เมืองโบราณ (Ancient Siam) เป็นสถานที่เที่ยวสุดคลาสสิค พิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่แสดงงานศิลปะกลางแจ้งขนาดใหญ่ บอกเล่าความเป็นตัวตนของคนไทย ผ่านชิ้นงานรังสรรค์อันปราณีต ประดิษฐ์โบราณสถานสถานที่สำคัญ รวมถึงศิลปะวัฒนธรรมเก่าแก่จากทุกมุมของประเทศ จำลองไว้ให้รุ่นลูกหลาน ได้เห็น รู้จัก ศึกษาเรียนรู้ และรักความเป็นไทยมากขึ้น เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการพาลูกหลานมาเที่ยว พักผ่อน และแนะนำชาวต่างชาติให้ได้มาเห็นศิลปะ วัฒนธรรมไทย ผ่านสถาปัตยกรรมจำลองขนาดใหญ่ที่เหมือนกับได้ไปเที่ยวทั่วประเทศในที่เดียว เมืองโบราณการเดินทางมาสะดวก มาได้หลายทาง หาง่ายไม่ซับซ้อน และมีรถโดยสารประจำทางผ่าน
เมืองโบราณ ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทสายเก่า ไม่ไกลจากตัวเมืองปากน้ำ ฟาร์มจระเข้ และไมอาร์มี่ เบย์ไซด์
เมืองโบราณ เป็นสถานที่ที่คุณเล็ก และคุณประไพ วิริยะพันธุ์ ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่แสดงความเป็นอัตลักษณ์ของไทย โดยแปลงพื้นที่ประมาณ 500 ไร่ ให้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง สร้างสรรค์ผลงานทางสถาปัตยกรรมไว้มากกว่า 100 ชิ้น โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2506 เรื่อยมา งานแสดงภายในเมืองโบราณส่วนใหญ่ เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นใหญ่ๆ เช่น ตลาด ปราสาท เจดีย์ วัด โบสถ์ วิหาร อาคารเก่าแก่ ไปจนถึงงานประดิษฐ์จากตำนาน นิทาน จินตนาการ ซึ่งงานแต่ละชิ้นไม่ใช่ของจำลองที่ทำให้เห็นเพียงโครงสร้างภายนอก แต่เก็บรายละเอียดไปจนถึงการตกแต่งภายใน เพื่อให้รู้สึกเหมือนของจริง ที่คงไว้ซึ่งคุณค่าทางศิลปะดั้งเดิม
ผลงานทั้งหมดภายในเมืองโบราณ จำแนกได้เป็นงานที่เลียนแบบการสร้างจากสถานที่จริง โดยผ่านการศึกษาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ การค้นคว้า พูดคุย สำรวจตรวจสอบความถูกต้องทางสถาปัตยกรรม แล้วนำมาสร้างให้ได้ขนาดที่เท่ากัน หรือขนาดที่เล็กกว่า แต่ยังคงรายละเอียดส่วนสำคัญเอาไว้ บางชิ้นงานเป็นการนำของจริงรื้อถอนมาเพื่อปลูกสร้างใหม่ อาจมีการซ่อมแซมปรับปรุงให้ใกล้เคียงของเดิม และบางชิ้นงานก็เป็นชิ้นงานใหม่ๆ ที่ใช้องค์ความรู้จากหลายแขนง สร้างสรรค์เป็นงานที่สะท้อนคุณค่าทางศิลปกรรมไทย
ลักษณะแผนผังภายในเมืองโบราณ มีการจัดวางงานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจไว้คล้ายกับตำแหน่งในแผนที่ประเทศไทย แบ่งออกเป็นโซนต่างๆ ตามแต่ละภาค
- โซนภาคใต้ เริ่มตั้งแต่ทางเข้าเรื่อยไป
- โซนภาคกลาง เริ่มตั้งแต่ช่วงตลาดบก
- โซนภาคเหนือ อยู่บริเวณด้านในสุดของสถานที่จัดแสดง
- โซนภาคอีสาน
- โซนครีเอทจากจินตนาการ อยู่บริเวณรอบๆ บึงด้านซ้ายมือ
จากนั้นก็เข้าสู่สถานที่สำคัญในภาคกลาง ส่วนบนสุดเป็นภาคเหนือ หากเดินไปทางขวาเป็นการจำลองสถานที่ต่างๆ ในภาคอีสาน ส่วนกลุ่มงานทางสถาปัตยกรรมทางฝั่งซ้าย จะเป็นงานที่ใช้องค์ความรู้ในการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่
สถานที่น่าสนใจในเมืองโบราณ
สวนมโนราห์
