ป้อมพระจุลจอมเกล้า (Phra Chulachomklao Fort) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ป้อมพระจุล สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ในอำเภอพระสมุทรเจดีย์ สถานที่ควรค่าแห่งการจดจำ และร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในอดีต บอกเล่าแก่ลูกหลาน และอนุชนคนรุ่นหลัง ให้ได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องราวครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้แวะกราบสักการะพระบรมรูป รัชกาลที่ 5 เดินชมป้อม หลุมปืน และปืนเสือหมอบ ที่ครั้งนึงเคยได้ร่วมยิงต้านเรือรบฝรั่งเศส ขึ้นชมเรือหลวงแม่กลอง เรือรบที่ใช้งานมายาวนานที่สุด ป้อมพระจุลเป็นที่เที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เด็กๆ ได้สนุกกับการได้เห็นป้อมปราการ และเรือรบของจริง เปิดให้เข้าชมทุกวันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เส้นทางการเดินทางสะดวก ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
ป้อมพระจุลจอมเกล้า เดิมชื่อว่า ป้อมแหลมฟ้าผ่า ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่าแหลมฟ้าผ่า* อำเภอพระสมุทรเจดีย์ หากมาจากฝั่งปากน้ำจะใช้ทางด่วน หรือสะพานภูมิพล ให้มาลงถนนสุขสวัสดิ์ จากนั้นตรงไปทาง พระประแดง พระสมุทรเจดีย์ และป้อมพระจุลจอมเกล้า มีป้ายบอกเส้นทางบอกชัดเจน
* แหลมฟ้าผ่า เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอพระสมุทรเจดีย์ อยู่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งตะวันตก แต่เดิมมีลักษณะเป็นแหลม เกิดจากการทับถมของตะกอนดินที่ไหลมากับสายน้ำก่อนลงสู่ทะเล กล่าวกันว่า เป็นจุดที่เกิดฟ้าผ่าบ่อยครั้ง ทั้งนี้เชื่อว่าอาจมาจากแร่ธาตุบางอย่างที่มากับตะกอนที่แม่น้ำพัดพามา ทำให้เป็นตัวนำ ที่ทำให้ฟ้าผ่าบริเวณนี้บ่อยกว่าที่อื่นๆ (ปัจจุบันเส้นทางน้ำได้เปลี่ยนแปลงไปจนไม่มีลักษณะเป็นแหลมแล้ว)
ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการสร้างบ้านแปงเมือง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการสร้างป้อมปราการต่างๆ เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึกศัตรูอยู่อย่างต่อเนื่อง จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงได้สร้างป้อมปราการเพิ่มเติมบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อช่วยเป็นแนวป้องกันการรุกรานทางทะเล จวบจนกระทั่งเข้าสู่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ราวต้นปี พ.ศ.2427 พระองค์ทรงเห็นว่า ขณะนั้นเป็นช่วงที่ชาติตะวันตกกำลังคืบคลานเข้าสู่ประเทศแถบเอเชีย ในรูปแบบของการล่าอาณานิคม** ไทยเองควรเตรียมความพร้อมไว้ทุกด้าน ทรงเล็งเห็นว่าบริเวณปากแม่น้ำฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ในตำบลแหลมฟ้าผ่า มีชัยภูมิที่เหมาะกับการสร้างป้อมปืน จึงโปรดเกล้า ให้สร้างป้อมแห่งใหม่ขึ้นอีกหนึ่งป้อม ทั้งยังจัดซื้อศาสตราวุธยุทธภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดไว้ประจำป้อม จากนั้นได้ตั้งชื่อป้อมปราการแห่งนี้ว่า "ป้อมพระจุลจอมเกล้า"
