วัดทรงธรรมวรวิหาร (Wat Songdham Worawihan) อำเภอพระประแดง เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองนครเขื่อนขันธ์ ในสังกัดรามัญนิกาย วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเป็นวัดแรกพร้อมการสร้างเมือง ที่มีประวัติความเป็นมานานกว่า 200 ปี เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวมอญที่อยู่ในถิ่นฐานพระประแดง ภายในวัดมีพระมหาธาตุรามัญเจดีย์ในรูปแบบมอญ เสาหงส์ ธงตะขาบ สัญลักษณ์แสดงตัวตนของชาวมอญ ที่ได้รับการสืบทอดทางวัฒนธรรมประเพณีมาจนถึงปัจจุบัน และที่วัดยังเป็นศูนย์กลางการจัดงานประเพณีแห่หงส์ ธงตะขาบ ในช่วงสงกรานต์ประจำทุกปีอีกด้วย การเดินทางมาวัดสะดวก หาง่าย อยู่ใกล้ตลาดพระประแดง
วัดทรงธรรมวรวิหาร เป็นวัดที่มีเส้นทางเข้าออกได้หลายทาง เดินทางมาได้จากถนนหลายสาย ประตูทางเข้าออกวัดมี 2 ประตู ประตูนึงติดถนนทรงธรรม ส่วนอีกประตูอยู่บนถนนเพชรหึงษ์ วัดตั้งอยู่ติดกับโรงเรียนวัดทรงธรรม ไม่ไกลจากตลาดพระประแดง ท่าน้ำพระประแดง และสวนสุขภาพลัดโพธิ์ ภายในวัดมีลานจอดรถสะดวก
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 พระองค์โปรดให้ ชาวมอญที่อพยพมาจากประเทศพม่า ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยให้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ต่อมาในปี พ.ศ.2357 - 2358 ทรงรับสั่งให้สร้างป้อมปราการ และตั้งเมืองใหม่ขึ้นในเขตปากน้ำ จึงได้ขอให้ย้ายครัวชาวมอญกว่า 300 ครอบครัว มาช่วยสมทบในการสร้างป้อมเพื่อเป็นหน้าด่านทางทะเล และเป็นชาวเมืองใหม่ ประจำ ณ ที่แห่งนี้ โดยให้กรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ (จุ้ย)* เป็นแม่กองในการสร้้างเมือง และพระราชทานชื่อเมืองนี้ว่า "นครเขื่อนขันธ์" พร้อมกันนั้นได้สร้่างวัดทรงธรรม ให้เป็นศูนย์รวมจิตใจแก่ชาวมอญ ได้ใช้ประกอบกิจต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนา หลังจากกรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์สิ้น ก็โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพ มาเป็นแม่กองช่วยสานต่อเนื่อง สร้างเมืองเพิ่มเติม ในปีพ.ศ.2363 และมาสร้างป้อมปราการที่ชื่อว่า “ป้อมเพชรหึง” ไว้ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าวัดทรงธรรม
* กรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ (หรือสมเด็จพระบวรเจ้ามหาเสนานุรักษ์) เป็นน้องชายร่วมมารดาเดียวกันกับรัชกาลที่ 2 ได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นพระราชวังบวรสถานมงคล (มักเรียกว่าวังหน้า คือผู้มีสิทธิ์เป็นกษัตยริย์องค์ต่อไป) เป็นผู้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระเชษฐาหลายอย่าง แต่ได้สวรรคตลงเสียก่อน ส่วนพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพ นับเป็นน้องชายต่างมารดากับรัชกาลที่ 2 ซี่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพในสมัยรัชกาลที่ 3
เดิมวัดทรงธรรมที่สร้างขึ้นในครั้งแรกนั้นอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา วัดหันหน้าไปทางแม่น้ำที่เป็นเส้นทางสัญจรหลัก ด้านหน้าวัดมีเจดีย์เก่าสไตล์มอญอยู่หนึ่งองค์* ส่วนโบสถ์จะอยู่ถัดไปด้านใน ชาวบ้านจึงเรียกวัดเป็นภาษามอญว่า แผ่เมิกแซม หรือ วัดหน้าโบสถ์ ครั้นเมื่อรัชกาลที่ 2 โปรดให้สร้างป้อมเพชรหึง** ไว้บริเวณริมแม่น้ำ วัดจึงต้องขยับย้ายเข้าไปด้านในแผ่นดินมากขึ้น เพื่อให้อยู่ภายในกำแพงป้อมปราการ ขณะย้ายวัดได้มีการสร้างศาลาการเปรียญ และกุฏิขึ้นใหม่ 3 หลัง ซึ่งกล่าวกันว่าศาลาการเปรียญหลังนี้ เคยเป็นศาลาทรงธรรมของรัชกาลที่ 2 และกรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ (พระอนุชา)
ล่วงมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ครั้งที่พระองค์ทรงเสด็จมาถวายผ้าพระกฐินที่วัดทรงธรรม เมื่อเห็นวัดทรุดโทรม จึงโปรดให้พระยาดำรงราชพลขันธ์ (จั้ว คชเสนีย์) เจ้าเมืองนครเขื่อนขันธ์ลำดับที่ 2 ที่ปกครองเมืองอยู่ในขณะนั้น ได้ทำการบูรณะวัดขึ้นใหม่ และรื้อกุฏิ 3 หลังที่มีอยู่ มารวมเป็นหลังเดียวกัน
ชื่อวัดทรงธรรมนั้น ครั้งนึงชาวบ้านเคยเรียกว่า แผ่พระครู หรือ วัดพระครู ด้วยคำว่าพระครูนี้ มาจากวัดทรงธรรมเป็นวัดหลวง เจ้าอาวาสที่ประจำวัดจะต้องมีสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร ในเวลาต่อมา รัชกาลที่ 4 ทรงเปลี่ยนชื่อวัดใหม่ให้เป็น วัดดำรงค์ราชธรรม แต่ก็เรียกเพียง วัดทรงธรรม ซึ่งกล่าวกันว่า เพราะเป็นวัดที่มีศาลาทรงธรรม ของรัชกาลที่ 2 นั่นเอง
* รามัญเจดีย์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างวัดนั้น ปัจจุบันยังคงมีให้เห็นอยู่ ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนอำนวยวิทย์ ที่อยู่ตรงริมเขื่อน จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งชี้ว่า วัดแห่งนี้เคยตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยามาก่อนจริงๆ
** ป้อมเพชรหึง ปัจจุบันเหลือซากกำแพงให้เห็นเพียงเล็กน้อย (ไม่สามารถเข้าไปดูได้) อยู่ในบริเวณด้านหลังสถานสงเคราะห์คนพิการและทุพพลภาพพระประแดง ที่ถัดจากโรงเรียนอำนวยวิทย์ไปหน่อย
พระมหาธาตุรามัญเจดีย์
พระมหาธาตุรามัญเจดีย์ ที่เห็นอยู่ภายในวัดทรงธรรม เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากพระบรมมหาราชวังมาบรรจุไว้ที่องค์เจดีย์ 8 องค์ ทั้งยังอัญเชิญพระพุทธรูปมาให้กับทางวัดอีกจำนวนหนึ่ง พระบรมสารีริกธาตุนั้น อัญเชิญขึ้นบรรจุในองค์พระเจดีย์ 4 องค์ และทรงเลือกพระพุทธรูป 1 องค์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เหลือไว้ในพระเกศา ส่วนพระพุทธรูปอื่นๆ ที่นำมาด้วย เก็บไว้ภายในพระมหาธาตุเจดีย์
เจดีย์ย่อมุมสิบสองสีขาวองค์ใหญ่ภายในวัด นับเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงอัตลักษณ์ของเจดีย์รูปแบบรามัญ ประกอบด้วยเจดีย์ประธานตรงกลาง มีขนาดกว้าง 10 วา 2 ศอก (21 เมตร) และสูงจากฐานถึงยอดฉัตร 11 วา 3 ศอก (23.5 เมตร) ฐานเจดีย์มีลักษณะกว้าง แล้วค่อยๆ ลดหลั่นไปจนถึงยอด ปลายยอดคลุมด้วยยอดฉัตร 9 ชั้น รอบฐานองค์เจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างไว้โดยรอบ ถัดจากองค์เจดีย์ มีลานประทักษิณ แล้วล้อมด้วยกำแพงแก้วอีกชั้นหนึ่ง มุมทั้งสี่ของกำแพงแก้วมีเจดีย์องค์เล็ก ขนาดกว้าง 5 ศอก สูง 3 วา 1 ศอก ประดับไว้ทั้ง 4 ทิศ
