จังหวัดสมุทรปราการ เป็นจังหวัดที่มีของดี ของฝากประจำจังหวัดที่เป็นที่รู้จัก และมีชื่อเสียงมาก ก็คือ ปลาสลิดบางบ่อ และ กุ้งเหยียดบ้านสาขลา ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว คนที่ใช้เส้นทางผ่านไปแถบอำเภอบางพลี บางปู หรือบางบ่อ ก็สามารถแวะซื้อปลาสลิดบางบ่อได้ไม่ยาก เพราะมีขายอยู่มากมายหลายเจ้า ทั้งตามตลาด และร้านริมทางบนถนนสายหลัก ส่วนกุ้งเหยียดบ้านสาขลา หากต้องการซื้อจากแหล่งขายจริงๆ แล้วละก็ แวะไปเที่ยวป้อมพระจุลจอมเกล้า หรือเที่ยวแถววัดสาขลา ก็สามารถแวะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปได้เช่นกัน ปลาสลิดบางบ่อ ปลาสลิดบางบ่อ นับเป็นสินค้าเศรษฐกิจของจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนใหญ่จะเพาะเลี้ยงในพื้นที่อำเภอบางบ่อ และบางพลี จนมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ แม้จะมีปลาสลิดจากจังหวัดอื่นๆ ทำออกมาขาย แต่คำว่า ปลาสลิดบางบ่อ ก็กลายเป็นชื่อที่ติดหู ติดปาก และติดอยู่ในใจของผู้คนตลอดมา เมื่อพูดถึงปลาสลิดที่จะซื้อเป็นของฝากนั้น จะหมายถึงปลาตากแห้ง ที่แปรรูปเป็นปลาเค็มแล้ว และมักจะไม่ค่อยพูดถึงปลาสลิดสด เพราะปลาส่วนใหญ่จะถูกแปรรูปทั้งหมด ปลาที่วางขายให้เห็น จะเป็นปลาแห้งทั้งตัว ไม่มีหัว ไม่มีเกล็ด เหลือครีบหลังและหางไว้ (ไม่ได้ผ่าครึ่งออกเหมือนปลาช่อนตากแห้ง) ตัวออกลายๆ แบนๆ มีขนาดเท่าฝ่ามือ ซื้อมาทอด ได้รสชาติเค็มๆ ทานกับข้าวสวย ข้าวต้ม หรือนำมายำก็ได้ Click ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ปลาสลิด ความเป็นมาของปลาสลิดบางบ่อ ในสมัยก่อน พื้นที่จังหวัดสมุทรปราการมีการทำนากันมาก ในนาก็มีปลาสลิดที่มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อการทำนาได้รายได้ไม่ค่อยดีนัก จึงมีผู้ริเริ่มทำสินค้าแปรรูป โดยรับซื้อปลาสลิดจากท้องนา มาทำเป็นปลาตากแห้ง เมื่อธุรกิจการทำปลาสลิดดีขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านจึงเปลี่ยนการทำนาข้าว มาทำให้เป็นนาปลาสลิด ที่เพาะเลี้ยงปลาสลิดแบบธรรมชาติ จนได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมการเลี้ยงจากภาครัฐ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2483 เรื่อยมา และจากการสำรวจพบว่า ในปี พ.ศ.2510 ที่อำเภอบางบ่อมีพื้นที่เลี้ยงปลาสลิดนับแสนไร่ พื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ในอำเภอบางบ่อ และบางพลี เป็นพื้นที่ที่มีการทำนาปลาสลิดกันมาก โดยทั่วไปแล้วมองเผินๆ อาจนึกว่าเป็นแปลงข้าว หรือเป็นแอ่งน้ำธรรมชาติ เพราะในพื้นที่เลี้ยงปลาจะมีต้นหญ้าขึ้นอยู่ด้วย เนื่องจากเป็นที่น้ำท่วมถึงอยู่แล้ว น้ำเป็นน้ำกร่อย ดินเป็นแบบลักจืดลักเค็ม มีความเหมาะสมในการเลี้ยงปลาสลิดโดยวิธีธรรมชาติ เพราะจะมีพวกหญ้าทนน้ำอย่าง หญ้าแห้วทรงกระเทียม หญ้าแพรก หญ้าสองคลอง ขึ้นอยู่ในบริเวณนาปลาสลิดด้วย หญ้าเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงปลาสลิดแบบธรรมชาติด้วย มารู้จักปลาสลิดกันก่อน ปลาสลิด หรือมีอีกชื่อนึงว่า ปลาใบไม้ เพราะมีรูปร่างออกแบนๆ คล้ายใบไม้ แต่คนส่วนใหญ่ ก็มักจะรู้จัก และคุ้นเคยกับชื่อ ปลาสลิด มากกว่า ซึ่งคำว่า "สลิด" นี้ มีที่มาจากคำว่า จริต เพราะเป็นปลาที่ชอบดีด และสะบัดตัว ดูมีจริตจะก้าน ชาวบ้านจึงเรียกว ปลาจริต จนเพี้ยนมาเป็นคำว่า ปลาสลิด จนทุกวันนี้ ปลาสลิดเป็นปลาน้ำจืด จัดอยู่ในวงศ์ Osphronemidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับปลากัด ปลากระดี่ (หน้าตาคล้ายกับปลากระดี่หม้อ) มีหัวโต ตาโต ปากเล็ก ครีบอกใหญ่ ปลายหางมน ลำตัวมีสีออกอมเขียว ตัวยาวราวหนึ่งฝ่ามือ (ประมาณ 10-16 เซนติเมตร) มีลายแนวเฉียงขวางลำตัว เมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักเฉลี่ย 130-400 กรัม ฤดูสืบพันธุ์ของปลาสลิดอยู่ในช่วงเดือนเมษายน - สิงหาคม สามารถผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุ 7 เดือนขึ้นไป ธรรมชาติของปลาชนิดนี้ จะวางไข่โดยการก่อหวอดตามผิวน้ำ (เหมือนกับปลากัด) วางไข่ครั้งละ 4,000 - 10,000 ฟอง สามารถวางไข่ได้หลายครั้ง โดยมีพ่อปลาเป็นผู้ดูแลไข่จนฟักเป็นตัว ตามธรรมชาติของปลาสลิดจะชอบอาศัยอยู่ในน้ำนิ่งที่มีหญ้า หรือพืชน้ำขึ้น เพื่ออาศัยหลบภัยจากศัตรู โดยเฉพาะในช่วงผสมพันธ์ุ และฤดูวางไข่ ทั้งนี้พืชน้ำต่างๆ ยังเป็นแหล่งอาหาร แหล่งแพรงตอนสำหรับปลาด้วย การเลี้ยงปลาสลิด การเลี้ยงปลาสลิด ในจังหวัดสมุทรปราการ ช่วงแรกๆ นั้น จะเลี้ยงปลาในนาข้าวเลย จึงมักเรียกว่า นาปลาสลิด ซึ่งปัจจุบันได้มีการดัดแปลงนาข้าวเดิม (ไม่ทำนาแล้ว) มาเลี้ยงปลาสลิดอย่างเดียว หรือเลี้ยงในบ่อ ในร่องสวนก็มี ขั้นตอนการเลี้ยงปลาสลิดแบบธรรมชาติ มักเรียกว่า นาปลาสลิด โดยมีชาวนาปลาสลิดคอยเตรียมพื้นที่ให้เหมาะสม ต้องเตรียมพื้นที่สำหรับลูกปลา