** การล่าอาณานิคม เป็นการแผ่ขยายอำนาจของประเทศทางฝั่งตะวันตก เป็นการมองหาแผ่นดินใหม่ เพื่อนำทรัพยากรจากแผ่นดินใหม่ส่งไปยังแผ่นดินแม่ มหาอำนาจในขณะนั้นมีประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส ฮอลลันดา แต่ละประเทศจะแฝงมากับการทำการค้า โดยเข้ามาตามหัวเมืองชายทะเลที่สำคัญในประเทศแถบเอเชีย เช่น อังกฤษไปขึ้นฝั่งที่อินเดีย ฝรั่งเศสไปเขมร ซึ่งในขณะนั้นไทยก็เปรียบเสมือนรัฐกันชนของสองมหาอำนาจที่จะต้องเตรียมรับมือจากการรุกรานด้วยเช่นกัน
เมื่อติดตั้งปืนเสือหมอบแล้ว ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2436 รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ทอดพระเนตรการสร้างป้อม และทำการทดสอบยิงปืนเสือหมอบ ทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเร่งสร้างป้อมให้เสร็จเร็วขึ้น หลังจากที่พระองค์เสด็จมาเยือนเพียง 3 เดือน ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "วิกฤตการณ์ปากน้ำ" ขึ้น
วิกฤตการณ์ปากน้ำ (Paknam Incident)
เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่ไทยสู้รบกับฝรั่งเศส ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ช่วงหัวค่ำเวลาประมาณ 18.30 น. ของวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) ฝรั่งเศสได้นำเรือรบ 2 ลำ คือ เรือแองกองสตอง (Inconstant)* และเรือโกแมต (Comete)** เข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีเรือนำร่อง (เรือนำหน้าเรือรบ) เป็นเรือกลไฟชื่อ ฌองบัปติสต์เซย์ (Jean Baptiste Say) นำทางให้เรือรบทั้งสองลำเข้ามา เมื่อผ่านป้อมพระจุล ทางการไทยได้ทำการเตือนด้วยการยิงกระสุนดินเปล่าออกไป 2 นัด แต่ฝ่ายเรือรบฝรั่งเศสไม่ยอมหยุดเดินเรือ พร้อมทั้งยิงสวนกลับมา ฝ่ายไทยจึงต้องยิงตอบโต้ และเกิดการสู้รบกันขึ้นบริเวณปากแม่น้ำ โดยมีเรือรบไทยอีก 5 ลำที่จอดอยู่ในแนวปากแม่น้ำ ช่่วยยิงต่อต้าน เรือรบทั้ง 5 ลำ ได้แก่
* เรือแองกองสตอง (Inconstant) เป็นเรือสลุป ระวางขับน้ำ 825 ตัน ติดปืนใหญ่(14 ซม.) 3 กระบอก, ปืนใหญ่(10 ซม.) 1กระบอก, ปืนกล(37 มม.) 5 กระบอก
** เรือโกแมต (Comete) เป็นเรือปืน ระวางขับน้ำ 495 ตัน ติดปืนใหญ่(14 ซม.) 2 กระบอก, ปืนใหญ่(10 ซม.) 2 กระบอก, ปืนกล(37 มม.) 2 กระบอก
ทั้งสองฝ่ายได้ยิงต่อสู้ปะทะกัน จนเป็นผลให้เรือนำร่องของฝรั่งเศสถูกยิงเกยตื้น แต่เรือรบ 2 ลำของฝรั่งเศสสามารถแล่นฝ่าเข้าไปจนเข้าไปถึงเขตพระนคร เทียบจอดและหันปากกระบอกปืนไปทางพระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นการบีบบังคับทางการไทย จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทหารไทยเสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บ 41 นาย เรือรบทั้ง 5 ลำเสียหายเพียงเล็กน้อย ส่วนฝ่ายฝรั่งเศสเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 3 นาย เรือนำร่องถูกยิงเกยตื้น ส่วนเรือรบอีกสองลำมีรอยถูกกระสุนปืนใหญ่ และกลายเป็นเหตุการณ์บานปลาย จนเรียกขานกันต่อมาว่าเหตุการณ์ "วิกฤตการณ์ ร.ศ.112"
ป้อมพระจุลจอมเกล้า ที่มีอายุนานกว่า 130 ปี ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของฐานทัพเรือกรุงเทพ มีเนื้อที่ประมาณ 7,000 ไร่เศษ ประกอบด้วยพื้นที่ที่เป็นเขตป่าชายเลน อาคารหน่วยงานของกองทัพเรือ ร้านอาหาร หลุมป้อมปืน พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เรือหลวงแม่กลอง พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 อุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ
สิ่งที่น่าสนใจภายในป้อมพระจุลจอมเกล้า
พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5
เมื่อเข้ามาถึงในบริเวณป้อมพระจุล จุดแรกที่เห็นได้เด่นชัด ควรแวะกราบสักการะเป็นจุดแรก คือ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณลานกว้าง ด้านหน้าของหลุมป้อมปืน บริเวณโดยรอบพระบรมรูปทำเป็นสนามหญ้า ปลูกต้นไม้ สวนหย่อม บ่อน้ำ ด้านหน้ามีศาลเล็กๆ เป็นศาลพระนเรศ - นารายณ์ บริเวณนี้ยังมีลานจอดรถกว้างขวาง ทางซ้ายของพระบรมรูป จัดแสดงเรือหลวงแม่กลอง ที่ปลดระวางแล้ว
พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2536 มีลักษณะเป็นฐานสูงใหญ่แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกสร้างให้มีลักษณะเป็นป้อมกำแพง วางปืนใหญ่ประจำอยู่ทั้งข้างซ้ายและขวา พระบรมราชานุสาวรีย์มีความสูงทั้งหมด 17.50 เมตร จากชั้นล่าง มีบันไดขึ้นไปยังลานด้านบน องค์พระบรมรูปตั้งอยู่บนแท่นฐาน ในท่าประทับยืน ฉลองพระองค์เป็นชุดจอมทัพไทย พระหัตถ์ซ้ายถือกระบี่ ส่วนพระหัตถ์ขวาประคองปลายกระบี่ไว้ ขนาดพระบรมรูปสูง 4.2 เมตร (ประมาณ 2.5 เท่าของพระองค์จริง) ด้านหน้าแท่นประทับ มีสัญลักษณ์พระเกี้ยว หรือจุลมงกุฏ ซึ่งเป็นพิจิตรเลขาประจำรัชกาล บริเวณนี้ในวันปิยมหาราช (วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี) ทางกองทัพเรือ จะจัดพิธีวางพวงมาลาถวายการสักการะ ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ด้วย
ส่วนของใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ยังได้สร้างเป็น "ห้องจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์ทหารเรือ" ที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของป้อมพระจุล และเหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 (ติดต่อขอเข้าชมล่วงหน้า)
หลุมป้อมปืน
ป้อมพระจุลจอมเกล้า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2427 ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวน 10,000 ชั่ง (หรือประมาณ 800,000 บาทในยุคนั้น) ช่วยสมทบการก่อสร้าง และการสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อีกด้วย
หลุมปืนได้รับการออกแบบ และควบคุมการก่อสร้างโดย พระยาชลยุทธโยธินทร์* โดยก่อเป็นหลุมขนาดใหญ่คล้ายหลุมหลบภัย ก่อด้วยอิฐที่นำเข้ามาจากประเทศอังกฤษ มีลักษณะเป็นหลุมเรียงต่อเนื่องกันทั้งหมด 7 หลุม แต่ละหลุมมีปืนเสือหมอบประจำการอยู่หลุมละ 1 กระบอก มีอุโมงค์ทางเดินสูงประมาณ 2 เมตร เชื่อมต่อถึงกัน โดยแบ่งเป็นห้องพักของพลประจำปืน ห้องคลังดินปืน คลังลูกปืน ที่เก็บหัวกระสุน
* พระยาชลยุทธโยธินทร์ หรือ อองเดร ดู เปลซี เดอ ริเชอลิเออ (Andreas du Plessis de Richelieu) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "กัปตันริเชอลิเออ" เป็นชาวเดนมาร์กเชื้อสายฝรั่งเศส เข้ามารับราชการในกองทัพเรือสยาม และได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ยิงกับฝรั่งเศส ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง พลเรือตรี พระยาชลยุทธโยธินทร์
ปืนเสือหมอบ
ปืนเสือหมอบ (Disappearing Carriage) หรือ ปืนใหญ่อาร์มสตรอง เป็นปืนใหญ่ประจำป้อมพระจุลจอมเกล้า นับเป็นปืนใหญ่ชนิดบรรจุกระสุนจากด้านท้ายรุ่นแรกของไทย และเป็นอาวุธที่มีความทันสมัยมากที่สุดในขณะนั้น รัชกาลที่ 5 ทรงสั่งซื้อมาจากบริษัท เซอร์ ดับบลิวจี อาร์มสตอง (Sir W.G. Armstrong) ประเทศอังกฤษ เป็นทั้งหมด 10 กระบอก นำมาไว้ประจำหลุม ณ ป้อมพระจุล 7 กระบอก และที่เหลืออีก 3 กระบอกนำไปติดตั้งที่ป้อมผีเสื้อสมุทร
ปืนเสือหมอบ เป็นชื่อที่ได้ฉายามาจากลักษณะการยิงปืน ก่อนทำการยิงตัวกระบอกปืนจะย่อหลบอยู่ในหลุม เหมือนเสือที่หมอบซุ่มขณะคอยดักจับเหยื่อ ขณะทำการยิงตัวปืนจะยืดให้กระบอกปืนกระดกขึ้นเหนือหลุม เหมือนเสือที่พร้อมกระโจนเข้าตะครุบเหยื่อ เมื่อยิงกระสุนออกไปแล้ว ปืนจะยุบย่อตัวลงมาในหลุมปืนเหมือนเดิม ปืนเสือหมอบบางครั้งก็เรียกว่า ปืนอาร์มสตรอง ตามชื่อบริษัทที่ซื้อปืนมานั่นเอง
คุณสมบัติของปืนเสือหมอบ
- เป็นปืนใหญ่แบบบรรจุกระสุนด้านท้าย กระสุนเป็นชนิดแยกบรรจุ
