ประวัติสมุทรปราการ
จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเมืองที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน นานยิ่งกว่ากรุงเทพมหานครเสียอีก จากการสืบความตามชื่อเมืองต่างๆ ที่เคยอยู่ในบริเวณนี้ มีด้วยกัน 3 ชื่อ 3 เมือง คือ เมืองพระประแดง เมืองสมุทรปราการ เมืองนครเขื่อนขันธ์
"เมืองพระประแดง" เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา สันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองที่มีมาตั้งแต่สมัยที่ขอมรุ่งเรือง และอาศัยอยู่ในแถบปากแม่น้ำนี้ กล่าวกันว่า คำว่า ประแดง หรือบาแดง มาจากภาษาขอมโบราณ แปลว่า คนนำสาร หรือ คนส่งข่าวสาร ที่สอดคล้องกับการเป็นเมืองหน้าด่าน เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น จะต้องแจ้งข่าวไปยังเมืองหลวง (เมืองละโว้ในเวลานั้น) บ้างก็ว่า ชื่อพระประแดง มาจากคำว่า ผะแดง หรือ แผดง มีรากคำมาจาก กัมรเตง เป็นยศเรียกผู้เป็นใหญ่ ผู้ที่มียศชั้นสูง หรือใช้นำหน้ารูปเคารพ
ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักฐานในพงศาวดารอยุธยา กล่าวไว้ว่าในปี พ.ศ.2051 สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงให้คนมาขุดรอกคลองสำโรง แล้วพบเทวรูปขอม 2 องค์ ในคลองสำโรง ตรงบริเวณคลองทับนาง เทวรูปทั้งสองมีชื่อว่า พระยาแสนตา และบาทสังข์กร พระองค์ทรงโปรดให้สร้างศาลไว้ ณ บริเวณนั้น ซึ่งต่อมาในสมัยที่พระธรรมราชาธิราชเจ้า ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอยุธยา ได้มีกษัตริย์แห่งกัมพูชา คือพระยาละแวก ยกทัพเข้ามาทางปากแม่น้ำเมืองพระประแดง เพื่อเข้าตีกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่สำเร็จ จึงยกทัพกลับไป พร้อมยังนำเทวรูปที่ขุดพบขึ้นได้นี้กลับเมืองไปด้วย
เมืองพระประแดงเดิมในสมัยขอมนั้น เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือบริเวณที่ทำการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน
ต่อมาพื้นดินบริเวณปากแม่น้ำเกิดการตื้นเขิน มีแผ่นดินงอกออกไปเรื่อยๆ จึงทำให้เมืองพระประแดง ไกลจากปากแม่น้ำออกไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน เมืองพระประแดงจึงได้ลดบทบาทลง จนกระทั่งสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หลังจากกอบกู้เอกราชได้แล้ว ทรงสร้างกรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีใหม่ ได้รับสั่งให้รื้อกำแพงเมืองพระประแดง นำมาสร้างพระราชวัง จึงทำให้เมืองพระประแดงบริเวณนั้นได้สูญหายไปด้วย
"เมืองสมุทรปราการ" สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (กษัตริย์ลำดับที่ 21 แห่งกรุงศรีอยุธยา ในช่วง ปี พ.ศ.2154 - 2171) ครั้งแรกที่สร้างขึ้นนั้นอยู่บริเวณคลองปลากด ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งในสมัยนั้นพื้นที่ส่วนนี้ เป็นบริเวณที่มีความเจริญทางการค้ากับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวฮอลันดา* จนได้รับการขนานนามว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" (New Amsterdam) ต่อมาภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า คาดว่าเมืองสมุทรปราการได้ถูกทำลาย กลายเป็นเมืองร้างไปด้วย
* ชาวฮอลันดา ชาวดัตช์ ชาววิลันดา (เป็นชื่อที่ชาวสยามเรียกกัน) หมายถึง คนที่มาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ (Nederland or Netherlands) ประเทศหนึ่งในทวีปยุโรป (ติดกับประเทศเบลเยี่ยม และเยอรมัน) มีเมืองอัมสเตอร์ดัม เป็นเมืองหลวง ชาวฮอลันดานับเป็นชาวต่างชาติกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาค้าขายกับไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2147 หรือประมาณ 413 ปีมาแล้ว (สำหรับคำว่า "ฮอลแลนด์" ที่มักจะมีคนพูดถึงนั้น เป็นแค่ภูมิภาคหนึ่งในประเทศเนเธอร์แลนด์เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ทั้งประเทศ)