มีบ่อพักปลา แล้วปล่อยน้ำใส่ไว้ให้เป็นแอ่งน้ำตื้นๆ แบบไม่ลึกมากนัก ในพื้นที่เลี้ยงปลา จะต้องมีหญ้าสำหรับให้ปลาได้อาศัยพักพิงด้วย จากนั้นก็ปล่อยพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาลงไปในบ่อ เมื่อปลาผสมพันธุ์กันในบ่อ ตัวผู้จะก่อหวอด (หวอด มีลักษณะเป็นฟองอากาศสำหรับให้แม่ปลาเอาไข่มาผสม เป็นที่ฟักไข่ปลา) หวอดจะอยู่ตามกอหญ้า เมื่อแม่ปลาวางไข่แล้ว พ่อปลาจะคอยดูแลจนลูกปลาออกจากไข่ และเติบโตในนา หลังจากนั้นชาวนาปลาสลิดจะต้องฟันหญ้าที่อยู่ในนา ให้หญ้าหล่นลงในน้ำที่เป็นที่อยู่ของปลา เพื่อให้เป็นที่อาศัยของลูกปลา และเมื่อหญ้าหมักอยู่ในน้ำจนเปื่อยเน่า เกิดเป็นตะไคร่ มีแพรงตอน ให้ลูกปลาได้กินเป็นอาหารตามธรรมชาติ บางคนอาจช่วยเพิ่มอาหารเสริมด้วยรำข้าวด้วยก็ได้ การเลี้ยงปลาสลิดจะใช้ระยะเวลา 10-12 เดือน ระหว่างเลี้ยงก็ต้องคอยดูแลไม่ให้น้ำเน่าเสีย หรือมีแมลงมากัดปลา ระวังนกกินปลา และตัวเงินตัวทองที่อาจลงมากินปลาด้วย เมื่อได้ปลาที่โตเต็มที่พร้อมที่จะนำออกขาย ก็จะทำการวิดน้ำในบ่อออกให้หมด โดยใช้ระหัดวิดน้ำออก ตัวระหัดจะวิดน้ำออก พร้อมทั้งนำปลาขึ้นมาจากบ่อด้วย การขายปลาสลิดสด จะเป็นการขายออกไปทีเดียวหมดทั้งบ่อ ตอนวิดปลาขึ้นจากบ่อ คนซื้อ (เป็นพ่อค้าแม่ค้า ที่จะนำปลาไปแปรรูป) จะมารับซื้อกันที่หน้าบ่อปลา ซื้อแบบเหมาโดยคิดเป็นหาบ (1 หาบ = 100 กิโลกรัม) จากหน้าบ่อเลย การเลี้ยงปลาสลิดจะเลี้ยงกันปีละหนเท่านั้น ส่วนที่มีปลาขายตลอดทั้งปีนั้น เป็นเพราะบางครั้งจะนำปลาสดเข้าตู้แช่แข็งไว้สำหรับการผลิตในช่วงอื่นๆ ของปี การแปรรูปปลาสลิด พ่อค้าแม่ค้าที่รับแปรรูปปลาสลิด เมื่อซื้อปลาสลิดสดมาจากบ่อแล้ว ก็จะนำมาแปรรูป ด้วยวิธีถนอมอาหารแบบดั้งเดิม โดยการหมักด้วยเกลือ แล้วนำไปตากแดด (บางรายอาจใส่น้ำส้มสายชูเพื่อให้ผิวสวย ผิวตึง) ปลาแปรรูปแล้วจะสามารถเก็บไว้กินได้นานขึ้น ทอดแล้วได้รสชาติดี ทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับการค้าปลาด้วย ปลาสลิดแปรรูป แบ่งได้เป็นสองวิธี ซึ่งทำให้ได้ปลาออกมา 2 แบบ คือ ปลาสลิดแดดเดียว และปลาสลิดหอม (ปลาสองแดด) 1) ปลาสลิดแดดเดียว ปลาสลิดแดดเดียว หรือที่คนทำปลาเรียกว่าปลาน้ำแข็ง / ปลาดองน้ำแข็ง เป็นกระบวนการแปรรูปที่ค่อนข้างนิยมทำกันมาก ร้อยละ 80 ของปลาสลิดสด จะถูกนำมาทำเป็นปลาสลิดแดดเดียว เพราะทำออกขายได้รวดเร็ว ใช้ระยะเวลาในการทำสั้น และได้น้ำหนักดี ปลาสลิดแดดเดียว หลังจากแปรรูปแล้ว จะมีลักษณะแบบปลาแห้ง เนื้อฉ่ำแบบยังไม่แห้งสนิทนัก เนื้อปลาตึงๆ มีน้ำหนักค่อนข้างมาก เพราะตากแดดให้พอผิวแห้งๆ ก็นำออกขายได้เลย จึงได้น้ำหนักดี เวลาทอดกินเนื้อนิ่มไม่แห้งแข็งจนเกินไป แต่การเก็บปลาแดดเดียว เมื่อซื้อไปแล้ว หากยังไม่ทอดทันที อาจต้องตากซ้ำอีกสักหน่อย เพื่อให้ปลาแห้งสนิท หรือนำเข้าช่องแข็งไปเลย กระบวนการแปรรูปปลาสลิดแดดเดียว - เมื่อซื้อปลาสดจากบ่อเลี้ยงมาเข้าโรงทำปลา จะมีการใส่น้ำแข็งเพื่อระงับการเน่าเสียของปลา (เรียกว่าน็อคน้ำแข็ง หรือดองน้ำแข็ง) - นำปลามาตัดหัว* ขอดเกล็ด ควักไส้พุงทิ้งไป เหลือครีบหลังและหางไว้ไม่ตัดทิ้ง หากมีไข่ แยกไข่ออกมาเก็บไว้ตากขายต่างหาก * ที่ต้องตัดหัวปลาออกนั้น เพื่อให้ตอนตากปลา ปลาจะได้แห้งเข้าไปถึงข้างในตัวปลา และช่วยให้เกลือเข้าไปถึงข้างในปลาได้ด้วยด้วย ปลาจะได้ไม่มีกลิ่นเหม็น - หลังจากทำปลาแล้ว นำปลามาล้างให้สะอาด - จากนั้นเป็นขั้นตอนการหมักเกลือ หรือดองเกลือ ด้วยการนำปลาไปคลุกกับเกลือสมุทร (อัตราส่วนเกลือที่ใส่ จะขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละร้าน) โดยแบ่งปลามาคลุกเกลือแล้วใส่ในถังหมัก โปะทับด้วยน้ำแข็ง สลับกับใส่ปลาคลุกเกลือลงไปอีกชั้น แล้วโปะน้ำแข็ง ทำเป็นชั้นๆ ไป (จะต้องให้ถึงเกลือ และถึงน้ำแข็ง) จากนั้นดองไว้ 1 คืน - วันรุ่งขึ้น นำปลาที่หมักไว้ออกมาล้างเกลือออก แล้วจึงนำไปตากแดด การตากปลาสลิด ยังคงนิยมเรียงปลาบนแคร่ไม้ไผ่ หรือแคร่ที่โปร่ง ตากในที่โล่ง ให้โดนแดด และมีลมโกรกได้ตลอดทั้งด้านบนด้านล่างตัวปลา เรียงหัวหางไว้ทางเดียวกันอย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้รู้ว่าตากด้านไหนไปแล้ว การตากปลาแดดเดียว จะตากไว้ไม่นาน ให้ปลาด้านหนึ่งโดนแดดประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นก็กลับปลาให้อีกข้างนึงให้โดนแดด พอให้ได้หนังตึงๆ ก็สามารถนำขายเป็นปลาสลิดแดดเดียวได้เลย ปลาแดดเดียวที่ได้จะไม่แห้งมากนัก และมีน้ำหนักมากกว่าปลาสลิดหอม 2) ปลาสลิดหอม ปลาสลิดหอม / ปลาหอม / ปลาจืด / ปลาสองแดด หรือบางคนเรียกว่าปลาตุ เป็นการแปรรูปปลาสลิดแบบดั้งเดิมของชาวบางบ่อ หลายคนบอกว่ากินปลาสลิดบางบ่อแท้ๆ จะต้องเป็นปลาหอมเท่านั้น ปลาสลิดหอม ได้ชื่อว่าหอมเพราะเวลาทอดจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว (บางคนบอกหอม