิเษก) -> ถนนสุขุมวิท
1 | หากใช้เส้นวงแหวนรอบนอก (ถนนกาญจนาภิเษก) ให้ออกตามป้าย ถนนสุขุมวิท จากนั้นชิดซ้ายมุ่งหน้าสมุทรปราการ |
2 | เมื่อออกจากทางด่วน จะเป็นถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าสมุทรปราการ จากนั้นตรงไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ อยู่ซ้ายมือ |
เส้นทาง ถนนวงแหวนอุตสาหกรรม (สะพานภูมิพล 2) -> ถนนสุขุมวิท
1 | หากมาจากถนนสุขสวัสดิ์ เมื่อผ่านแยกวัดสนมาแล้ว เลี้ยวซ้ายตามป้ายขึ้นสะพานภูมิพล |
2 | จากนั้นไปทางสะพานภูมิพล 2 ตามป้าย ถนนกาญจนาภิเษก เพื่อไปทางบางนา แล้วมาลงที่ถนนสุขุมวิท ตอนลงชิดซ้ายไปทางสมุทรปราการ |
3 | จากนั้นตรงไปราว 2 กิโลเมตร พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ อยู่ซ้ายมือ |
รถโดยสารประจำทาง (ดูรายละเอียด รถประจำทาง)
รถเมล์ (ถนนสุขุมวิท)
- ขึ้นรถเมล์ที่ผ่านเส้นสุขุมวิท เข้าสู่ตัวจังหวัดสมุทรปราการ รถเมล์ที่ผ่านได้แก่ สาย 25, 102, 142, 507, 511, 536 ลงรถหน้าพิพิธภัณฑ์ทหารเรือเลย
รถไฟฟ้า BTS (สำโรง) + รถเมล์
- ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสำโรง (ทางออก 1) จากนั้นเดินสกายวอล์คไปทางอิมพีเรียล สำโรง ลงสะพานลอยฝั่งตรงข้ามอิมพีเรียล
- จากนั้นต่อรถเมล์ได้ทุกสายที่บอกว่าไปปากน้ำ เช่น สาย 25, 102, 142, 507, 511, 536, 365 ลงป้ายหน้าพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ
รถไฟฟ้า BTS โรงเรียนนายเรือ (จะเปิดใช้ในปี 2561-2562)
- ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีโรงเรียนนายเรือ จะถึงหน้าพิพิธภัณฑ์เลย
ข้อมูลการติดต่อ พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ
เวลาเปิด: ทุกวัน 9.00 - 15.30 น. (หยุดวันนักขัตฤกษ์)
ที่อยู่ 99 ถนนสุขุมวิท ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ 10270
โทร. 02-394-1997, 02-745-3808
เว็บไซต์ http://www.navy.mi.th/navalmuseum