- ควบคุมการยกตัวด้วยระบบไฮโดรนิวเมติก (Hydro-Pneumatics) โดยใช้แรงอัดอากาศ ดันน้ำมันให้ไปดันก้านสูบ ทำให้ปืนยกตัวขึ้น และลดตัวลงเมื่อผ่อนแรงดันน้ำมันลงไปถังพัก
- ปืนติดตั้งรางหมุนบังคับ ที่หันปากกระบอกปืนไปยังเป้าหมายได้รอบทิศ เมื่อยิงแล้วก็จะยุบตัวกลับลงมายังฐานในหลุม
- ปืนมีน้ำหนักประมาณ 5 ตัน
- ปืนแต่ละกระบอกมีขนาด 152/32 มิลลิเมตร ปากกระบอกปืนมีความกว้าง 152.4 มิลลิเมตร (หรือ 6 นิ้ว) ลำกล้องปืนยาว 4.864 เมตร (คิดเป็น 32 เท่าของความกว้างปากกระบอก) รวมความยาวจากท้ายปืนถึงลำกล้อง 5.20 เมตร
- รังเพลิงกว้าง 200 มิลิเมตร
- ใช้ดินปืนที่ขนาด 10-15 กิโลเมตร
- ลูกกระสุนทำด้วยเหล็ก มีน้ำหนัก 100 ปอนด์ (ประมาณ 45 กิโลกรัม)
- สามารถยิงได้ระยะไกลประมาณ 8.046 กิโลเมตร
- แต่ละหลุมปืนมีพลประจำปืน 10 นาย (เป็นพลประจำปืน 7 นาย และพลกระสุนอีก 3 นาย)
เรือหลวงแม่กลอง
เรือหลวงแม่กลอง เป็นเรือรบที่ประจำการอยู่ในกองทัพเรือไทยมายาวนานที่สุด (พ.ศ.2480 - 2539) เป็นเวลา 59 ปี มีความเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากเรือ Guanajuato ของประเทศเม็กซิโก เมื่อปลดระวางแล้วนำมาจัดตั้งไว้ ณ ป้อมพระจุล เพื่อให้ประชาชน และเยาวชนทั่วไปได้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เรือหลวงลำนี้นอกจากจะเคยปฏิบัติภารกิจในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา ดูแลน่านน้ำทางทะเลไทย ยังได้เป็นเรือฝึกหรือเรือครู แก่เหล่านักเรียนนายเรือ นักเรียนจ่าทหารเรือ โดยให้ความรู้ในภาคปฏิบัติด้านการเดินเรือ การอาวุธ และยังเคยทำหน้าที่เป็นเรือพระที่นั่งให้แก่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในคราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อต่างประเทศอีกด้วย
เรือหลวงแม่กลองทำหน้าที่เป็นเรือสลุป* (Sloop) ต่อเรือที่อู่ต่อเรืออูรางา เมืองโยโกสุกะ ประเทศญี่ปุ่น ทำพิธีวางกระดูกงู** เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2479 ใช้เวลาในการต่อเรือ 4 เดือนจึงแล้วเสร็จ จากนั้นได้ทำพิธีปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ในปีเดียวกัน และทำพิธีประจำการเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.2480 เรือหลวงแม่กลองได้ใช้งานเรื่อยมาเป็นระยะเวลา 59 ปี จึงปลดระวาง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2539 ส่วนชื่อเรือหลวงแม่กลองนั้น ได้รับพระราชทานนามตามชื่อแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งเป็นแม่นำ้สายสำคัญทางภาคตะวันตก ที่ไหลมาจากจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม
ลักษณะข้อมูลจำเพาะของเรือ
- เป็นเรือประเภท เรือสลุป (Sloop) มีความยาวตลอดลำ 74 เมตร กว้าง 10.5 เมตร
- ระวางขับน้ำปกติ*** 1,400 ตัน กินน้ำลึก 3.7 เมตร
- เครื่องจักรเป็นชนิด เครื่องจักรไอน้ำ แบบข้อเสือข้อต่อร่วมกับเครื่องกังหันไอน้ำจำนวน 2 เครื่อง มีกำลัง 2,500 แรงม้า ใช้ใบจักรคู่
- ความเร็วสูงสุด 17 นอต**** (ไมล์ทะเลต่อชั่วโมง) ประมาณ 30.6 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อใช้ความเร็วมัธยัสถ์ 8-10 นอต ปฏิบัติการได้ไกล 16,000 ไมล์ทะเล
- มีกำลังพลประจำเรือ 172 นาย
อาวุธประจำเรือ
- ปืนใหญ่ (120/45 มม.) 4 กระบอก
- ปืนกลต่อสู้อากาศยาน (20 มม.) 2 กระบอก
- ตอร์ปิโด (45 ซม.) แท่นคู่ 2 แท่น
- ท่อยิงลูกระเบิดลึก (แบบ 80) 2 ท่อ
- ทุ่นระเบิด (แบบ 70-80) 6 ลูก
- รางทิ้งทุ่นระเบิด 2 ราง
- พาราเวนสำหรับกวาดทุ่นระเบิด (แบบ STYPEC) 2 ชุด