บางคนอาจว่ากลิ่นตุๆ) ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน ปลาที่แปรรูปเป็นปลาสลิดหอม ปัจจุบันมีการทำในปริมาณน้อยกว่าปลาสลิดแดดเดียว เพราะมีกระบวนการทำค่อนข้างยุ่งยากกว่า ใช้ระยะเวลาในการทำปลานานกว่า เป็นการดองปลาโดยไม่ใส่น้ำแข็ง จึงต้องใช้ความชำนาญในการทำปลามากกว่า ร้านริมทางที่ขายอยู่ทั่วไป บางร้านอาจขายเฉพาะปลาแดดเดียว (ไม่มีปลาหอม) ปลาสลิดหอมที่แปรรูปแล้วจะมีลักษณะต่างกับปลาแดดเดียว คือ ได้ปลาน้ำหนักเบากว่าปลาแดดเดียว ตัวจะแบนและบางกว่า เนื้อแน่น แห้งกว่า มีกลิ่นหอมเวลาทอด และราคาค่อนข้างสูงกว่าปลาแดดเดียว กระบวนการแปรรูปปลาสลิดหอม - นำปลาสดมาเข้าโรงทำปลา นำปลามาตัดหัว ขอดเกล็ด ควักไส้พุงออก โดยเหลือครีบ และหางไว้ หากมีไข่ แยกไข่ไว้ต่างหาก - นำปลาที่ทำแล้ว ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติสักระยะหนึ่ง (โดยไม่ต้องใส่น้ำแข็ง) เพื่อปล่อยให้เนื้อตาย เนื้อปลาจะออกสีขาวขุ่น - จากนั้นนำปลาไปหมักเกลือ หรือดองเกลือ คลุกเกลือให้ทั่ว (ตามอัตราส่วนของแต่ละร้าน) ทิ้งไว้ข้ามคืนโดยไม่ต้องใส่น้ำแข็งเลย เกลือจะช่วยยับยั้งแบคทีเรีย ช่วยไม่ให้ปลาเน่า (ขั้นตอนนี้ค่อนข้างพิเศษ ที่ต้องมีความรู้ ความชำนาญในการทำ มิฉะนั้นปลาอาจเน่าได้) - วันรุ่งขึ้นนำปลาออกมาล้างเกลือ และล้างเมือกตามตัวออกจนหมด (บางเจ้าจะแช่น้ำเพื่อลดความเค็ม) - นำปลาไปเรียงตากแดด ดัดตัวปลาให้ตรง จัดครีบให้สวย ปลาสลิดหอมจะใช้เวลาตากนานกว่าปลาแดดเดียว คือประมาณแดดครึ่ง - 2 แดด จนปลาแห้งสนิทจึงนำออกจำหน่ายได้ * ตากแดดครึ่งก็คือ ตากไว้ก่อนหนึ่งวัน พอวันรุ่งขึ้นก็นำออกมาตากต่ออีกครึ่งวัน หากตาก 2 แดด ก็คือตาก 2 วัน จะได้ปลาที่แห้งดี ไม่มีเน่าเสีย (บางคนจึงเรียกปลาสลิดหอมว่า ปลาสองแดด) การเลือกซื้อปลาสลิด - การเลือกปลาสลิดแดดเดียว ควรเลือกตัวที่เนื้อฉ่ำๆ เนื้อดูอูมๆ เนื้อแข็ง ลองบีบตัวปลาเบาๆ ต้องหยุ่นมือ ไม่เละ ไม่ยุ่ย ผิวแห้ง ไม่มีกลิ่นเหม็น เมื่อส่องดูข้างในปลา (ส่องจากทางหัวที่ถูกตัดออกไปแล้ว) ควรเห็นเนื้อขาว และบัวไม่แตก (บัวก็คือเยื่อที่เป็นมันในตัวปลา ส่องตรงช่องหัวปลาไปจะเห็นบัว) - การเลือกปลาสลิดหอม ผิวจะดำ เนื้อเป็นมันเงา เลือกตัวที่แห้งสนิท ครีบเรียบร้อยไม่แตก ส่องดูข้างในปลายังมีเยื่อไขมันอยู่ข้างใน ข้อแนะนำในการเลือกซื้อปลาสลิด - ช่วงที่ปลาสลิดอร่อยที่สุด จะเป็นช่วงปลายปี ในฤดูหนาว ราวเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม (ช่วงปีใหม่) ปลาที่ได้ จะมีเนื้อหนา เนื้อมีความมัน ส่วนปลาสลิดที่นำออกมาขายในช่วงเดือนอื่นๆ มักจะเป็นปลาที่ถูกเก็บแช่แข็งสำรองไว้ เนื้อจึงมีความมันน้อยกว่า
- เนื่องจากปลาสลิดมีสองชนิด หากซื้อปลาสลิดแดดเดียวน้ำหนักจะค่อนข้างมาก ซื้อได้ไม่กี่ตัวต่อกิโลกรัม หากเป็นปลาสลิดหอม จะได้จำนวนตัวต่อกิโลกรัมมากกว่า
- ราคาปลาสลิดจะขึ้นอยู่กับฤดูกาล ขนาดของปลา และคุณภาพของปลาที่ได้ มีตั้งแต่ราคากิโลกรัมละ 200 - 400 บาท (อาจแพงกว่านี้ กรณีปลาหายาก)
- เวลาซื้อปลาสลิด บางครั้งก็จะพูดกันเป็นจำนวนตัวต่อกิโลกรัม เช่น ปลาแดดเดียวขนาด 4-5 ตัวโล (หมายถึงซื้อ 1 กิโลกรัมได้ปลา 4-5 ตัว) ถือเป็นปลาไซส์ใหญ่มาก ขนาดนี้ราคาต่อกิโลกรัมก็จะแพงกว่าปลาขนาด 6-7 ตัว/กิโลกรัม
- คนที่ชอบทานปลาประเภทเนื้อเยอะๆ เวลาซื้อให้เลือกซื้อปลาที่ขนาดใหญ่จะได้เนื้อปลาเยอะ ส่วนคนที่ชอบแบบกรอบทั้งตัว ซื้อไซส์เล็ก ทอดดีๆ ก็สามารถทอดให้กรอบทั้งตัวแบบกินได้ถึงก้าง นอกจากนี้ยังมีปลาสลิดที่เรียกว่า "ปลาวง" เป็นปลาสลิดขนาดเล็ก ที่เวลาตากจะนำปลามาเรียงกันเป็นวงกลม
- ปลาสลิดหอม (หรือปลา 2 แดด) จะเป็นปลาที่แห้ง และมีน้ำหนักเบากว่าปลาแดดเดียว จึงมักจะได้จำนวนตัวต่อกิโลกรัมมากกว่า เช่น 17-20 ตัว/กิโลกรัม (ราคาต่อกิโลกรัมจะแพงกว่าปลาแดดเดียว)
- ปลาสลิดที่ดี ทอดแล้วจะต้องไม่เค็มมาก เนื้อนุ่ม แกะเนื้อออกมายังคงมีมันติดอยู่
การเก็บปลาสลิด - เมื่อซื้อปลาสลิดตากแห้ง บางร้านจะใส่เป็นถุงกระดาษมาให้ บางร้านก็จะมีเครื่องซีลสุญากาศให้เพื่อกันกลิ่น หรือสำหรับส่งไปที่ไกลๆ หากซื้อปลามาแล้วยังไม่ทอดทานทันที ถ้าเป็นปลาสลิดแดดเดียว จะนำออกตากให้แห้งอีกสักหน่อยก็ได้ หรือห่อด้วยกระดาษสะอาดๆ แล้วใส่ในถุงพลาสติก (ถุงซิป) อีกที ปิดปากถุงให้แน่น แช่ช่องฟรีซแบบแช่แข็งไปเลย ก็จะเก็บได้นาน เวลานำออกมาทอด ให้วางไว้ในอุณหภูมิห้อง รอให้น้ำแข็งละลายก่อน จึงค่อยนำไปทอด
- หากต้องการส่งไปรษณีย์ ปลาสลิดควรเป็นปลาที่ตากแห้งสนิท ไม่มีกลิ่น การห่อปลา ควรซีลสุญากาศ หรือห่อด้วยกระดาษหลายๆ ชั้น ใส่ในถุงพลาสติกหรือถุงซิป (อาจใส่ลูกมะกรูดหั่นเป็นแว่นๆ ไว้ในถุงด้วยเพื่อดับกลิ่น) จากนั้นส่ง EMS ไปเลย เพื่อความรวดเร็ว
- บางคนเมื่อซื้อปลามาทีละหลายตัว แล้วไม่ต้องการทอดบ่อยๆ ก็สามารถทอดไว้ทั้งหมดทีเดียว แล้วนำปลาที่ทอดแล้ว เก็บใส่ถุงพลาสติกรัดยางให้แน่น แช่ตู้เย็นเก็บไว้กินภายหลังได้