สวนมโนราห์ เป็นประติมากรรมที่จำลองให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชาวใต้ โดยจำลองฉากและตัวละครจากเรื่อง พระสุธน-มโนราห์* หนึ่งในวรรณกรรมประเภทปัญญาสชาดก (เรื่องเล่าที่อิงกับหลักทางพุทธศาสนา) ซึ่งแพร่หลายจนกลายเป็นนิยายท้องถิ่น รวมถึงการ "รำโนรา" ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านที่ลือเลื่องของทางใต้ เริ่มมีขึ้นที่ตำบลบางแก้ว จังหวัดพัทลุง
บริเวณสวนมโนราห์นี้ ได้จัดเป็นแอ่งน้ำตก ภายใต้ร่มไม้ให้เหมือนบรรยากาศในป่าตามท้องเรื่องพระสุธน-มโนราห์ ซึ่งตัวละครหลักๆ ได้แก่นางมโนราห์ที่เป็นกินรี พระสุธน และนายพราน ตัวละครที่แสดงไว้ทั้งหมดล้วนเป็นปูนปั้นสีขาว
* พระสุธน-มโนราห์ เป็นเรื่องราวความรักระหว่างมนุษย์กับนางกินรี มีเรื่องราวโดยย่อ คือ ท้าวทุมราชผู้เป็นพระยากินนรอยู่บนเขาไกรลาส มีธิดาทั้งหมด 7 พระองค์ ธิดาทั้งเจ็ดมีหน้าตาสวยงามเหมือนมนุษย์ มีปีกและหางที่ทำให้บินไปยังที่ต่างๆ และสามารถถอดออกได้
อยู่มาวันหนึ่งธิดาทั้ง 7 ได้บินไปเล่นน้ำที่สระอโนดาต ขณะที่เล่นน้ำอยู่นั้น นายพรานคนหนึ่งใช้บ่วงบาศของพญานาคราชท้าวชมพูจิต จับตัวนางกินรี ธิดาคนสุดท้องที่มีชื่อว่า นางมโนราห์ แล้วนำไปถวายให้พระสุธนแห่งเมือง ปัญจาลนคร จนพระสุธนหลงรักและได้อภิเษกกัน ต่อมามีปุโรหิตคนหนึ่ง มีความแค้นต่อพระสุธน จึงออกอุบายให้พระสุธนต้องออกไปรบ และแกล้งทำนายฝันให้แก่ท้าวอาทิตยวงศ์ (พระบิดาพระสุธน) ว่าจะเกิดภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวงต่อเมือง ทางแก้คือต้องนำนางมโนราห์ไปบูชายัญ เมื่อนางโมราห์รู้เข้าจึงทำเป็นขอรำถวายเป็นครั้งสุดท้าย และขอสวมใส่ปีกและหางของนางขณะร่ายรำรอบกองไฟ เมื่อได้โอกาสจากนั้นนางจึงบินหนีไป
เมื่อพระสุธนกลับมายังเมืองและรู้ว่านางมโนราห์หนีไปแล้ว พระสุธนจึงออกตามจนมาพบกับพระฤาษี พระฤาษีจึงมอบผ้ากับแหวนที่นางมโนราห์ฝากไว้ และนางยังบอกพระสุธนว่าไม่ต้องตามหา เพราะเส้นทางยากลำบากมาก ในที่สุดพระสุธนก็ออกติดตามหานางมโนราห์ ได้ผจญภัยฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนกระทั้งเข้าไปยังบริเวณเขาไกรลาส และนำแหวนใส่ไว้ในคนโทน้ำที่ตักไปให้นางมโนราห์ เมื่อนางเทน้ำจึงรู้ว่าพระสุธนได้มาถึงแล้ว เมื่อท้าวทุมราชผู้เป็นบิดาทราบจึงต้องการทดสอบความรักของพระสุธน โดยให้ธิดาทั้งหมดออกมาร่ายรำ แล้วให้พระสุธนเลือกว่าคนไหนคือนางมโนราห์ ด้วยพี่น้องของนางมโนราห์มีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันหมด พระอินทร์จึงจำต้องลงมาช่วยโดยการแปลงกายเป็นแมลงวันทองจับที่ผมนางมโนราห์ เพื่อให้พระสุธนรู้ว่าเป็นคนไหน หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ครองรักกันอย่างมีความสุขดังเดิม
พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
พระบรมธาตุเจดีย์ จำลองมาจากวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดพระธาตุ) ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพระบรมธาตุเจดีย์เก่าแก่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และศูนย์รวมจิตใจของชาวนครศรีธรรมราช ที่จัดเป็น 1 ใน 8 จอมเจดีย์แห่งสยาม พระบรมธาตุจำลองที่เมืองโบราณ มีบางส่วนไม่เหมือนกับองค์จริง เช่นที่ฐานเจดีย์จำลองมีซุ้มช้างล้อมโดยรอบ ซึ่งเป็นการสร้างจากประวัติศาสตร์ดั้งเดิมที่สืบค้นได้ ก่อนที่จะมีการบูรณะซ่อมแซมหลายครั้ง