* เรือสลุป (Sloop) หมายถึงเรือใบที่มี 2-3 เสา (เป็นเรือที่มีขนาดเล็กกว่าเรือฟริเกต) มักทำหน้าที่ในการคุ้มกันเรือสินค้า ลาดตระเวน ภายในเรือติดอาวุธ และสามารถปฏิบัติหน้าที่เป็นเรือรบได้เช่นกัน
** กระดูกงู (Keel) เป็นชิ้นส่วนแรกของการเริ่มต่อเรือ หรือสร้างเรือลำนึงขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นโครงหลักของเรือ ซึ่งประกอบด้วยชิ้นที่เป็นแกนกลางหลัก (เหมือนเป็นกระดูกสันหลัง) และโครงด้านข้างแยกไปเป็นส่วนข้างของเรือ (เหมือนกระดูกซี่โครง) ซึ่งโครงทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุด แข็งแรงที่สุด เพราะจะต้องรับน้ำหนักทั้งหมดของเรือไว้ โครงเรือนี้มีลักษณะเหมือนกระดูกสันหลังของงู ไทยเราจึงเรียกตามที่เห็นว่า "กระดูกงู" ซึ่งชาวเรือโบราณมักจะมีพิธีวางกระดูกงู (เหมือนกับพิธีตั้งเสาเอกในการสร้างบ้าน) เพื่อความเป็นสิริมงคล และความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จะช่วยคุ้มครองผู้ที่ใช้เรือลำนั้นๆ ด้วย
*** ระวางขับน้ำ (Displacement Tonnage) เป็นหน่วยที่ใช้วัดขนาดของเรือ (หน่วยเป็นตัน) นิยมใช้กับการบอกขนาดเรือรบ เป็นการใช้น้ำหนักส่วนที่เรือจมลงไปใต้น้ำมาแทนค่าปริมาตรเรือเพื่อหาขนาด หากเป็นค่าระวางขับน้ำสูงสุด นั่นหมายถึง น้ำหนักของเรือ รวมกับสิ่งของที่บรรทุกอยู่บนเรือทั้งหมด เช่น น้ำมัน เสบียง อาวุธ และสินค้าที่บรรทุกในระดับสูงสุด ที่วัดได้ ณ เส้น Summer Loadline เราสามารถเปรียบเทียบขนาดของเรือรบชนิดต่างๆ ได้ เช่น เรือหลวงจักรีนเบศร มีขนาด (ระวางขับน้ำเต็มที่) 11,544 ตัน ซึ่งยังถือว่าเล็กกว่าเรือประจัญบานยามาโตะของญี่ปุ่นที่มีขนาด (เต็มที่) 71,659 ตัน เป็นต้น
**** นอต (knot) เป็นหน่วยวัดอัตราความเร็วในการเคลื่อนที่ทางน้ำ (ใช้ในการเดินเรือและการบิน) โดยความเร็ว 1 นอต = 1 ไมล์ทะเลต่อชั่วโมง ซึ่งจากการคำนวนระยะทางในทะเลจะไม่เท่ากับการหาระยะทางบนบก เพราะจะต้องใช้เส้นรอบวงของโลก และองศามาคิดคำนวนด้วย จึงทำให้ไมล์ทะเลยาวกว่าไมล์บนบก (ระยะทาง 1 ไมล์ทะเล = 1.8 กิโลเมตร)
พิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง เป็นพิพิธภัณฑ์เรือกลางแจ้งลำแรกของไทย หลังจากปลดระวางแล้ว ได้นำมาตั้งให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมบนเรือและในเรือได้ เรือตั้งอยู่บนลานโล่ง ด้านข้างพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 โดยหันหน้าออกสู่ปากอ่าวไทย หัวเรือประดับครุฑ* ส่วนบริเวณท้ายเรือมีใบพัดเรือวางประกบอยู่ ด้านข้างเรือ มีบันไดทางขึ้นไปบนเรือได้
ด้านบนเรือหลวงแม่กลอง สามารถเดินชมได้ทั่ว หัวเรือจะประดับธงราชนาวีไทย** ภายในจัดวางอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ตามตำแหน่งการใช้งานจริง ส่วนของเรือประกอบด้วย หอบังคับการ ห้องนอน ห้องครัว อุปกรณ์การครัว หม้อหุงข้าว โต๊ะเก้าอี้รับประทานอาหาร ทั้งนี้เพื่อให้จินตนาการได้ถึงการใช้ชีวิตของลูกเรือขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่บนเรือ
* ครุฑ หรือพระครุฑพ่าห์ ที่ติดอยู่บนหัวเรือของเรือหลวงแม่กลองนั้น เป็นเสมือนตราอาร์ม (arm) หรือตราแผ่นดิน ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องหมายประจำชาติที่แสดงถึงอำนาจของชาติไทย ในขณะที่ออกไปสู่น่านน้ำต่างชาติ ทั้งยังเป็นประเพณีปฏิบัติของชาวเรือ ที่จะติดรูปครุฑที่หัวเรือรบขนาดใหญ่ ตามความเชื่อในเรื่องการคุ้มครอง ปกป้องจากศัตรู และได้รับชัยชนะกลับมา