- หากซื้อเพื่อนำไปต่างประเทศ ควรซื้อเป็นปลาสลิดหอม เพราะตากค่อนข้างแห้งกว่าปลาแดดเดียว ไม่เกิดการเน่าเสียระหว่างทาง หรือจะซื้อแบบทอดแล้ว ก็จะยิ่งสะดวกกว่า
วิธีทอดปลาสลิด 1. หากเป็นปลาที่เพิ่งซื้อมา แล้วต้องการทอดทานเลย ก่อนทอดควรล้างปลาด้วยน้ำธรรมดา เพื่อล้างสิ่งสกปรกหรือฝุ่นออกก่อน จากนั้นพักให้สะเด็ดน้ำ หรือใช้กระดาษทิชชู่ซับด้านนอกตัวปลาให้แห้ง บั้งข้างละ 1-2 บั้ง (บางคนอาจบั้งเป็นรูปกากบาท หรือเป็นริ้วก็มี) หากเป็นปลาที่เก็บอยู่ในช่องฟรีซ เมื่อนำออกมาทอด ควรวางไว้ที่อุณภูมิห้องให้น้ำแข็งละลายก่อน จากนั้นล้างแล้วซับให้แห้งก่อนทอด 2. การนำปลาสลิดไปทอด ทำได้หลายวิธี แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน - ทอดทานแบบนุ่มใน ใช้น้ำมันพอให้ท่วมปลานิดๆ (ไม่ต้องใช้น้ำมันมาก) ก่อนทอดเร่งไฟให้น้ำมันร้อนจัด พอนำปลาลงกระทะ ให้หรี่ไฟเป็นไฟกลางถึงอ่อน ใส่ปลาแล้ว ทอดให้ปลาด้านที่โดนน้ำมันเหลืองสุก จากนั้นกลับปลาอีกข้างให้โดนน้ำมัน (ไม่กลับไปมาบ่อยๆ) จะได้ปลาทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน ทานกับข้าวสวยร้อนๆ - ทอดแบบให้กรอบทั้งตัว จะต้องทอด 2 รอบ (ทอดด้วยน้ำมันปาล์ม จะช่วยให้กรอบได้ดีกว่า) ทอดรอบแรกให้พอสุก เนื้อออกขาวๆ หรือเหลืองนิดๆ จากนั้นนำขึ้นมาพัก แล้วแกะเอาแต่เนื้อ วิธีการแกะเนื้อปลาออก คือ นำปลามาวางตั้ง (ท่าเดียวกับปลาที่กำลังว่ายน้ำ) แล้วเอาสันมีดทุบตรงครีบด้านบนเบาๆ เนื้อปลาจะหลุดออกมาจากก้างกลางตัว จากนั้นนำเนื้อปลาลงทอดอีกครั้ง ใช้ไฟอ่อน ทอดจนเหลือง จะได้เนื้อปลากรอบฟู (เวลาเก็บปลาสลิดทอดกรอบ ควรใส่ถุง รัดหนังยางให้แน่น จะเก็บไว้ได้นาน) เมนูปลาสลิด ปลาสลิดที่ทอดแล้ว สามารถนำมาทานกับข้าวสวย หรือข้าวต้มได้เลย เพราะจะมีรสชาติออกเค็มปะแล่มๆ กำลังดี หรือจะทานเป็นเครื่องแนมกับอาหารอื่น เช่นทานคู่กับแกงส้ม ทานกับน้ำพริกกะปิ บ้างก็นำมาประกอบอาหารเป็นเมนูใหม่ เช่น - ยำปลาสลิดทอด - ต้มโคล้งใบมะขามใส่ปลาสลิด - ต้มข่าปลาสลิด - ข้าวผัดปลาสลิด - น้ำพริกปลาสลิด - ปลาสลิดผัดพริกขิง - ผัดคะน้าปลาสลิด - สปาเกตตี้ปลาสลิด นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาสลิดอีกมากมาย เช่น ปลาสลิดฟู น้ำพริกเผาปลาสลิด น้ำพริกนรกปลาสลิด เนื้อปลาสลิดอบกรอบ ก้างปลาสลิดทอดกรอบ เป็นต้น แหล่งซื้อปลาสลิดบางบ่อ การซื้อปลาสลิดบางบ่อ ปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ง่าย เพราะมีส่งขายไปทั่วประเทศ ตามตลาดต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด รวมถึงสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้จากหลายเจ้าได้แล้ว หลายคนอยากรู้ว่า หากผ่านไปย่านบางบ่อจะสามารถหาซื้อปลาสลิดได้จากเจ้าไหนได้บ้าง เจ้าไหนดัง มีคนชื่นชอบ ร้านไหนได้ออกรายการทีวี หรือมีคนติดตามถามถึงบ่อย ส่วนใหญ่แล้วปลาสลิดบางบ่อ จะหาซื้อได้ตามแหล่งซื้อต่างๆ เช่น - ริมถนนสุขุมวิทสายเก่า ตั้งแต่ช่วงคลองด่าน ไปทางวัดสีล้ง จนไปถึงแถววัดหงษ์ทอง (อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา) เป็นแผงริมทาง มีหลายเจ้า หลายราคา ทั้งปลาสลิดแดดเดียว และปลาหอม - ในตลาดบางบ่อ บริเวณเชิงสะพานข้ามคลองสำโรง ตรงตลาดบางบ่อ เป็นเจ้าใหญ่ที่มีผู้คนมาซื้อไปขายยังตลาดในกรุงเทพฯ - ริมถนนหลวงแพ่ง เป็นร้านแผงลอยริมทาง มีให้เห็นอยู่ไม่มากนัก - ริมถนนบางนา-ตราด มีร้านริมทางให้เห็นเป็นบางเจ้า แม่อำนวย ปลาสลิดบางบ่อ ร้านแม่อำนวย เป็นร้านขายปลาสลิดเก่าแก่ที่สืบทอดการขายปลาสลิดจากรุ่นสู่รุ่น เริ่มมาตั้งแต่ปี 2500 (60 ปีมาแล้ว) เริ่มจากคุณยายเผือด ทองค้าไม้ ผู้ริเริ่มผันตัวจากการทำนามารับซื้อปลาสลิดของชาวบ้าน นำมาตากแห้งและทำเค็มตามภูมิปัญญาดั้งเดิม จนได้รับความนิยม ต่อมาได้ส่งต่ออาชีพการทำปลาสลิดให้กับแม่อำนวย นาคเกิด และสืบทอดมายัง คุณศิวะพร (คุณต้อม) ซึ่งปัจจุบันนับเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว ปลาสลิดร้านแม่อำนวย ได้รับรางวัลการันตีมากมาย ทั้งยังได้ออกรายการทีวีอีกหลายรายการ ทางร้านจัดจำหน่ายปลาสลิดขายทั้งปลีก-ส่ง มีหลายขนาดให้เลือก นอกจากนี้ยังมีไข่ปลาสลิดตากแห้ง และปลาตากแห้งชนิดอื่นๆ เช่น ปลาดุกแดดเดียว ปลากุเรา ปลาจวด ปลากระบอก ผลิตภัณฑ์จากร้านแม่อำนวย ได้ต่อยอดพัฒนาสินค้าใหม่เพิ่มเติม ด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น น้ำพริกนรกปลาสลิด และสินค้าชื่อการค้า สลิดสนุก เช่น เนื้อปลาสลิดอบกรอบ (ปลาสลิดอบกรอบสำหรับกินเล่น) ก้างปลาสลิดทอดกรอบ เป็นต้น ร้านแม่อำนวย มีแผงขายอยู่ริมถนนสุขุมวิทสายเก่า (กม.60) เลยจากตลาดคลองด่านไปราว 3 กิโลเมตร (ก่อนถึงวัดสีล้ง) ข้อมูลจากแหล่งอื่น และ รีวิว : 1 การเดินทาง ถนนสุขุมวิทสายเก่า - หากเดินทางโดยใช้เส้นทางสุขุมวิทสายเก่า จากตัวเมืองสมุทรปราการ มุ่งหน้าบางปู - คลองด่าน เส้นทางจะผ่านสถานตากอากาศบางปู โลตัสบางปู แยกคลองส่งน้ำสุวรรณภูมิ โรงเรียนนวมินราชูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย สมุทรปราการ เรือนจำคลองด่าน ตลาดคลองด่าน พอผ่านไฟแดงสามแยกวัดหลวงพ่อปาน (ทางเลี้ยวไปบางบ่อ) ตรงไปอีกสักระยะจะเห็นร้านแม่อำนวย อยู่ริมถนนทางซ้ายมือ (หากผ่านวัดสีล้งแสดงว่าเลยแล้ว) ถนนบางนา-ตราด - หากเดินทางจากแยกบางนา โดยใช้เส้นทางถนนบางนา-ตราด (ขาออก) มุ่งหน้าชลบุรี เส้นทางจะผ่าน เซ็นทรัลบางนา เมกาบางนา ตลาดกิ่งแก้ว ม.