พระบรมธาตุเจดีย์องค์จริง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พระธาตุทองคำ มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.854 สร้างโดยเจ้าชายทนทกุมาร และพระนางเหมชายา เดิมสร้างเป็นเจดีย์ทรงมณฑป แบบศิลปะสมัยศรีวิชัย ต่อมาในปี พ.ศ.1098 พระเจ้าศรีธรรมาโศการาชที่ 2 (พระเจ้าจันทรภาณุ) ได้บูรณะใหม่โดยทำเป็นสถูปทรงโอคว่ำ ตามแบบทรงลังกา ด้านบนเรือนธาตุ มีบัลลังก์สี่เหลี่ยม เสาหาน ปล้องไฉน ส่วนของกลีบบัว และปลียอดด้านบนหุ้มด้วยทองคำแท้ พระบรมธาตุเจดีย์องค์จริงนั้นเป็นสีขาวทั้งองค์ มีขนาดสูงใหญ่ สูงจากฐานถึงยอด 74 เมตร โดยรอบมีเจดีย์บริวารอีก 149 องค์ ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศให้เป็นโบราณสถานสำคัญ และยังเป็นหนึ่งใน unseen ที่กล่าวกันว่า องค์พระธาตุนี้ไม่มีเงาทอดตกลงพื้น หรือที่เรียกกันว่า "พระธาตุไร้เงา"
เทวรูปปัลลวะ พังงา
เทวรูปที่อยู่บริเวณโคนต้นไม้ เป็นการจำลองเทวรูป ที่พบบริเวณโคนต้นตะแบกบนเขาพระนารายณ์ ในตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา เป็นรูปเคารพตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ แกะสลักจากหินทรายละเอียด มีด้วยกัน 3 องค์ ซึ่งชาวบ้านจะเรียกกันว่า พระนารายณ์ พระลักษณ์ และนางสีดา ซึ่งเทวรูปพระนารายณ์ (หรือพระวิษณุ) มีความสูงถึง 2.35 เมตร ครึ่งหนึ่งจมอยู่ในพื้นดิน และมีต้นตะแบกขึ้นปกคลุม เทวรูปพระนารายณ์อยู่ในปางประทับยืน แบบมัธยมโยคะสถานกมูรติ (ปางบำเพ็ญเพียรโยคะระดับกลาง) และมีบริวารอีก 2 องค์ คือ ฤาษีมารกัณเฑยะ (พระลักษมณ์) และนางภูเทวี* (ชาวบ้านเรียกว่านางสีดา) เทวรูปทั้ง 3 แสดงถึงประติมากรรมแบบปัลลวะ ศิลปะแถบอินเดียใต้ ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 13 หรือต้นพุทธศตวรรษที่ 14
* นางภูเทวี หรือพระแม่ธรณี เป็นพระชายาองค์ที่ 2 ของพระวิษณุในคติความเชื่อของชาวฮินดูทางตอนใต้
เทวรูปปัลลวะจริงนั้น มีอายุราว 1,200 ปี ซึ่งนับเป็นหลักฐานทางประวัติศาตร์ ที่แสดงถึงอารยธรรมอินเดียช่วงที่เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุ และจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง จังหวัดภูเก็ต
พระบรมธาตุไชยา สุราษฎร์ธานี
เจดีย์ที่สร้างขึ้นที่เมืองโบราณนี้ หลายคนอาจบอกว่าลักษณะไม่เห็นเหมือนกับพระบรมธาตุไชยา ที่จังหวัดสุราษฎร์ฯ ซึ่งจริงๆ แล้วเจดีย์นี้จำลองมาจากเจดีย์จันทิปวนะ ที่เก่าแก่ที่สุดในชวา (ประเทศอินโดนีเซีย) เพื่อให้เห็นถึงศิลปะศรีวิชัย* ต้นฉบับดั้งเดิม สร้างเป็นเจดีย์สีอิฐก่อ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม มุมที่ฐานทั้ง 4 มีเจดีย์ประดับมุม เจดีย์องค์กลางเป็นจตุรมุข มีเรือนยอดย่อชั้นขึ้นไป 3 ชั้น เรือนยอดแต่ละชั้นมีบันแถลง นาคปัก และเจดีย์องค์เล็กประดับมุม ส่วนชั้นบนสุดเป็นองค์พระธาตุทรงกลม ลวดลายของเจดีย์จำลองเป็นลวดลายที่เกี่ยวข้องกับคติพุทธศาสนามหายาน เช่น รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร รูปนางดารา เป็นต้น