** ธงราชนาวีไทย เป็นธงที่แสดงเครื่องหมายว่า เรือหรือสถานที่นั้นๆ ขึ้นตรงกับกระทรวงทหารเรือ (ต่อมาได้กลายเป็นกระทรวงกลาโหม) เป็นธงที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2460 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดยมีลักษณะพื้นหลังเหมือนธงไตรรงค์ มีแถบสีแดง ขาว น้ำเงิน แบบธงชาติไทยปกติ แต่ตรงกลางธง มีวงกลมสีแดงขนาดใหญ่ ภายในมีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น หันหน้าเข้าหาเสาธง
ข้อแนะนำในการขึ้นชมเรือหลวงแม่กลอง
- การเดินชมบนเรือ จะมีลูกศรให้เดินชมตามทิศทางที่ระบุ
- เพื่อความปลอดภัย ควรทำตามคำแนะนำในการขึ้นชมบนเรือ ไม่ปีนป่าย หรือหยอกล้อที่อาจทำให้เกิดอันตราย
- หากมีเด็กเล็ก ควรอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด
- ไม่ขีดเขียน หรือทำลายสิ่งของของทางราชการ
- บริเวณหัวเรือมีจุดที่ห้ามเข้าเพื่อเป็นพื้นที่สักการะแม่ย่านางเรือ
อุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ
อุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ ตั้งอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามร้านอาหารสโมสรท้ายเรือหลวงแม่กลอง มีการจัดแสดงอาวุธต่างๆ ทั้งบริเวณสวนด้านข้างอาคาร และส่วนที่อยู่ภายในอาคารนิทรรศการ ด้านในตัวอาคารจัดแสดงเกี่ยวกับการพัฒนาของกองทัพเรือ การสู้รบและความเสียหายที่เกิดขึ้น
การจัดการแสดงกลางแจ้งรอบนอกอาคาร เป็นจัดวางอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่แสดงถึงวิวัฒนาการด้านอาวุธในการป้องกันประเทศ โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มปืนเสือหมอบ ซึ่งเป็นปืนรุ่นแรกที่บรรจุทางท้ายกระบอก และเป็นอาวุธปืนหลุมที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วง ร.ศ.112
- กลุ่มปืนและอาวุธสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6
- กลุ่มปืนและอาวุธในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1, 2 ยุทธนาวีที่เกาะช้าง
- กลุ่มปืนและอาวุธที่กองทัพเรือใช้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน
- การจัดแสดงสิ่งก่อสร้างและส่วนประกอบต่างๆ ของเรือ
มีสิ่งที่จัดวางไว้ให้ชมหลายอย่างเช่น ปืนแกตลิ่งโบราณ ขนาด 37 มม. ตอร์ปิโด ป้อมปืนใหญ่ประจำเรือ ปล่องไฟเรือหลวงพระร่วง เป็นต้น
โรงเรียนศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน
เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่อยู่ภายในพื้นที่เขตป้อมพระจุล เดินเที่ยวชมธรรมชาติบนสะพานไม้ระแนงที่ตัดผ่านเข้าไปในเขตป่าชายเลน ระยะทางไม่ไกลมาก พอให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ระบบนิเวศ สิ่งมีชีวิต และพืชพรรณต่างๆ
ในปี พ.ศ.2550 กองทัพเรือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และการไฟฟ้านครหลวง ได้สนับสนุนงบประมาณการสร้างสะพานไม้เป็นระยะทาง 300 เมตร เข้าไปในป่าชายเลนบริเวณป้อมพระจุล ทางเข้ามีรูปปั้นปูก้ามดาบตัวโต คอยต้อนรับประจำการอยู่ด้านหน้า เส้นทางเดินเป็นไม้ระแนง มีรั้วกันตกทั้ง 2 ด้าน เป็นเส้นทางภายใต้ร่มเงาไม้ร่มรื่น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ เรื่องของพืชในแถบป่าชายเลน ที่ให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้อาศัยประโยชน์ในการหลบภัย อนุบาลตัวอ่อน พรรณไม้ต่างๆ ที่พบได้ในบริเวณนี้ได้แก่ โกงกาง โพทะเล ลำพู ลำแพน ต้นเหงือกปลาหมอ ส่วนสัตว์ที่อาศัยอยู่ในเขตป่าชายเลน เช่น ปลาตีน ปูก้ามดาบ ปูลม นอกจากนี้ยังเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของนกนานาชนิด เช่น นกนางนวล นกกระยาง เป็นต้น
ร้านอาหารสโมสรท้ายเรือหลวงแม่กลอง
เป็นร้านอาหารริมทะเลอยู่ในบริเวณป้อมพระจุลฯ ใกล้กับจุดท่องเที่ยวหลายแห่งบริเวณนี้
เวลาเปิด 10.00 - 22.00 น.