หัวเฉียว ม.เอแบค 2 จากนั้นจึงกลับรถที่สะพานกลับรถบางบ่อ - กลับรถมาแล้ว จึงเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นบางบ่อ - เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนที่ตรงเข้าบางบ่อ ให้ตรงไปตามเส้นทางหลัก ผ่านตลาดเสริมสุข ตลาดบางบ่อ ตรงตามป้ายสุขุมวิท ไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร จนกระทั่งสุดทาง ถึงสามแยกถนนสุขุมวิทสายเก่า จึงเลี้ยวซ้ายไปทางบางปะกง / ชลบุรี - เลี้ยวเข้าถนนสุขุมวิทสายเก่าแล้ว ตรงไปเกือบๆ 2 กิโลเมตร ร้านจะอยู่ริมถนนซ้ายมือ ข้อมูลการติดต่อ ที่อยู่ 246 หมู่ 12 ถนนสุขุมวิทสายเก่า (กม.60) ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 10550 โทร. 086-396-3450, 090-415-2038 เฟสบุ๊ค: Facebook แสนสมบูรณ์ ปลาสลิดบางบ่อ ร้านแสนสมบูรณ์ เป็นร้านที่เปิดขายมานานกว่า 20 ปี จำหน่ายทั้งปลาแดดเดียว และปลาสลิดหอม รวมถึงสินค้าแปรรูปอื่นๆ เช่น น้ำพริกเผาปลาสลิด น้ำพริกนรกปลาสลิด น้ำพริกเผาไข่ปูทะเล น้ำพริกกุ้งเสียบ เป็นต้น มีบริการขายปลีก ขายส่ง และสามารถสั่งได้ทางออนไลน์ด้วย ร้านตั้งอยู่ริมถนนเส้นสุขุมวิทสายเก่า ช่วงก่อนถึงวังหงษ์ทอง (อ.บางปะกง) หากไปจากปากน้ำ เลยตลาดคลองด่านไปราว 5 กิโลเมตร การเดินทาง - หากเดินทางโดยใช้เส้นทางสุขุมวิทสายเก่า จากตัวเมืองสมุทรปราการ มุ่งหน้าบางปู - คลองด่าน - เส้นทางจะผ่านสถานตากอากาศบางปู แยกคลองส่งน้ำสุวรรณภูมิ โรงเรียนนวมินราชูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย สมุทรปราการ เรือนจำคลองด่าน ตลาดคลองด่าน แยกวัดหลวงพ่อปาน พอผ่านวัดสีล้งไปสักระยะ จะเห็นร้านแสนสมบูรณ์ อยู่ริมถนนทางซ้ายมือ ข้อมูลการติดต่อ เวลาเปิด 7.00 - 18.30 น. ที่อยู่ 252 หมู่ 12 ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 10550 โทร. 088-640-4585 เว็บไซต์: Website เฟสบุ๊ค: Facebook ปลาสลิดบางบ่อ ป้าขาว ปลาสลิดบางบ่อ ป้าขาว เป็นร้านที่ทำปลาสลิดขายมานานกว่า 40 ปีแล้ว ส่วนใหญ่จะเน้นปลาสลิดหอม (ปลาสองแดด) ที่เป็นต้นตำรับรสชาติปลาสลิดบางบ่อแท้ แบบดั้งเดิม ร้านป้าขาว ตั้งอยู่ริมถนนลาดหวาย-เคหะบางพลี (หรือถนนลาดหวาน-สุขุมวิท) ตรงเชิงสะพานคลองลาดลี หรือหากได้ไปเที่ยวที่ตลาดบางน้ำผึ้ง (อำเภอพระประแดง) ก็จะไปตั้งร้านขายทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ การเดินทาง - หากเดินทางโดยใช้เส้นทางสุขุมวิทสายเก่า จากตัวเมืองสมุทรปราการ มุ่งหน้าบางปู - คลองด่าน - เส้นทางจะผ่านสถานตากอากาศบางปู โลตัสบางปู แยกคลองส่งน้ำสุวรรณภูมิ พอผ่านโรงเรียนนวมินราชูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย สมุทรปราการ ไปสักระยะ จากนั้นจะเจอสามแยกไฟแดง จึงเลี้ยวซ้ายแยกนี้ (เป็นแยกไปวัดลาดหวาย และเคหะบางพลี) - เมื่อเลี้ยวซ้ายตรงแยกแล้ว ตรงไปราว 1.5 กิโลเมตร ร้านปลาสลิดบางบ่อ ป้าขาว อยู่ซ้ายมือ เชิงสะพานคลองลาดลี (ก่อนข้ามคลอง) ข้อมูลการติดต่อ ที่อยู่ 154 หมู่ 6 ตำบลบางเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 10550 โทร. 02-707-7325, 089-664-2136, 061-435-4908 เฟสบุ๊ค: Facebook ร้านปลาสลิด ป้าสมใจ ปลาสลิดป้าสมใจ เป็นร้านแบบเพิงริมถนน ขายปลาสลิดคัดไซส์ มีหลายขนาด หลายราคา ทั้งยังมีปลาชนิดอื่นๆ ตากแห้งด้วย ร้านป้าสมใจได้รับความนิยม และมีผู้ชื่นชอบ ตรงที่ราคาไม่สูงนัก และปลารสชาติไม่เค็มมาก ร้านตั้งอยู่ริมถนนหลวงแพ่ง เชิงสะพานคลองกาหลง ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิไปประมาณ 11 กิโลเมตร และใกล้กับสถาบันฝึกอบรม คิง เพาเวอร์ การเดินทาง ถนนบางนา-ตราด - จากแยกบางนา หากใช้เส้นทางถนนบางนา-ตราด (ขาออก) มุ่งหน้าชลบุรี เส้นทางจะผ่านเซ็นทรัลบางนา แยกศรีเอี่ยม โลตัสบางนา(ม.