วิหารบูรพาจารย์ และหลวงพ่อทันใจ
วิหารบูรพาจารย์ เป็นวิหารที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2518 ลักษณะวิหารเป็นอาคารยกพื้นแบบซุ้มศาลาแนวยาว มีผนังด้านเดียว ส่วนด้านหน้าและด้านข้างเปิดโล่ง มีเพียงระเบียงกั้น ด้านหน้าตัวอาคารมีมุขยื่นออกมา ผนังและเสาประดับด้วยกระจกแผ่นเล็กๆ ทั้งอาคาร คันทวยประดับรับเชิงชายคาบริเวณบัวหัวเสา เป็นคอหงส์โค้งงอน
อาคารวิหาร มีบันไดทางขึ้นอยู่ด้านข้าง บันไดเพียงไม่กี่ขั้นไปสู่ตัวอาคาร บนวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปและพระเกจิอาจารย์วางเรียงหันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ประธานองค์แรกเป็นหลวงทันใจ จากนั้นจะเป็นรูปหล่ออดีตเจ้าอาวาสวัดทรงธรรมแต่ละองค์ บริเวณด้านหลังรูปเหมือนรูปปั้นบูรพาจารย์แต่ละท่าน ประดับตกแต่งผนังด้วยแผ่นประดับที่มีลวดลายละเอียดงดงามตามรูปแบบรามัญ
- หลวงพ่อทันใจ เป็นศิลปะตามแบบมอญรามัญ ส่วนใหญ่จะพบเห็นได้ในประเทศพม่า พุทธลักษณะนั่งขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย พระพักตร์กว้างดูอวบอิ่ม พระเกศาม้วนกลมเป็นมวยด้านบน ไม่มีเปลวพระเกศ พระพุทธรูปนี้ตั้งชื่อตามการสร้างที่รวดเร็วทันใจ ใช้เวลาสร้างเพียง 1 คืน ตั้งแต่เริ่มสร้างตอนเที่ยงคืน และต้องเสร็จก่อนตะวันตกดิน
- รูปปั้นเทพทันใจ นัตโบโบจี เทพทันใจชี้นิ้วที่คนไทยไปพม่าแล้วต้องไปขอพร (ไม่ใช่พระ) ก็ได้จำลองมาวางไว้ใกล้กับหลวงพ่อทันใจ เวลาขอพรจะต้องเอาหน้าผากไปแตะตรงนิ้วชี้ที่ยื่นออกมา
นอกจากนี้ในวิหาร ยังประดิษฐานรูปหล่ออดีตเจ้าอาวาสของวัด ดังนี้
- ท่านเจ้าคุณพระอุดมญาณ (หลวงปู่แหล่ว) อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครเขื่อนขันธ์
- ท่านเจ้าพระคุณอุดมวิจารณ์ (หลวงปู่กลั่น) เป็นผู้สร้างโรงเรียนวัดกลางนา และโรงเรียนวัดทรงธรรม
- ท่านเจ้าคุณพระราชธรรมวิสารท (หลวงปู่สุก) เจ้าคุณแข้งดำ หรือเจ้าคุณดุ๊ เป็นพระผู้รักษาวินัยอย่างเคร่งครัด
- ท่านเจ้าพระคุณราชวิสารทะ (หลวงปู่เจิน)
- ท่านพระครูสมุทรวราภรณ์ (หลวงพ่อมหาวารี)
พระอุโบสถ
พระอุโบสถของวัด ตั้งอยู่ในที่เดิมเมื่อครั้งเริ่มสร้างวัด แต่เดิมสร้างด้วยเครื่องไม้ฝากระดาน ต่อมาสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงรับสั่งให้พระยาดำรงราชพลขันธ์ (จุ้ย คชเสนี) ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ จึงได้มีการรื้อโบสถ์ สร้างใหม่ให้เป็นแบบก่ออิฐถือปูน หลังคาประดับช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ เสารอบพระอุโบสถ เป็นเสากลมคู่รองรับชายคาด้านนอก มีทั้งหมด 28 คู่ (56 ต้น) ประตูทางเข้าด้านหน้ามี 2 บาน ด้านข้างเจาะช่องหน้าต่าง ทั้งประตูหน้าต่างเป็นแบบเรียบๆ ไม่ประดับซุ้มกรอบใดๆ ถัดจากตัวอาคารพระอุโบสถ โดยรอบเป็นลานประทักษิณกว้าง และมีกำแพงแก้วล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ซุ้มประตูกำแพงแก้วเป็นทรงกลมมน ประดับลวดลายดอกบัว
ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐานพระประธาน เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยปางมารวิชัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเลือกอัญเชิญมาถวาย เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในการถวายผ้าพระกฐิน พระอุโบสถหลังนี้ยังเคยได้ใช้เป็นสถานที่ที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการในสมัยที่ยังเป็นจังหวัดพระประแดงด้วย
วิหาร
วิหารของวัดทรงธรรม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2401-2405) ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ ใกล้กับพระมหารามัญเจดีย์ เป็นวิหารที่ไม่มีกำแพงแก้วล้อมรอบ
ลักษณะวิหารก่ออิฐถือปูน ประดับช่อฟ้าใบระกาทำด้วยไม้สัก หน้าบันเป็นลายเทพนม ภายในวิหารประดิษฐานพระประธานชื่อว่า "พระพุทธทรงธรรม" พระพุทธรูปไม้ในพุทธลักษณะปางห้ามญาติ (ห้ามสมุทร) ประทับยืนอยู่ภายในซุ้มที่ทำจากโลหะ เป็นกรอบฉลุลวดลายละเอียดงดงามตามรูปแบบของมอญ ด้านหน้าพระประธานมีพระพุทธปฏิมาหลายองค์ บางองค์เป็นพระพุทธรูปไม้เก่าแก่ มีทั้งปางสมาธิ และปางมารวิชัย ต่อมาทางวัดได้จัดสร้างรอยพระพุทธบาทจำลองไว้บริเวณด้านหน้าพระประธาน และจัดให้มีงานปิดทองพระพุทธบาทจำลองขึ้นทุกปี
พระมณฑปกลางน้ำ
พระมณฑป ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิหารบูรพาจารย์ เป็นมณฑปทรงจตุรมุข ฐานยกสูง ใต้ฐานทำเป็นบ่อปลาบ่อเตา ภายในพระมณฑปประดิษฐานพระมหาเศรษฐีนวโกฏิ* ซึ่งเป็นพระภิกษุชั้นพระโสดาบัน พระอริยบุคคล 9 รูป เป็นการสร้างขึ้นเพื่อบูชาอานิสงค์ของการเสียสละของแต่ละรูป มักจะสร้่างเหมือนพระพุทธรูปมี 9 พระพักตร์ ในเศียรเดียว การบูชาพระเศรษฐีนวโกฏิ เชื่อว่าจะให้โชคลาภ มีความเจริญรุ่งเรือง ปกปักษ์รักษา คุ้มครองให้เป็นสุขร่มเย็น
* พระมหาเศรษฐีนวโกฏิ มีลักษณะเหมือนพระพุทธรูป แต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า หรือปางใดของพระพุทธเจ้า เป็นรูปเคารพที่สร้างแทนมหาเศรษฐี 9 ท่านเมื่อครั้งพุทธกาล เป็นคติความเชื่อที่ได้มาจากตำราของล้านช้าง ว่าเป็นยอดของมหาเศรษฐีที่บริจาคทานเป็นจำนวนมาก จึงมีการนำพระคาถามากล่าวนามสรรเสริญ และสร้างเป็นรูปเคารพในท่านั่งคล้ายพระพุทธรูป
สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ภายในวัด
- ตุ๊กตาไม้รูปชูชก และอมิตดา เป็นตุ๊กตาไม้ค้นพบได้ในวัด ปัจจุบันตั้งอยู่ในกุฏิเจ้าอาวาส สันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยศึกษาจากเครื่องนุ่งห่ม และลายผ้าตุ๊กตา และเป็นที่มาของวัตถุมงคล เมตตามหานิยม ช่วยเรื่องการติดต่อค้าขาย
- พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดทรงธรรม เป็นการจัดเก็บ จัดแสดงของเก่าของโบราณ ข้าวของเครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้านชาวมอญ ที่รวบรวมได้ เช่น รถลาก กระติกน้ำ ขันน้ำ เครื่องปั้นดินเผาต่างๆ เป็นต้น
งานประจำปีของวัดทรงธรรม
- วันที่ 7-9 เมษายน ของทุกปี มีการทำบุญประจำปีของทางวัด
- วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปี มีการถวายสลากภัตร จับสลากถวายของพระ เป็นการถวายทานตามกาล
- ก่อนวันออกพรรษา 1 วัน (เวลา 15.30 น.) มีการแห่ผ้าแดง และนำขึ้นห่มเพื่อเป็นการถวายสักการะแก่พระมหาธาตุรามัญเจดีย์
- วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี (วันสงกรานต์) มีขบวนแห่หงส์-ธงตะขาบ และชักธงตะขาบขึ้นสู่เสาหงส์
การแห่หงส์ -ธงตะขาบ
ธงตะขาบ ถือเป็นเครื่องสูง เครื่องบูชา เป็นธงที่ทำขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา ถวายการสักการะแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันออกพรรษา ซึ่งตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า ในช่วงเข้าพรรษาพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดาเป็นเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นพระพุทธองค์จะเสด็จกลับลงมาโลกมนุษย์ ก็จะมีผู้คนและเทวดามาเฝ้ารอรับพระองค์ โดยมีการทำธงผ้า ตุง(ธงทางเหนือ) หรือพระบฏ (ผืนผ้าที่มีรูปพระพุทธเจ้าสำหรับบูชา) คอยต้อนรับ
สำหรับชาวมอญแล้ว จะทำธงตะขาบนำแขวนบนยอดเสาในวัดมอญ เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าในวันสงกรานต์ ลักษณะธงตะขาบนี้จะทำเป็นความกว้างของลำตัวแบ่งเป็น 5 ช่อง (เปรียบดั่งศีล 5) และมีความยาวเป็นปล้องๆ ลงมา 9 ปล้อง รวมทั้งสิ้น 45 ช่องตามจำนวนพรรษาของพระพุทธเจ้า บนธงนี้มีตา 2 ข้าง หนวด และเขี้ยว หมายถึงสติสัมปชัญญะ หิริโอตัปปะ และความกตัญญูกตเวที
การสรงน้ำพระมหาธาตุรามัญเจดีย์
ทางวัดจัดพิธีสรงน้ำพระมหาธาตุรามัญเจดีย์ ในวันสงกรานต์ของทุกปี โดยมีผู้แทนพระองค์อัญเชิญเครื่องสรงน้ำพระราชทานมายังวัด มีการสวดแบบรามัญ ซึ่งเป็นเพียงวัดเดียวที่ยังคงสวดแบบมอญ ชาวมอญในพื้นที่ต่างแต่งกายตามแบบมอญ การสรงน้ำจะเริ่มจากประธานในพิธีเป็นตัวแทนสรงน้ำพระราชทาน โดยการชักรอกขึ้นไปยังยอดพระเจดีย์ หลังจากนั้นประชาชนทั่วไปก็สามารถสรงน้ำพระเจดีย์ได้
ข้อแนะนำ
- พระมหาธาตุรามัญเจดีย์ มีทางขึ้นไปบนองค์เจดีย์ ซึ่งปกติจะไม่อนุญาตให้ผู้หญิงขึ้นไป ส่วนผู้ชายสามารถขึ้นไปได้
- ในวันธรรมดา พระอุโบสถของวัดมักจะไม่เปิดให้เข้าไปภายใน ส่วนวิหารสามารถเข้าไปกราบสักการะพระภายในได้
สถานที่น่าสนใจบริเวณใกล้เคียง
- สวนสุขภาพลัดโพธิ์ และประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์
- ตลาดพระประแดง
- ป้อมแผลงไฟฟ้า
- ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองพระประแดง
- ศาลเจ้าพ่อเสื้อเมือง
การเดินทาง
ห่างจากสวนสุขภาพลัดโพธิ์ 300 เมตร
ห่างจากศาลหลักเมืองพระประแดง 500 เมตร
ห่างจากป้อมแผลงไฟฟ้า 1 กิโลเมตร