โทร. 02-475-6076, 02-453-7818, 081-936-3045
ข้อแนะนำ
- ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชมสถานที่
- การผ่านเข้าสู่ป้อมพระจุลฯ นั้นจะต้องลดกระจก และแลกบัตรเพื่อผ่านเข้าไปในเขตทหาร
- การเข้าชมห้องนิทรรศการบริเวณใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 จะต้องขออนุญาตล่วงหน้าในการเข้าชม ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายกิจการพลเรือน ป้อมพระจุลฯ (โทร. 02-475-6073)
การเดินทาง
ห่างจากพระสมุทรเจดีย์ 7 กิโลเมตร
ห่างจากอำเภอพระประแดง 18 กิโลเมตร
ห่างจากวัดสาขลา 13 กิโลเมตร
เส้นทางรถยนต์
เส้นทาง ถนนสุขสวัสดิ์ -> เลี้ยวขวาแยกพระสมุทรเจดีย์ (หอนาฬิกา) -> ป้อมพระจุลจอมเกล้า
1 | ใช้เส้นทางถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าพระประแดง -> ป้อมพระจุลจอมเกล้า ตรงตามเส้นทางไปเรื่อยๆ เมื่อถึงสามแยกพระสมุทรเจดีย์ (ตรงที่มีหอนาฬิกา) จะมีป้ายเลี้ยวขวาไปป้อมพระจุลจอมเกล้า |
2 | เลี้ยวขวาตามป้ายบอกทาง จากนั้นตรงไปตลอดจนสุดทาง (อีกประมาณ 7 กิโลเมตร) จะเป็นทางเข้าป้อมพระจุลจอมเกล้า |
3 | แลกบัตรตรงประตูทางเข้า แล้วตรงตามป้ายบอกทางไปยังบริเวณป้อมพระจุล |
* หากใช้ทางด่วนเฉลิมมหานคร ตามป้ายบอกทางดาวคะนอง พอข้ามสะพานพระราม 9 (สะพานแขวน) แล้วชิดซ้ายเพื่อออกถนนสุขสวัสดิ์ เมื่อเข้าสู่ถนนสุขสวัสดิ์แล้ว ตรงตามป้ายบอกทาง ป้อมพระจุลจอมเกล้า
** หากใช้วงแหวนอุตสาหกรรม สะพานภูมิพล (จากถนนปู่เจ้าสมิงพราย หรือ ถนนพระราม 3) ตามป้ายบอกทางลงถนนสุขสวัสดิ์ (พระประแดง) จากนั้นตรงตามป้ายบอกทาง ป้อมพระจุลจอมเกล้า
*** หากใช้ถนนวงแหวนรอบนอก กาญจนาภิเษก (จากฝั่งตะวันออก หรือ ฝั่งตะวันตก) ตามป้ายทางออกถนนสุขสวัสดิ์ (พระสมุทรเจดีย์) เมื่อเข้าสู่ถนนสุขสวัสดิ์แล้ว ตรงตามป้ายบอกทาง ป้อมพระจุลจอมเกล้าไปเรื่อยๆ
รถโดยสารประจำทาง (ดูรายละเอียด รถโดยสารประจำทาง)
รถเมล์
- หากขึ้นรถเมล์สาย ปอ.20 (ท่าน้ำดินแดง - พระสมุทรเจดีย์) ลงสุดสายที่ท่าเรือพระสมุทรเจดีย์ จากนั้นต่อรถสองแถวใหญ่หกล้อ สายเจดีย์ - ป้อมพระจุล (ตรงบริเวณนี้มีสองแถวหลายสาย ดูตามป้ายข้างรถ หรือถามคนขับ)
- หากขึ้นรถเมล์สาย ปอ.140 (ทางด่วน), ปอ.142 (ทางด่วน) พอลงจากทางด่วนแล้ว ให้ลงรถเมล์ป้ายแรก แล้วต่อรถเมล์สาย ปอ.20 (ให้ขึ้นเฉพาะรถใหญ่ รถมินิบัสจะไปไม่ถึง) ไปสุดสายที่พระสมุทรเจดีย์ จากนั้นต่อสองแถวใหญ่หกล้อ สายเจดีย์ - ป้อมพระจุล