ราม 2) พอผ่านเมกาบางนา (แยกถนนกาญจนาภิเษก) จึงออกทางคู่ขนาน แล้วเลี้ยวซ้ายตามป้ายถนนกิ่งแก้ว / ลาดกระบัง - เมื่อเลี้ยวซ้ายมาแล้ว จะเป็นถนนกิ่งแก้ว มุ่งหน้าถนนลาดกระบัง ตรงตามเส้นทางไปจนสุดสามแยก จึงเลี้ยวขวาไปทางลาดกระบัง - เลี้ยวขวาแล้วจะเป็นถนนลาดกระบัง มุ่งหน้าฉะเชิงเทรา จากนี้ตรงไปตลอดอีกประมาณ 13 กิโลเมตร พอผ่านแยกไฟแดงที่เลี้ยวไปหนองจอก / สุวินทวงศ์ ถัดไปอีกไม่ไกลนัก จะเป็นข้ามสะพานข้ามคลองกาหลง ข้ามคลองไปแล้วจะเห็นร้านป้าสมใจอยู่เชิงสะพานฝั่งขวามือ ทางด่วนมอเตอร์เวย์ (7) - หากใช้เส้นทางด่วนมอเตอร์เวย์ (7) มุ่งหน้าฉะเชิงเทรา / ชลบุรี พอผ่านทางออกสนามบินสุวรรณภูมิไปแล้ว จึงลงทางด่วนตามป้ายถนนอ่อนนุช ลงมาแล้วจะเจอสามแยกไฟแดงตรงถนนลาดกระบัง แยกนี้เลี้ยวขวา จะเป็นถนนลาดกระบัง มุ่งหน้าฉะเชิงเทรา (ถนนหลวงแพ่ง) - เลี้ยวขวาแล้วตรงไปอีกราว 4 กิโลเมตร พอข้ามสะพานข้ามคลองกาหลง ร้านป้าสมใจอยู่ขวามือ ตรงเชิงสะพาน ข้อมูลการติดต่อ ที่อยู่ ถนนหลวงแพ่ง ตำบลเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 10560 โทร. 089-161-3890 กุ้งเหยียด บ้านสาขลา กุ้งเหยียด บ้านสาขลา เป็นของฝากที่มีชื่อเสียง และเป็นเอกลักษณ์ของบ้านสาขลา อำเภอพระสมุทรเจดีย์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นผลิตภัณฑ์โอทอป (OTOP) ได้รับรางวัลการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ นับเป็นของฝาก ของดีที่มีเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย หากต้องการของแท้ต้นตำรับ ต้องมาซื้อให้ถึงแหล่งผลิต ในบริเวณชุมชนบ้านสาขลา ใกล้กับวัดสาขลา ที่มีจำหน่ายทุกวัน ชุมชนบ้านสาขลา เป็นหนึ่งในหมู่บ้านเก่าแก่ของตำบลนาเกลือ กล่าวกันว่ามีประวัติความเป็นมายาวนานมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ตอนปลาย ภายในชุมชนมีวัดสาขลา ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน ทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของอำเภอพระสมุทรเจดีย์ ที่มีคนแวะมาเที่ยวชมพระปรางค์เอียง พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน และแหล่งเรียนรู้ที่ตั้งอยู่ภายในวัด พื้นที่ชุมชนบ้านสาขลาเป็นบริเวณที่ราบลุ่มริมชายฝั่ง บริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยคลองและผืนน้ำ แรกเริ่มเดิมที ชาวบ้านทำนาเกลือเป็นอาชีพหลัก ต่อมาเมื่อน้ำทะเลทะลักเข้ามามากขึ้น ทำให้ทำนาเกลือลำบากขึ้น จึงเปลี่ยนนาเกลือมาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทำเป็นวังกุ้ง เลี้ยงกุ้งน้ำเค็มธรรมชาติ เมื่อผลผลิตกุ้งมีมากขึ้น และประสบปัญหาราคากุ้งตก จึงมีคนในชุมชนนำกุ้งมาแปรรูปเป็นกุ้งต้มบ้าง กุ้งเค็มบ้าง การริเริ่มทำกุ้งเหยียด เป็นวิธีการคิดต่อยอดทางการค้า จากกุ้งต้มเค็มธรรมดา มาเป็นกุ้งที่มีรสชาติเค็มหวาน โดยใช้การถนอมอาหารตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ต้มกุ้งให้สุก เพิ่มรสชาติให้กลมกล่อม และที่สำคัญคือการดัดกุ้งให้ตัวตรง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนที่ไหน ตัวกุ้งไม่งอเหมือนกุ้งต้มทั่วไป Click ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ปลาสลิด กุ้งเหยียดคืออะไร กุ้งเหยียด เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเรียกกุ้งต้มรสชาติเค็มหวาน (ไม่ใช่ชื่อพันธุ์กุ้ง) กุ้งอยู่ในท่าตัวเหยียดตรง (กุ้งเค็มหวานทั่วไปจะตัวงอ) สีส้มสดใส รสชาติออกหวานๆ เค็มนิดๆ เหมาะสำหรับทานกับข้าวสวย หรือข้าวต้ม กุ้งเหยียดนี้เป็นชื่อเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์จากบ้านสาขลา ตำบลนาเกลือ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ จึงมักเรียกควบคู่กับแหล่งที่มาไปด้วยว่า กุ้งเหยียดบ้านสาขลา การทำกุ้งเหยียด การทำกุ้งเหยียดนี้ เหมือนการทำกุ้งต้มเค็มหวานทั่วไป เพียงแต่ต้องใช้เทคนิคในการทำให้กุ้งตัวเหยียดยาวไม่เหมือนใคร จึงต้องใช้ความพิถีพิถัน และใช้เวลาในการทำมากกว่าการต้มกุ้งธรรมดา วัตถุดิบในการทำกุ้งเหยียด - กุ้งสด ใช้กุ้งรู (กุ้งตะกาด) หรือกุ้งขาว / กุ้งแชบ๊วย (ใช้ไซส์ 2 ขนาดกลางๆ) โดยใช้ทั้งตัวไม่ต้องปอกเปลือก ไม่ต้องเอาหัว เงี่ยง หรือหนวดกุ้งออกเลย - น้ำตาลทรายขาว (ตามอัตราส่วน) - เกลือ (ตามอัตราส่วน) - หม้อต้ม - เขียง หรือครกหนักๆ อัตราส่วนผสม: กุ้ง 4 กิโลกรัม / น้ำตาลทราย 2 กิโลกรัม / เกลือ 180 กิโลกรัม (สูตรการใช้น้ำตาล และเกลือ แต่ละเจ้าอาจใช้สูตรไม่เหมือนกัน) ขั้นตอนการทำ