* ศิลปะแบบศรีวิชัย หรือศิลปะชวา มาจากกลุ่มสังคมที่นับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ที่อยู่ทางภาคกลางของประเทศอินโดนีเซีย มีรูปแบบศิลปะอินเดียแบบคุปตะ-หลังคุปตะ และปาละ
ส่วนเจดีย์พระบรมธาตุไชยาองค์จริงนั้น อยู่ในวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร พระอารามหลวง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพระบรมธาตุที่นับว่ามีลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นศิลปะแบบศรีวิชัยในสภาพสมบูรณ์ที่สุด องค์จริงสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 และมีความสูงถึง 24 เมตร ทรงสี่เหลี่ยมจตุรมุขย่อชั้นทาสีขาวขลิบทอง เจดีย์ลดหลั่นกันขึ้นไป 3 ชั้น แต่ละชั้นมีบันแถลง (รูปจั่วเล็กๆ ในแต่ละด้าน) นาคปัก (หัวพญานาคประดับมุมเจดีย์) และเจดีย์ประดับ เหนือขึ้นไปเป็นองค์ระฆัง ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนยอดมีบัวกลุ่ม ปลียอด และยอดฉัตร จากการบูรณะปฏิสังขรใหม่ ได้ปรับเปลี่ยนลวดลายประดับเจดีย์ (บริเวณบันแถลง) โดยผสมผสานรูปแบบใหม่ลงไปแทน
ตลาดโบราณ
ตลาดโบราณ หรือตลาดบก เป็นกลุ่มอาคารบ้านเรือนที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากถนนสายเก่าในจังหวัดตาก และสภาพบ้านเรือน ร้านค้า ในเมืองกำแพงเพชร โดยใช้อาคารบ้านเรือนเก่าที่อยู่ในแถบยานนาวา กรุงเทพฯ รื้อถอนอาคารจริงนำมาปลูกสร้างใหม่ ให้เป็นตลาดเก่า เพื่อให้เห็นบรรยากาศชุมชนในอดีต ที่แสดงถึงความผสมผสานของชุมชน มีทั้งร้านขายของ ร้านตัดผม หอกลองกลางตลาด โรงงิ้วหุ่นกระบอก โรงแสดงมหรสพ สำนักโคมเขียว แหล่งอบายมุข ศาลเจ้าเก่า เป็นต้น
บริเวณตลาดโบราณนี้ สร้างเป็นถนนตรงกลาง (ตรงนี้นำรถเข้าไปไม่ได้) สามารถเดินชมได้โดยทั่ว เมื่อพ้นจากเขตตลาดโบราณนี้ไป จะเป็นโซนภาคกลาง
ศาลาการเปรียญ วัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี
ศาลาการเปรียญที่ทางเมืองโบราณจำลองขึ้นมานี้ มีขนาดเล็กกว่าของจริงเล็กน้อย ภายในจัดแสดงศิลปวัตถุต่างๆ ไว้ให้ชม ศาลาหลังนี้เป็นการถ่ายทอดศิลปะอยุธยาที่ตกทอดมาให้เห็นถึงปัจจุบัน โดยถอดแบบจากของจริงที่อยู่ในวัดใหญ่สุวรรณาราม พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ในตำบลท่าราบ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี การสร้างและตกแต่งถือเป็นงานศิลปกรรมชั้นสูงในสมัยอยุธยาตอนปลาย ช่วงพุทธศตวรรษที่ 23 มีความเก่าแก่ ประณีตงดงาม เพราะเคยเป็นพระตำหนักของเจ้าฟ้าพระขวัญ* ซึ่งต่อมาพระเจ้าเสือ ได้รื้อจากกรุงศรีอยุธยา นำมาสร้างให้เป็นศาลาการเปรียญ ถวายแก่พระสังฆราชแตงโม (สมเด็จพระสุวรรณมุณี) ในครั้งบูรณะปฏิสังขรณ์วัด
ศาลาการเปรียญของจริง ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม ยังคงมีให้เห็นอยู่ หากใครได้ขึ้นไปดูสถานที่จริง จะเห็นถึงงานฝีมือเก่าแก่ ประกอบกับประวัติความเป็นมาของอาคารหลังนี้ อาจทำให้หลายคนขนลุกได้
ศาลาการเปรียญหลังจริงนั้น สร้างด้วยไม้สักทั้งหลังในลักษณะเรือนไทยหลังใหญ่ มีขนาด 10 ห้อง (วัดแต่ละช่วงหน้าต่าง) กว้าง 5 วา ยาว 15 วา (10 x 30 เมตร) อาคารเดิมลงรักปิดทอง (ปัจจุบันได้ทาสีแดงทับทั่วทั้งหลังหมดแล้ว) หลังคามีช่อฟ้าใบระกา ประดับกระจก ด้านหน้าและด้านหลังของเครื่องหลังคา มีมุขประเจิด (เป็นมุขยื่นจากหลังคาซ้อนชั้นอีกทีนึง) ผนังเป็นฝาปะกน คันทวยเป็นลายหน้าตั๊กแตน และมีกระจังพรึงประดับขอบอาคารโดยรอบ ภายในมีเสาแปดเหลี่ยมเขียนลายรดน้ำเป็นคู่ๆ แต่ละคู่มีลวดลายไม่ซ้ำกัน ยังมีธรรมมาสน์เก่าแก่อายุกว่า 300 ปี เก็บรักษาไว้ และบานประตูไม้แกะสลัก ที่ปรากฏรอยแตกปริศนาที่บานประตูบานหนึ่งด้วย**