ห่างจากตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง 5 กิโลเมตร
เส้นทางรถยนต์
เส้นทาง ถนนสุขสวัสดิ์ -> เลี้ยวเข้าอำเภอพระประแดง (ถนนศรีเขื่อนขันธ์)
1 | ใช้เส้นทางถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าอำเภอพระประแดง จากนั้นเลี้ยวเข้าไปทางตัวอำเภอพระประแดง จนกระทั่งสุดทาง เส้นทางจะบังคับเลี้ยวซ้าย (ถนนเส้นนี้คือถนนเพชรหึงษ์) จากนั้นตรงตามเส้นทางไปเรื่อยๆ |
2 | ใช้เส้นทางถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าไปทางพระประแดง พอผ่านแยกขึ้นสะพานภูมิพลไปไม่ไกลนัก เลี้ยวซ้ายไปทาง อ.พระประแดง |
3 | เมื่อเลี้ยวซ้ายมาแล้ว (เป็นถนนนครเขื่อนขันธ์) ตรงตามถนนเส้นนี้ไปราว 1 กิโลเมตร จะผ่านซุ้มประตูเมืองนครเขื่อนขันธ์ตลาดพระประแดง จากนั้นถนนจะบังคับเลี้ยวซ้าย |
4 | พอเส้นทางเลี้ยวซ้ายไปหน่อย วัดทรงธรรมอยู่ทางซ้ายมือ |
* หากใช้ทางด่วนเฉลิมมหานคร ตามป้ายบอกทางดาวคะนองมาเรื่อยๆ พอข้ามสะพานพระราม 9 (สะพานแขวน) ชิดซ้าย ออกถนนสุขสวัสดิ์ จากนั้นตรงไปอีกไม่ไกลนัก จะเป็นสามแยกพระประแดง จึงเลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอพระประแดง
** หากใช้วงแหวนอุตสาหกรรม สะพานภูมิพล (จากถนนปู่เจ้าสมิงพราย หรือ ถนนพระราม 3) ตามป้ายลงถนนสุขสวัสดิ์ จากนั้นตามป้ายพระประแดง พอเลี้ยวเข้าถนนสุขสวัสดิ์ไปไม่ไกล ก็เป็นแยกพระประแดงแล้ว เลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าอำเภอพระประแดง
*** หากใช้ถนนกาญจนาภิเษก (จากทั้งฝั่งตะวันออก และตะวันตก) ออกถนนสุขสวัสดิ์ จากนั้นตามป้ายพระประแดง
รถโดยสารประจำทาง (ดูรายละเอียด เส้นทางรถประจำทาง)
รถเมล์
- ขึ้นรถเมล์ที่เข้าไปยังท่าน้ำพระประแดง รถเมล์สายที่ผ่าน ได้แก่ สาย 6, 82, 138 (สาย 138 คันที่เขียนว่าเข้าท่าน้ำพระประแดง) มาลงป้ายตลาดพระประแดง จากนั้นเดินตรงต่อไปอีกหน่อย เลี้ยวเข้าถนนบ้านแซ่ ข้าง 7-11 (ซอยอยู่ตรงข้ามซุ้มศาลหลักเมือง) เดินตรงจนสุดทาง ประมาณ 300 เมตรจะเป็นทางเข้าวัดทรงธรรม
- หากนั่งรถเมล์สาย 140 (ทางด่วน), 142 (ทางด่วน) พอลงจากทางด่วนแล้ว ให้ลงรถเมล์ป้ายแรก (เรียกว่าป้ายวัดสน) แล้วต่อรถเมล์สาย 82, 138 (ที่เขียนว่าเข้าท่าน้ำพระประแดง) ลงตลาดพระประแดงแล้วเดินไป
เรือข้ามฟาก (ดูเพิ่มเติมเรื่อง เรือข้ามฟาก)
- แนะนำให้นั่งเรือข้ามฟากจากท่าเรือเภตรา** (ตรงสุดถนนปู่เจ้าสมิงพราย) จะมาขึ้นตรงท่าน้ำพระประแดง แถวหน้าที่ว่าการอำเภอพระประแดง จากนั้นเดินตรงตามถนนไปทางหน้าตลาด เข้าซอยบ้านแซ่ ข้าง 7-11 ไปราว 300 เมตร
** ท่าเรือนี้มีแพขนานยนต์ รับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ จักรยาน ข้ามฟากมาได้ มาขึ้นฝั่งพระประแดงตรงหน้าสถานีตำรวจ ขึ้นมาแล้วเลี้ยวขวา จากนั้นเลี้ยวซ้ายข้างที่ว่าการ แล้วเลี้ยวขวาแยกแรก (ข้างแว่นท็อปเจริญ) ตรงไปราว 400 เมตร วัดอยู่ซ้ายมือ
ข้อมูลการติดต่อ วัดทรงธรรมวรวิหาร
ที่อยู่ ซอยบ้านแซ่ ถนนทรงธรรม ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ 10130
โทร. 02-464-3794, 02-463-5433