จนกระทั่งเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงขึ้นครองราชย์ และย้ายราชธานีมาทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงสร้างพระบรมมหาราชวัง และป้อมเมืองรอบเมือง (บริเวณวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน) และทรงโปรดให้สร้างป้อมปราการ ชื่อว่า ป้อมวิทยาคม ไว้ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา (ที่เป็นบริเวณตรงข้ามกับอำเภอพระประแดงในปัจจุบัน)
สืบมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงสานต่อการสร้างป้อมปราการ เพิ่มเติมจากป้อมวิทยาคม โปรดให้สร้างป้อมปู่เจ้าสมิงพราย ป้อมปีศาจสิง ป้อมราหูจร ไว้ทางฝั่งเดียวกัน และเพิ่มเติมป้อมทางฝั่งขวาของแม่น้ำ (ฝั่งตะวันตก) โปรดให้สร้างป้อมแผลงไฟฟ้า ป้อมมหาสังหาร ป้อมศัตรูพินาศ ป้อมจักรกรด และป้อมพระจันทร์พระอาทิตย์ จากนั้นได้ทำสายโซ่คล้องทุ่น ขึงระหว่างป้อมทั้งสองฝั่ง เพื่อกั้นแม่น้ำสำหรับการตรวจตรา และยังดำริให้สร้างเมืองใหม่ขึ้น ในบริเวณคลองปากลัด ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตก เพื่อให้เป็นเมืองหน้าด่านทางทะเลแห่งใหม่ พร้อมตั้งชื่อเมืองใหม่นี้ว่า "เมืองนครเขื่อนขันธ์"
"เมืองนครเขื่อนขันธ์" ในรัชกาลที่ 2 สร้างขึ้นบริเวณระหว่างคลองลัดหลวง กับคลองลัดโพธิ์ ส่วนใหญ่จึงมักถูกเรียกว่า เมืองปากลัด จากนั้นทรงโปรดให้สร้างป้อมเพชรหึง ในบริเวณเมืองนครเขื่อนขันธ์ สร้างวัดทรงธรรม ไว้เป็นวัดประจำเมือง และให้พระยาเจ่งพาครอบครัวชาวมอญ ย้ายจากจังหวัดปทุมธานีลงมาประจำถิ่นฐาน ณ เมืองใหม่
ส่วนเมืองสมุทรปราการ ที่เคยเป็นเมืองหน้าด่านตั้งแต่สมัยอยุธยา พอถึงสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ชำรุดทรุดโทรมไปมาก พระองค์จึงทรงรับสั่ง ให้ปรับปรุงเมืองสมุทรปราการขึ้นมาใหม่ แล้วสร้างป้อมปราการขึ้นมาอีก 6 ป้อม ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ โดยมีป้อมทางฝั่งตะวันตก คือ ป้อมนาคราช และป้อมผีเสื้อสมุทร ส่วนทางฝั่งตะวันออกมี ป้อมประโคนชัย ป้อมนารายณ์ปราบศึก ป้อมปราการ และป้อมกายสิทธิ์
ในขณะที่สร้างป้อมปราการ รัชกาลที่ 2 ทรงเห็นว่า มีเกาะหาดทรายอยู่บริเวณท้ายป้อมผีเสื้อสมุทร จึงทรงดำริให้สร้างพระสมุทรเจดีย์ ไว้บนเกาะกลางน้ำนั้น เพื่อให้เป็นเจดีย์คู่บ้านคู่เมือง เพื่อการสักการะบูชา สร้างขวัญกำลังใจให้แก่เมือง
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงออกแบบการสร้างพระสมุทรเจดีย์ด้วยพระองค์เอง แต่ก็ยังมิทันได้เริ่มสร้าง พระองค์ได้เสด็จสวรรคตลงเสียก่อน ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ขึ้นครองราชย์ จึงทรงสานต่อ์การสร้างเจดีย์ของพระบิดา จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2371 ภายในองค์เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และมีการฉลองสมโภชพระเจดีย์ครั้งใหญ่
ล่วงมาจนถึงสมัย รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งทรงเสร็จประพาสเมืองสมุทรปราการ แล้วแวะนมัสการพระสมุทรเจดีย์ ในปี พ.ศ.2403 ทรงเห็นว่าพระเจดีย์ดูทรุดโทรม และไม่สูงสง่าเท่าที่ควร ทั้งยังทรงทราบข่าวว่า พระบรมสารีริกธาตุภายในองค์เจดีย์ ได้ถูกโจรปีนขึ้นไปขโมยไปหมดแล้ว จึงโปรดเกล้าให้สร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ ครอบทับเจดีย์องค์เดิมไว้
พระสมุทรเจดีย์องค์ใหม่ ในรัชกาลที่ 4 สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2504 เป็นเจดีย์ทรงกลม ตามแบบเจดีย์อยุธยา มีขนาดสูงใหญ่กว่าเดิม ดูโดดเด่นเป็นสง่า สมกับเป็นเจดีย์คู่บ้านคู่เมือง รัชกาลที่ 4 ทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ จากพระบรมมหาราชวังมาบรรจุไว้ใหม่ จากนั้นทรงประกอบพระราชพิธียกยอดพระสมุทรเจดีย์ แล้วทรงห่มผ้าแดงเจดีย์ เพื่อเป็นการสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ภายใน