* เจ้าพระขวัญ เป็นพระโอรสของสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ.2231 - 2246) ตามประวัติกล่าวว่า ในขณะที่พระองค์มีอายุครบ 13 ปี เพิ่งผ่านพิธีโสกันต์ (โกนจุก) และกำลังฝึกขี่ม้า เมื่อพระบิดาประชวร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (ผู้ที่จะได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป) คือ พระเจ้าเสือ กลัวว่าเจ้าพระขวัญจะได้ขึ้นครองราชย์แทนตน จึงวางแผนเรียกให้เจ้าพระขวัญไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักหนองหวาย เพื่อทรงม้าให้ชมหน่อย ขณะที่เรียกพบนั้นเจ้าพระขวัญ กำลังเสวยแตงโมไปได้ครึ่งลูก จึงวางแตงโมแล้วเสด็จไปที่ตำหนัก เมื่อไปถึงพี่เลี้ยงทั้งหมดได้ถูกกันไม่ให้เข้าไปด้วย จากนั้นพระเจ้าเสือจึงตีด้วยท่อนจันทน์ แล้วนำพระศพไปฝังไว้ที่วัดโคกพระยา แล้วพระเจ้าเสือก็ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 29 ต่อจากพระเพทราชา
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาลาการเปรียญนี้ สันนิษฐานว่า เมื่อเจ้าพระขวัญสิ้นพระชนม์ ผู้คนต่างหวาดกลัววิญญาณเจ้าพระขวัญ พระเจ้าเสือจึงรื้อมาถวายวัดที่ท่านเคยเล่าเรียนอยู่ตอนเด็ก โดยนำมาสร้างเป็นศาลาการเปรียญแทน
** สำหรับคนที่ได้ไปเที่ยวชมศาลาการเปรียญจริง ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม เมื่อเข้าไปภายในศาลา สังเกตดีๆ จะเห็นบานประตูไม้แกะสลัก ลงสีทองสวยงาม ส่วนบนของประตูมีรอยแตกปรากฏอยู่ กล่าวกันว่าเป็นรอยที่ทหารพม่าใช้ขวานฟันจามไว้ เมื่อครั้งที่กองทัพพม่าผ่านมาที่เมืองเพชรบุรี แล้วต้องกวาดต้อนชาวบ้านไปด้วย ชาวบ้านจึงเข้ามาหลบในศาลาหลังนี้ ทหารพม่าได้ใช้ขวานจามประตูเพื่อเปิดเข้าไป แต่พังเข้าไปได้ยาก จึงถอยทัพกลับไปเสียก่อน แต่ก็มีข้อสันนิษฐานอีกอย่างหนึ่งที่ว่า รอยนี้อาจเป็นรอยที่ตั้งใจทำไว้ โดยช่างที่รื้อตำหนักอาจใช้ขวานจามไว้ที่ประตูเพื่อแก้อาถรรพ์วิญญานเจ้าพระขวัญ ก็เป็นได้
พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ราชบุรี
พระปรางค์ที่เมืองโบราณสร้างขึ้นนี้ จำลองจากวัดมหาธาตุวรวิหาร พระอารามหลวงชั้นตรี ชาวบ้านมักเรียกว่า วัดหน้าพระธาตุ หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ตั้งอยู่บนถนนเขางู ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เป็นวัดมีความโดดเด่นด้านศิลปะเขมรหรือลพบุรี ในรูปแบบปรางค์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งเขมร มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 18
พระปรางค์องค์จริง มีลักษณะคล้ายกับฝักข้าวโพด แบบเดียวพระปรางค์ลพบุรี ปรางค์ประธานตรงกลางมีความสูง 24 เมตร และมีปรางค์บริวารอยู่โดยรอบอีก 3 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ด้านหนึ่งของปรางค์ประธานมีมุขยื่นออกมา มีบันไดทางขึ้น ฐาน และเรือนธาตุ ส่วนพระปรางค์ที่เมืองโบราณจำลองมานั้น ย่อส่วนจากขนาดจริงมาเป็นสามในสี่ส่วน และนำมาให้ชมเฉพาะปรางค์ประธาน
พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท อยุธยา
พระที่นั่งสรรเพชญปราสาทจำลอง ถือเป็นไฮไลท์ ผลงานชิ้นเอกของเมืองโบราณที่สรรค์สร้างสถาปัตยกรรมโบราณโดยไม่มีต้นแบบ และไม่มีสถานที่จริงให้เห็นแล้ว แต่ด้วยการศึกษาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่มี เช่นพงศาวดาร จดหมายเหตุ ภาพเขียน ซากผนังอาคารพระที่นั่งที่เหลืออยู่ และการสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆ นำมาประกอบเป็นข้อมูลในการสร้าง ทั้งโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมภายนอก และการตกแต่งภายในให้ใกล้เคียงของจริงมากที่สุด ผลงานชิ้นนี้จึงดูได้จากที่เมืองโบราณแห่งเดียว ไม่มีอาคารจริงให้เห็นแล้ว อาคารนี้สามารถเดินเข้าชมภายในได้
ลักษณะของพระที่นั่ง เป็นหลังคาซ้อน 3 ชั้น มีมุข 4 ด้าน มีสองด้านเป็นโถงยาว ซุ้มยอดเป็นมณฑป 7 ยอด ด้านล่างมีครุฑระหว่างหน้าบันทั้ง 4 ด้าน ภายในมุขโถงตั้งบุษบกทองคำ เป็นที่เสด็จต้อนรับแขก มุขด้านข้างสั้น ภายในมีลักษณะเป็นโถงท้องพระโรง ตกแต่งผนังด้วยลายปูนปั้นลงรักปิดทอง ประดับกระจก
พระที่นั่งสรรเพชญปราสาทจำลอง ที่เมืองโบราณแห่งนี้ เคยใช้เป็นที่รับรองสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และพระราชสวามี ครั้งเสด็จเยือนประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2515 ซึ่งในวันนั้นถือเป็นสิริมงคล และเป็นเสมือนวันเปิดเมืองโบราณต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการด้วย
สำหรับพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทองค์จริง แต่เดิมเป็นอาคาร 1 ใน 3 ของหมู่พระมหาปราสาท ในเขตพระราชฐานชั้นกลาง ณ พระราชวังโบราณ* ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมัยอยุธยาตอนต้น (พ.ศ.1991-2031) หรือราว 500 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นช่วงยุคทองของอยุธยา เมืองมีความเจริญรุ่งเรือง และมีความเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม และสร้างด้วยเครื่องไม้ทั้งหลัง ใช้เป็นห้องท้องพระโรงในการเสด็จออกว่าราชการ ต้อนรับราชฑูต แขกบ้านแขกเมือง และการประกอบพระราชพิธีสำคัญต่างๆ จนกระทั่งเหตุการณ์ครั้งอยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2310 พระที่นั่งได้ถูกเผาทำลายเสียหายจนหมดสิ้น
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ.2327 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาทขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง โดยสร้างด้วยเครื่องไม้ และถ่ายทอดแบบทั้งหมดมาจากพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทในสมัยอยุธยา ซึ่งต่อมาหลังจากนั้น 5 ปี ได้เกิดเหตุฟ้าผ่าลงมาจนทำให้พระที่นั่งอินทราภิเษกถูกเผามอดไหม้ไปทั้งหลัง พระองค์จึงโปรดฯ ให้สร้างปราสาทหลังใหม่ขึ้น โดยปรับเปลี่ยนลักษณะทางสถาปัตยกรรม และพระราชทานนามใหม่ว่า พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ที่อยู่ในพระบรมมหาราชวัง มาจนถึงทุกวันนี้