- นำกุ้งสดมาล้างด้วยน้ำจืดธรรมดา เพื่อล้างสิ่งสกปรกและเมือกกุ้งออก จากนั้นวางไว้ให้สะเด็ดน้ำ - นำกุ้งที่ล้างแล้ว มาดัดตัวกุ้งให้ตรง เทคนิคคือ ใช้นิ้วและฝ่ามือช่วยดัดส่วนหลังของกุ้งให้ตรง (ระวังอย่าดัดแรง จนหลังหัก หรือตัวขาด) นำเรียงใส่หม้อ ดัดกุ้งทีละตัว เรียงต่อกันไปให้เป็นระเบียบ (เรียงให้หัวหางไปทางเดียวกัน) - เมื่อเรียงกุ้งได้ครบชั้นนึงแล้ว โรยน้ำตาล และเกลือ บนกุ้งที่เรียงไว้ชั้นแรก (โรยพอให้ปิดตัวกุ้งชั้นแรก) จากนั้นดัดกุ้งวางในชั้นต่อไป แล้วสลับด้วยน้ำตาลเกลืออีก ทำเป็นชั้นๆ ไปเรื่อยๆ ตามจำนวนทั้งหมดที่เตรียมไว้ - เมื่อใส่กุ้งได้ประมาณ 5 ชั้น ให้หาของหนักๆ มาทับไว้บนกุ้งชั้นบนสุด อาจใช้เขียง หรือครก (ทับช่วงตัวกุ้ง ไม่ให้กุ้งงอ) - นำหม้อไปตั้งไฟ โดยไม่ต้องเติมน้ำในหม้อ (ตอนต้มกุ้ง น้ำจากตัวกุ้งจะออกมาเอง) - ต้มจนกุ้งสุก และเคี่ยวให้น้ำต้มซึมเข้าไปในกุ้ง (ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง) นำที่ทับออก เขย่าให้น้ำต้มคลุกเคล้ากุ้งทั่วถึง จึงเทน้ำออก การรับประทาน นำมารับประทานได้เลย ทานกับข้าวสวย หรือข้าวต้ม หากบีบน้ำมะนาว ก็จะช่วยเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น หรือจะนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารอื่นๆ เช่น นำไปทำเป็นฉู่ฉี่กุ้งเหยียดก็ได้ การเก็บรักษา เก็บในตู้เย็นได้ประมาณ 15 วัน หากไว้ข้างนอกตู้เย็น จะอยู่ได้ประมาณ 4-5 วัน กุ้งเหยียดป้าสุนทร กุ้งเหยียดป้าสุนทร เป็นหนึ่งในร้านขายกุ้งเหยียดที่ทำมากว่า 20 ปี ได้รับความนิยม ได้รับมาตรฐานจากกรมส่งเสริมการเกษตร มีเครื่องหมาย อย. และมีรางวัลการันตีมากมาย โดยมีผู้ผลิตเป็นกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรนาเกลือพัฒนา ผลิตสินค้าจำหน่ายทั้งหน้าร้าน และบริการส่งทางไปรษณีย์ นอกจากนี้ร้านยังจำหน่ายสินค้าทะเลแปรรูป และของแห้งอื่นๆ เช่น กะปิ น้ำปลา เกลือ กุ้งแห้ง เป็นต้น ร้านป้าสุนทร ตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าวัดสาขลา อยู่ก่อนถึงวัดไม่ไกล ข้างร้านมีที่ให้จอดรถได้ หรือจะจอดที่วัดแล้วค่อยเดินมาก็ไม่ไกลมาก ข้อมูลจากแหล่งอื่น และ รีวิว : 12 การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว - หากเดินทางจากถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าพระประแดง - ป้อมพระจุลจอมเกล้า เส้นทางจะผ่าน แยกสะพานภูมิพล สามแยกพระประแดง ตรงไปจนถึงสามแยกพระสมุทรเจดีย์ (ตรงที่มีหอนาฬิกา) จึงเลี้ยวขวาตามป้ายป้อมพระจุลฯ - เมื่อเลี้ยวขวาแล้ว ตรงไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรกว่าๆ จะเป็นสะพานข้ามคลองสรรพสามิต พอลงสะพานแล้ว จึงเลี้ยวขวาเข้า อบต.แหลมฟ้าผ่า (ทางเลี้ยวอยู่ใกล้เชิงสะพาน) - เมื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนน อบต.แหลมฟ้าผ่า ให้ตรงไปตลอดเส้นทาง จะผ่านที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ ท่าเรือป้าลี่ (ระยะทางทั้งหมดประมาณ 10 กิโลเมตร) เส้นทางจะเข้าสู่บ้านสาขลา และไปสุดที่วัดสาขลาเลย ร้านกุ้งเหยียดป้าสุนทร อยู่ซ้ายมือก่อนถึงวัดนิดนึง * หากใช้ทางด่วน ตรงตามป้ายดาวคะนองไป จนกระทั่งข้ามสะพานแขวน จากนั้นจึงลงทางด่วนตามป้ายถนนสุขสวัสดิ์ รถสองแถวใหญ่หกล้อ(สีฟ้า) สาย 1290: ท่าน้ำพระสมุทรเจดีย์ - สาขลา
เส้นทางเดินรถ: พระสมุทรเจดีย์ (ท่าเรือพระสมุทรเจดีย์) - สามแยกพระสมุทรเจดีย์ - ถนนสุขสวัสดิ์-ป้อมพระจุลฯ - ข้ามคลองสรรพสามิต - เลี้ยวเข้าถนนสุขสวัสดิ์-นาเกลือ - ที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ - วัดคลองพระราม - อบต.แหลมฟ้าผ่า - ท่าเรือป้าลี่ - วัดสาขลา (บ้านสาขลา) * รถสายนี้ขึ้นต้นทางได้จากท่าเรือพระสมุทรเจดีย์ ข้างรถ จะเขียนย่อๆ ว่า เจดีย์ - อำเภอ - สาขลา นั่งไปลงสุดสายที่บ้านสาขลา ข้อมูลการติดต่อ เวลาเปิด ทุกวัน 6.00 - 18.30 น. ที่อยู่ 256 หมู่ 3 ตำบลนาเกลือ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ 10290 โทร. 02-848-4240 เฟสบุ๊ค: Facebook กุ้งเหยียดลุงกา ร้านกุ้งเหยียดลุงกา เป็นหนึ่งในร้านกุ้งเหยียดประจำบ้านสาขลา ที่เป็นที่ชื่นชอบ และมีคนติดใจในรสชาติกุ้งเหยียดของคุณลุงกา พุฒสุข นอกจากกุ้งเหยียดแล้ว ภายในร้านยังมีพวกกุ้งแห้ง ของแห้ง ของทะเลแปรรูปอื่นๆ อีกหลายอย่าง ร้านลุงกา ตั้งอยู่ก่อนเข้าไปในหมู่บ้านสาขลา เวลาไปวัดสาขลาจึงจะถึงก่อนเลย อยู่ใกล้กับป้อมตำรวจ และ 7-11 ของหมู่บ้าน (ค่อนข้างไกลจากวัดสาขลาหน่อย แต่ก็เดินถึงได้) ข้อมูลจากแหล่งอื่น และ รีวิว : 1 การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว - หากเดินทางจากถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าพระประแดง - ป้อมพระจุลจอมเกล้า เส้นทางจะผ่าน แยกสะพานภูมิพล สามแยกพระประแดง ตรงไปจนถึงสามแยกพระสมุทรเจดีย์ (ตรงที่มีหอนาฬิกา) จึงเลี้ยวขวาตามป้ายป้อมพระจุลฯ - เมื่อเลี้ยวขวาแล้ว ตรงไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรกว่าๆ จะเป็นสะพานข้ามคลองสรรพสามิต พอลงสะพานแล้ว จึงเลี้ยวขวาเข้า อบต.แหลมฟ้าผ่า (ทางเลี้ยวอยู่ใกล้เชิงสะพาน) - เมื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนน อบต.