ต่อมาในช่วงรัชสมัยของ รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศไทย รวมถึงเมืองสมุทรปราการด้วย ด้วยเป็นช่วงการล่าอาณานิคม จากประเทศตะวันตก ที่ต้องการยึดครองประเทศที่ด้อยกว่า พระองค์ทรงเห็นว่าประเทศไทยควรมีการพัฒนา รับเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา เพื่อให้มีความทันสมัย ทัดเทียมกับอารยประเทศ (อารยประเทศ คือ ประเทศที่เจริญแล้ว หรือชาติตะวันตกในเวลานั้น) และเตรียมเฝ้าระวังภัย ที่อาจมาจากการรุกรานของต่างชาติ ในช่วงนี้จึงมีการสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับเมืองสมุทรปราการในหลายๆ ด้านด้วยกัน ดังนี้
ทางรถไฟสายแรกของไทย
ทางรถไฟสายปากน้ำ นับเป็นทางรถไฟสายแรกในประเทศไทย ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงอนุญาติให้บริษัท รถไฟปากน้ำ (กอมปานีรถไฟ) ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนชาวเดนมาร์ก ได้สัมปทานในการเดินรถไฟ ตั้งแต่สถานีหัวลำโพง ไปจนถึงสถานีปากน้ำ โดยแบ่งเป็น 12 สถานี คือ หัวลำโพง ศาลาแดง คลองเตย บ้านกล้วย พระโขนง บางจาก บางนา สำโรง จอรเข้ บางนางเกรง มหาวง และปากน้ำ มีระยะทาง 21.3 กิโลเมตร
ทางรถไฟสายนี้ ใช้รถไฟหัวรถจักรไอน้ำในการเดินรถ และได้รับสัมปทานการจัดการเป็นระยะเวลา 50 ปี โดยเริ่มเปิดเดินรถครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2436 หลังจากสิ้นสุดสัมปทานลง การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ซื้อเส้นทางรถไฟมาดำเนินการต่อ และเปลี่ยนเป็นใช้รถรางแทน ภายหลังจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีคำสั่งให้ยกเลิกเส้นทางรถไฟสายปากน้ำ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2503 รวมระยะเวลาของเส้นทางรถไฟสายปากน้ำ 67 ปี
เส้นทางรถไฟสายปากน้ำในปัจจุบันนี้ ไม่หลงเหลือให้เห็นอีกแล้ว รางรถไฟได้ถูกรื้อ บางส่วนมีการถมคูคลอง เพื่อสร้างเป็นถนนพระราม 4 (ช่วงหัวลำโพง ถึงตลาดคลองเตย) และ ถนนทางรถไฟสายเก่าปากน้ำ (ช่วงข้างตลาดคลองเตยต่อจากถนนพระราม 4 ไปจนถึงบริเวณตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ) ส่วนสถานีปากน้ำก็ถูกรื้อไป และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของท่าเรือข้ามฟาก และตลาดปากน้ำในปัจจุบัน
โทรเลขสายแรกของไทย
ระบบการสื่อสารโทรเลข นับเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย และรวดเร็วที่สุดในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา โทรเลขสายแรกของไทย เป็นสายโทรเลขจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดสมุทรปราการ (ปากน้ำ) สายโทรเลขยังส่งต่อเคเบิลใต้น้ำ ไปยังประภาคารสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา (หรือที่เรียกว่ากระโจมไฟสันดอน) เพื่อใช้รับส่งข่าวสารของทางราชการ เกี่ยวกับเรือที่ผ่านเข้าออกปากแม่น้ำ
ระบบโทรเลขเริ่มเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2412 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงอนุมัติให้ชาวอังกฤษ จัดตั้งและก่อสร้างเส้นทางโทรเลขขึ้นในประเทศไทย แต่ก็ไม่สามารถติดตั้งได้สำเร็จ จนกระทั่ง 6 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2418 ทางรัฐบาลไทย โดยกรมกลาโหม ได้ดำเนินการสร้างเส้นทางโทรเลขเอง จนสำเร็จเป็นสายแรก คือ สายโทรเลขกรุงเทพฯ - ปากน้ำ
หลายคนในยุคนี้ อาจไม่รู้จัก หรือไม่ทันการบริการโทรเลข (Telegraph) ซึ่งเป็นการสื่อสารที่คนไทยสมัยก่อน เรียกตามการเลียนเสียงภาษาอังกฤษว่า ตะแล็บแก๊บ