* พระราชวังโบราณหรือพระราชวังหลวง เป็นพื้นที่เขตที่ประทับของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ (เปรียบเสมือนบ้านและที่ทำงานของพระมหากษัตริย์) โดยมีกลุ่มอาคารต่างๆ เช่น หมู่พระมหาปราสาท (พระที่นั่งที่ใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ) พระตำหนัก (ที่ประทับ) พระคลัง ถือเป็นศูนย์รวมศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ พระราชวังโบราณมีมาตั้งแต่ปฐมกษัตริย์ของอยุธยา ปัจจุบันเป็นเขตโบราณสถานที่มีเพียงซากปรักหักพัง และขอบเขตพื้นที่พระราชวัง
ข้อแนะนำสำหรับการเข้าชม
1. ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีเวลาจำกัด หรือต้องการเที่ยวชมบรรยากาศทั่วไปโดยรอบ
สำหรับผู้ที่ไม่ได้ขับรถมา ผู้สูงอายุที่เดินไม่ค่อยไหว ขี่จักรยานไม่ถนัด มีเวลาน้อย กลัวว่าจะชมสถานที่ได้ไม่ทั่วถึง หรือกลัวว่าจะเหนื่อยซะก่อน แนะนำให้นั่งรถรางของเมืองโบราณ เพื่อชมบรรยากาศโดยรอบ บนรถจะมีเจ้าหน้าที่บรรยายให้ความรู้ถึงสถานที่ต่างๆ ที่ผ่าน และไปจอดในจุดหลักๆ ที่น่าสนใจ สามารถลงแวะเที่ยวตามจุดใหญ่ๆ ได้ ซึ่งรถรางจะมีให้บริการเป็นรอบ และแวะตามจุดจอดรถรางเท่านั้น
2. ผู้ที่พอมีเวลาในการเที่ยว แต่ต้องการเน้นเพียงสถานที่ไฮไลท์ ได้ถ่ายรูปมุมสวยๆ
หากมีเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงในการเข้าชม ต้องการแวะสถานที่สำคัญจริงๆ (ซึ่งจริงๆ แล้ว แต่ละแห่งก็มีเรื่องราวน่าสนใจไม่แพ้กัน) แนะนำให้ขี่จักรยาน แวะจอดชมเฉพาะจุดใหญ่ๆ ที่ไม่ควรพลาด หรือจุดที่สนใจเป็นพิเศษ เช่นตลาดโบราณ ตลาดน้ำ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท(เดินชมภายในได้) เขาพระวิหาร เป็นต้น
3. ผู้ที่ต้องการรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ ขอชมอย่างละเอียด
สำหรับผู้ที่มีเวลาทั้งวัน สักครึ่งวัน หรืออย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง แนะนำให้ขี่จักรยานตามเส้นทาง แล้วแวะชมไปเรื่อยๆ (มีร้านค้า และห้องสุขาบริการอยู่หลายจุดเป็นระยะๆ) สถานที่แต่ละแห่งจะอยู่ไม่ไกลกันมาก แต่ก็มีรายละเอียดให้ดูเยอะ โดยเฉพาะคนที่ชอบเรื่องราวของประวัติศาสตร์ โบราณคดี งานสถาปัตยกรรม และศิลปกรรม อาจจะใช้เวลาในการอ่านข้อมูลบรรยาย เข้าไปชมรายละเอียดภายในอาคาร หากเป็นผู้ที่ศึกษาศิลปะในแต่ละยุคสมัย ชอบเรียนรู้เรื่องราวด้านประวัติศาสตร์ หรือเคยไปสถานที่จริงในแต่ละแห่งมาก่อน ยิ่งจะทำให้การชมสนุกยิ่งขึ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
- เมื่อซื้อบัตรผ่านประตูแล้ว สามารถเลือกนั่งรถราง (ฟรี) ตามรอบที่กำหนด รถรางจะพานำชมรอบเมืองโบราณ โดยมีไกด์บรรยายสถานที่ต่างๆ ตลอดทาง
- เมื่อซื้อบัตรผ่านประตูแล้ว สามารถยืมจักรยานขี่ได้ (ฟรี)
- หากต้องการนำรถส่วนตัวเข้าไปชมจุดต่างๆ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายพาหนะเพิ่มเติม โดยไม่รวมคนขับ (ดูรายละเอียดเรื่องราคา)
- มีบริการรถกอล์ฟให้เช่า แบบนั่งได้ 2 คน (150 บาท/ชั่วโมง) แบบนั่งได้ 4 คน (300 บาท/ชั่วโมง) นั่งได้ 6 คน (450 บาท/ชั่วโมง) และ 10 ที่นั่ง พร้อมคนขับ (1,000 บาท/2 ชั่วโมง)
- ภายในเมืองโบราณมีพื้นที่กว้างมาก หากต้องการชมอย่างทั่วถึง (มีจุดให้แวะชมมากกว่า 100 จุด) ไม่แนะนำให้เดิน