สาย ปอ. 20 ท่าดินแดง - พระสมุทรเจดีย์ (รถแอร์ ยูโรสีส้ม)
เส้นทางเดินรถ: ท่าน้ำท่าดินแดง - ถนนลาดหญ้า - วงเวียนใหญ่ - ตลาดวงเวียนใหญ่ - แยกตากสิน - แยกมไหศวรรย์ - บิ๊กซีดาวคะนอง - บางปะแก้ว - บิ๊กซีบางปะกอก - โรงพยาบาลบางปะกอก 1 - แยกประชาอุทิศ - ถนนสุขสวัสดิ์ - กม.9(ลงทางด่วน) - แยกวัดสน - แยกพระประแดง - บิ๊กซีสุขสวัสดิ์(บิ๊กซีพระประแดง) - โรงเรียนราชประชาสมาสัย - วัดใหญ่ - สามแยกพระสมุทรเจดีย์(หอนาฬิกา) - ท่าน้ำพระสมุทรเจดีย์
** สาย 20 ที่เป็นรถมินิบัส (รถร้อน) จะสุดที่บิ๊กซีพระประแดง ไปไม่ถึงพระสมุทรเจดีย์ หากนั่งสายนี้มา ให้ลงรถที่บิ๊กซี แล้วต่อรถสองแถวใหญ่ สายพระประแดง - พระสมุทรเจดีย์
ข้อแนะนำ
- รถแอร์ สาย ปอ.20 จะมีรถเสริมพิเศษ (อาจมีเพียงไม่กี่คัน) ที่วิ่งเฉพาะวันธรรมดารอบเช้าและเย็น (6.00 น. หรือ 7.00 น.) จากท่าดินแดง ไปสุดสายที่ป้อมพระจุลเกล้า (สำหรับรับส่งเจ้าหน้าที่ทหารเรือที่ทำงานในป้อมพระจุล)
- รถสองแถวใหญ่ สายเจดีย์ - ป้อมพระจุล ให้บริการช่วง 6.00 - 16.00 น. (รถหมดค่อนข้างเร็ว ควรสอบถามเวลาเดินรถที่แน่นอนจากคนขับอีกครั้ง หลังจากรถหมดแล้ว จะค่อนข้างลำบากในหารถกลับออกมา)
รถตู้ (ดูรายละเอียด รถตู้)
- นั่งรถตู้สาย บางปะแก้ว - พระสมุทรเจดีย์ (คิวรถอยู่แถวตลาดบางปะกอก ช่วงแยกพระราม 2)
- จากนั้นต่อรถสองแถวหกล้อ สายเจดีย์ - ป้อมพระจุล ตรงบริเวณท่าเรือพระสมุทรเจดีย์
เรือข้ามฟาก (ดูรายละเอียด เรือข้ามฟาก)
ท่าเรือวิบูลย์ศรี (ตลาดปากน้ำ) - ท่าพระสมุทรเจดีย์
- นั่งเรือข้ามฟากจากตัวเมืองปากน้ำ (ท่าเรือวิบูลย์ศรี) ตรงตลาดปากน้ำ มาขึ้นท่าพระสมุทรเจดีย์
- ออกจากท่าเรือแล้ว ต่อรถสองแถวใหญ่หกล้อ สายเจดีย์ - ป้อมพระจุล (รถจอดแถวบริเวณท่าน้ำ)
ท่าเรือเภตรา (ปู่เจ้าสมิงพราย) - ท่าพระประแดง
- นั่งเรือข้ามฟากจากท่าเรือเภตรา ตรงสุดถนนปู่เจ้าสมิงพราย มาขึ้นฝั่งที่ท่าพระประแดง
- จากนั้นขึ้นรถสองแถวใหญ่หกล้อ สายพระประแดง - พระสมุทรเจดีย์ (ขึ้นแถวท่าน้ำได้เลย) ไปลงสุดสาย แล้วต่อรถสองแถวใหญ่ สายเจดีย์ - ป้อมพระจุล (คิวรถอยู่บริเวณท่าน้ำ)
เวลาเปิด 8.00 - 20.00 น.
ที่อยู่ ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ 10290
โทร. 061-676-7843