เทคโนโลยีการส่งโทรเลขในยุคแรกๆ นั้น จะประกอบด้วยสายโทรเลข และอุปกรณ์การส่งโทรเลข สายโทรเลขจะโยงถึงกัน โดยติดตั้งเสาค้ำสายโทรเลขไว้ ในลักษณะเดียวกับการเดินสายไฟ ที่โยงจากเสาไฟฟ้าแต่ละต้นไปตลอดแนว (เสาโทรเลขส่วนใหญ่ จึงมักจะติดตั้งขนานไปกับรางรถไฟ) ส่วนอุปกรณ์การส่งโทรเลข จะเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สามารถส่งสัญญาณถึงกันได้ โดยใช้คันเคาะให้เกิดเสียง เพื่อส่งสัญญาณด้วยรหัสมอร์สสากล*
* รหัสมอร์ส (Morse code) คิดค้นขึ้นในปี พ.ศ.2380 โดยชาวอเมริกัน ชื่อซามูเอล ฟินลีย์ บรีส มอร์ส (Samuel Finley Breese Morse) เป็นการสื่อสารโดยผ่านสัญญาณเสียง สัญญาณไฟ หรือการเคาะจังหวะ โดยใช้สัญญาณสั้น "." (ดอท หรือ จุด) และสัญญาณยาว "-" (แดช หรือ ขีด) เพื่อแปลงเป็นตัวอักษร แล้วนำมาผสมเป็นคำ (การใช้จะต้องจำชุดตัวอักษรควบคู่กับการส่งรหัส) การใช้รหัสมอร์ส ได้นำมาใช้ประโยชน์ในการส่งโทรเลข โดยใช้เครื่องเคาะสัญญาณในจังหวะสั้นและยาว ซึ่งการส่งโทรเลขในประเทศไทยครั้งแรก ก็ใช้รหัสมอร์ส ที่แปลงเป็นตัวอักษรโรมัน ซึ่งมักจะเกิดความผิดพลาดในการสื่อสาร ต่อมาจึงมีการจัดชุดรหัสมอร์ส ที่แปลงให้เป็นตัวอักษรไทยแทน
การส่งโทรเลขในยุคแรกๆ ค่อนข้างแพง จึงมักใช้ข้อความสั้นๆ และใช้กรณีจำเป็นเท่านั้น ต่อมาเทคโนโลยีโทรเลขได้มีพัฒนาการ ไปเป็นวิทยุโทรเลข โทรพิมพ์ และคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งมีการสื่อสารทางโทรศัพท์เข้ามา จึงทำให้การส่งโทรเลขค่อยๆ ลดบทบาทลง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2551 บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
ได้ประกาศยกเลิกการใช้โทรเลขอย่างเป็นทางการ รวมระยะเวลาในการใช้งานโทรเลขในประเทศไทย ยาวนานถึง 133 ปี
การใช้โทรศัพท์ครั้งแรกของไทย
โทรศัพท์ในประเทศไทย มีใช้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2424 โดยติดตั้งไว้ที่กรุงเทพฯ และที่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อทดลองการใช้งาน โดยจุดประสงค์หลักคือ การส่งข่าวสารทางราชการ โดยสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ เจ้ากรมกลาโหมในขณะนั้น เป็นผู้ดูแลการติดตั้ง และทดลองใช้โทรศัพท์ควบคู่ไปกับสายโทรเลข
* โทรศัพท์ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ค้นคิดได้ในปี พ.ศ.2419 โดยชาวอเมริกัน ชื่อ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Gramham Bell) เป็นระบบการทำงานที่จะต้องมีเครื่องส่ง และเครื่องรับสัญญาณ โดยเครื่องส่งสัญญาณจะแปลงคลื่นเสียง ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า จากนั้นเครื่องรับจะแปลงสัญญาณไฟฟ้า ให้กลับเป็นเสียงออกมา
ป้อมปืนที่ทันสมัยที่สุด
ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีความห่วงใยในความปลอดภัยของประเทศชาติ ในช่วงที่ชาวตะวันตกกำลังขยายอำนาจ มาทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พระองค์ทรงเตรียมการด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยโปรดให้สร้างป้อมพระจุลจอมเกล้า ไว้ที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ ในปี พ.ศ.2427 ยังปรับปรุงป้อมผีเสื้อสมุทร ที่สร้างไว้ในสมัยรัชกาลที่ 2 จากนั้นทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ซื้อปืนเสือหมอบ ที่เป็นปืนที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น มาประจำป้อมไว้ 10 กระบอก (ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า 7 กระบอก และ ป้อมผีเสื้อสมุทร 3 กระบอก)
ป้อมพระจุลจอมเกล้า และป้อมผีเสื้อสมุทร ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ในการร่วมปฏิบัติภารกิจปกป้องประเทศชาติ ในเหตุการณ์วิกฤตการณ์ปากน้ำ (Paknam Incident) และวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ในปี พ.ศ.2436