- มีบริการ Audio Guide หลายภาษา เช่น ไทย อังกฤษ จีน เกาหลี รัสเซีย
- ไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปภายในเมืองโบราณ
- สามารถซื้อบัตรเข้าเมืองโบราณออนไลน์ได้ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนเข้าชม (ดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์เมืองโบราณ)
- ราคาตั๋วเข้าชม แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ 9.00 - 16.00 น. (เต็มราคา) และ 16.00 -19.00 น. (ครึ่งราคา)
- ในแต่ละปี เมืองโบราณจะการจะจัดงานกิจกรรมพิเศษ หรือมีช่วงที่เปิดให้เข้าฟรี (เฉพาะบริเวณที่กำหนด) ในเทศกาลต่างๆ เช่นลอยกระทง หรือวันสงกรานต์ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ และเฟสบุ๊คเมืองโบราณ
ข้อแนะนำ
- ควรไปเข้าชมแต่เช้า เพื่อจะได้มีเวลาทั้งวัน ได้แวะชมสถานที่ต่างๆ แบบไม่ต้องรีบร้อน และช่วงเช้าแดดก็ไม่แรงเท่าช่วงบ่ายอีกด้วย
- ควรเตรียม หมวก (หรือร่ม แล้วแต่สะดวก) น้ำดื่ม โลชั่นกันแดดไปด้วย เพราะส่วนใหญ่เป็นการจัดแสดงกลางแจ้ง แม้จะมีต้นไม้เยอะ แต่ในช่วงกลางวันแดดค่อนข้างร้อน
ตารางเวลารถรางชมเมือง
เปิดให้บริการเป็นรอบ (ขึ้นได้ที่ตลาดน้ำ และตามสถานีจอด ไม่รับขึ้นระหว่างทาง)
วันจันทร์-เสาร์ มี 4 รอบ คือ 10.00-12.00 น. / 13.00-15.00 น. / 15.00-17.00 น. / 17.00-19.00 น.
วันอาทิตย์-นักขัตฤกษ์ (อาจมีมากกว่า 4 รอบ) ขึ้นได้ทุกคันตามสถานี
ค่าธรรมเนียมเข้าชมเมืองโบราณ
ซื้อบัตรในช่วง เวลา 9.00 - 16.00 น.
คนไทย ผู้ใหญ่ 350 บาท เด็ก (6-14 ปี) 175 บาท
ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 700 บาท เด็ก (6-14 ปี) 350 บาท
นำรถยนต์ / รถตู้ เข้าไป คิดเพิ่ม 400 บาท/คัน (ราคาไม่รวมค่าธรรมเนียมคนขับ)
** ราคาบัตรเข้าชม รวมค่าบริการรถราง จักรยาน และการนั่งเรือ
ซื้อบัตรในช่วง 16.00 - 19.00 น. (ช่วงลด 50%)
คนไทย ผู้ใหญ่ 175 บาท เด็ก (6-14 ปี) 80 บาท
ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 350 บาท เด็ก (6-14 ปี) 175 บาท
นำรถยนต์ / รถตู้ เข้าไป คิดเพิ่ม 200 บาท/คัน (ราคาไม่รวมค่าธรรมเนียมคนขับ)
** ราคาบัตรเข้าชม รวมค่าบริการรถราง จักรยาน แต่ช่วงเวลานี้ ไม่มีบริการการนั่งเรือแล้ว
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการซื้อตั๋วเข้าเมืองโบราณ
- นั่งเรือ (บริเวณตลาด) มีให้บริการเฉพาะช่วงเวลา 9.00 - 16.00 น.
- บัตร 1 ใบ ใช้แลกจักรยานได้ 1 คัน
- เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ไม่เสียค่าธรรมเนียม
- ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และผู้มีสำเนาทะเบียนบ้านอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ ลด 100 บาท/คน
รถตู้ รับ-ส่งมายังเมืองโบราณ ฟรี
ทางเมืองโบราณมีรถรับส่งเฉพาะวันเสาร์ และ อาทิตย์ *วันหยุดนักขัตฤกษ์ไม่มีรถบริการ*
จุดขึ้นรถ : บริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS แบริ่ง ตรงลานจอดรถปั๊มเอสโซ่
ออกจาก BTS แบริ่ง : เวลา 11.00 น. จะแวะที่พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ แล้วไปยังเมืองโบราณ เวลา 12.00 น.
ออกจากเมืองโบราณ : เวลา 15.00 น.