แหลมฟ้าผ่า ให้ตรงไปตลอดเส้นทาง จะผ่านที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ ท่าเรือป้าลี่ (ระยะทางทั้งหมดประมาณ 10 กิโลเมตร) เส้นทางจะเข้าสู่บ้านสาขลา และไปสุดที่วัดสาขลา ร้านกุ้งเหยียดลุงกา อยู่ขวามือก่อนเข้าสู่หมู่บ้าน (ตรงข้ามป้อมตำรวจ) * หากใช้ทางด่วน ตรงตามป้ายดาวคะนองไป จนกระทั่งข้ามสะพานแขวน จากนั้นจึงลงทางด่วนตามป้ายถนนสุขสวัสดิ์ รถสองแถวใหญ่หกล้อ(สีฟ้า) สาย 1290: ท่าน้ำพระสมุทรเจดีย์ - สาขลา เส้นทางเดินรถ: พระสมุทรเจดีย์ (ท่าเรือพระสมุทรเจดีย์) - สามแยกพระสมุทรเจดีย์ - ถนนสุขสวัสดิ์-ป้อมพระจุลฯ - ข้ามคลองสรรพสามิต - เลี้ยวเข้าถนนสุขสวัสดิ์-นาเกลือ - ที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ - วัดคลองพระราม - อบต.แหลมฟ้าผ่า - ท่าเรือป้าลี่ - วัดสาขลา (บ้านสาขลา) * รถสายนี้ขึ้นต้นทางได้จากท่าเรือพระสมุทรเจดีย์ ข้างรถ จะเขียนย่อๆ ว่า เจดีย์ - อำเภอ - สาขลา นั่งไปลงสุดสายที่บ้านสาขลา ข้อมูลการติดต่อ ที่อยู่ บ้านสาขลา ตำบลนาเกลือ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ โทร. 02-848-4376, 081-484-5420 มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า อาจจะไม่ใช่ของฝากที่หาซื้อกันได้ง่ายๆ เหมือนกับสินค้าทั่วไป แต่เป็นมะม่วงที่ถือเป็นของดี สินค้าเด่นประจำจังหวัดสมุทรปราการด้วยเช่นกัน มะม่วงน้ำดอกไม้ เป็นมะม่วงที่มีหลายสายพันธุ์ และสามารถปลูกได้ในหลายพื้นที่ของประเทศ ปัจจุบันมะม่วงน้ำดอกไม้กำลังเป็นที่นิยม ทั้งในเมืองไทยและการส่งออกไปยังต่างประเทศ แต่หลายคนอาจไม่รู้เลยว่า มะม่วงน้ำดอกไม้ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และถือเป็นราชินีแห่งมะม่วงน้ำดอกไม้นั้น คือ มะม่วงคุ้งบางกะเจ้า หรือมะม่วงน้ำดอกไม้พระประแดง ที่เป็นมะม่วงหนึ่งเดียว ที่ได้รับการรับรองให้เป็นสินค้า GI หรือสินค้าที่เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์* * สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI - Geographical Indication) หมายถึง ชื่อหรือสัญลักษณ์ที่อิงถึงแหล่งที่มาของผลิตผลนั้นๆ (ระบุพื้นที่ หรือจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิต) เพื่อแสดงถึงคุณลักษณะพิเศษ หรือความมีชื่อเสียงที่มีความแตกต่างจากผลิตผลจากที่อื่นๆ (คล้ายกับเครื่องหมายการค้า หรือสินค้าลิขสิทธิ์) เช่น สับปะรดภูแล(เชียงราย) สับปะรดนางแล(เชียงราย) สับปะรดศรีราชา(ชลบุรี) สับปะรดภูเก็ต สับปะรดเหล่านี้ต่างเป็นสินค้า GI ที่แม้จะเป็นสับปะรดเหมือนกัน แต่เมื่อปลูกในที่ต่างกัน ก็ทำให้มีลักษณะ และคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างกันออกไปด้วย มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสินค้า GI เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2556 โดยกรมทรัพสินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เป็นมะม่วงน้ำดอกไม้พันธุ์เขียวนวล หรือคนมักจะคุ้นกับคำว่า มะม่วงน้ำดอกไม้พระประแดง ที่มีแหล่งปลูกในคุ้งบางกะเจ้า หรือ 6 ตำบลของอำเภอพระประแดงเท่านั้น ได้แก่ ในตำบลบางกะเจ้า ตำบลบางกระสอบ ตำบลทรงคนอง ตำบลบางกอบัว ตำบลบางน้ำผึ้ง และตำบลบางยอ ดังนั้นหากนำพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้าแท้ๆ ไปปลูกที่อื่น มะม่วงก็จะกลายพันธุ์ และออกผลได้รสชาติไม่เหมือนของแท้ที่ปลูกที่บางกะเจ้า สิ่งที่ทำให้มะม่วงน้ำดอกคุ้งบางกะเจ้ามีลักษณะที่พิเศษกว่าที่อื่นๆ เป็นเพราะพื้นที่ปลูกนั้นอยู่ในคุ้งน้ำขนาดใหญ่ ใกล้จุดเชื่อมต่อระหว่างน้ำจืดในแม่น้ำเจ้าพระยา กับน้ำเค็มในทะเลอ่าวไทย จึงทำให้เกิดเป็นระบบนิเวศ 3 น้ำ คือ น้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย สภาพดินเป็นดินลักจืดลักเค็ม ประกอบกับอากาศเป็นแบบฝนเมืองร้อน จึงเป็นปัจจัยให้มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้ามีรสชาติหวานหอมกว่าที่อื่นๆ กล่าวกันว่ามะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้านี้ เป็นมะม่วงที่มีรสชาติอร่อยที่สุด เริ่มสุกเปลือกจะมีสีเหลืองอมเขียว เมื่อสุกทั้งผลแล้วจะมีสีเหลืองอ่อนๆ แบบสีดอกจำปา ลูกสวยกลมกลึง อวบเต่ง น้ำหนักประมาณ 400-700 กรัม/ผล เปลือกบาง เนื้อสีเหลือง ละเอียดแน่น ไม่มีเสี้ยนในเนื้อ เมล็ดลีบ มีกลิ่นหอม และรสชาติหวานละมุน นุ่มลิ้น (มีค่าความหวานวัดได้ 18-22 องศาบริกซ์ ซึ่งหวานกว่ามะม่วงน้ำดอกไม้ชนิดอื่นๆ) การหาซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้าแท้ๆ มารับประทานนั้น อาจหาซื้อ หาทานได้ยากพอๆ กับการหาซื้อส้มบางมด หรือทุเรียนเมืองนนท์ เพราะเหลือผู้ปลูกอยู่จำนวนไม่มาก และมะม่วงที่ได้มักจะมีผู้สั่งจองไว้ล่วงหน้าแล้ว สำหรับคนที่ต้องการความรู้เพิ่มเติมเรื่องมะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า สามารถสอบถามได้ที่ พันโทชำนาญ อ่อนแย้ม (ผู้ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า) ที่อยู่ 13/8 หมู่ 3 ตำบลทรงคนอง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ 10130 โทร. 098-829-2335 ข้อมูลจากแหล่งอื่น และ รีวิว : 1 |