วัดอโศการาม เป็นวัดที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานตามแนวทางของท่านพ่อลี ธัมมธโร ภายในวัดมีพระธุตังคเจดีย์ เป็นเจดีย์องค์แรกและองค์เดียวในประเทศไทย ที่ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และอรหันตธาตุของพระพระธุดงค์กรรมฐานในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จึงเป็นปูชนียสถานองค์สำคัญ ที่ควรแห่งการกราบสักการะบูชา เพื่อระลึกถึงองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และอริยสงฆ์ผู้เป็นครูบาอาจารย์
นอกจากนี้พระธุตังคเจดีย์ ยังแสดงความหมายของ ธุดงควัตร ที่เป็นข้อปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องการขัดเกลากิเลส โดยเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติภาวนาในสายกรรมฐาน การเดินทางไปยังวัดมีเส้นทางไม่ยุ่งยากซับซ้อน อยู่ใกล้เมือง และสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง
วัดอโศการาม ตั้งอยู่ในตำบลท้ายบ้าน เขตอำเภอเมือง บนถนนสุขุมวิทสายเก่า ก่อนถึงบางปู อยู่ห่างจากตัวเมืองปากน้ำไปประมาณ 5-6 กิโลเมตร มีรถสองแถวผ่านปากทางเข้าวัด และเมื่อรถไฟฟ้า BTS ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ เปิดทำการ วัดจะอยู่ห่างจากสถานีสุดท้าย (สถานีเคหะสมุทรปราการ) ไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก
เมื่อปลายปี พ.ศ.2497 นายสุเมธ และนางกิมหงษ์ ไกรกาญจน์ ผู้มีความเลื่อมใสในแนวทางของท่านพ่อลี ธัมมธโร ได้ถวายที่ดินในตำบลท้ายบ้าน จำนวน 53 ไร่ ในบริเวณที่ชาวบ้านเรียกกันว่า นาแม่ขาว* ในปีต่อมาท่านพ่อลีได้ตั้งเป็นสำนักสงฆ์ และเรียกว่า "สำนักสงฆ์นาแม่ขาว" โดยมอบให้พระครูใบฎีกาทัศน์ กัณณวโร เป็นผู้ดูแลแทน ซึ่งในขณะนั้นมีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เพียง 5 รูป
จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ.2499 ท่านพ่อลี ได้กล่่าวกับสานุศิษย์ว่าต้องการจัดงานกึ่งพุทธกาลในปีถัดไป จึงสร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ขึ้น ประดิษฐานพระประธาน "หลวงพ่อทรงธรรม" ปีต่อมา (พ.ศ.2500) ได้จัดงานสมโภช 25 พุทธศตวรรษ ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
หลังจากนั้น วัดอโศการามก็ได้รับการพัฒนาสืบเนื่องตลอดมา แม้หลังจากที่ท่านพ่อลีมรณะภาพลงแล้ว (พ.ศ.2504) การสร้างพระธุตังคเจดีย์ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ก็สำเร็จลุล่วงตามเจตนารมณ์ที่ท่านได้วางแบบไว้ และพื้นที่วัดก็มีการขยายเพิ่มเติมมากขึ้น มีผู้มีจิตศรัทธาถวายที่ดินเพิ่มเติมจากเดิมอีก จนกระทั่งปัจจุบันวัดมีเนื้อที่กว่า 254 ไร่ มีพระภิกษุ สามเณร แม่ชี จำพรรษาอยู่นับร้อยรูป และยังเป็นสถานที่ถือศีล ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน บวชชีพราหมณ์ สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไปด้วย
* นาแม่ขาว เดิมเป็นที่ดินผืนใหญ่ของคุณยายขาว และคุณตาจือฮุ้น ตั้งทองทวี เจ้าของที่ดินในตำบลท้ายบ้าน ผู้คนเรียกที่ดินบริเวณนี้ว่า นาแม่ขาว ตามชื่อของคุณยายขาว ต่อมาที่ดินมรดกผืนนี้ได้ตกทอดมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน ที่ถวายให้แก่ท่านพ่อลี เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และเป็นวัดอโศการามในปัจจุบัน
ประวัติท่านพ่อลี ธัมมธโร
ท่านพ่อลี หรือ พระอาจารย์ลี ได้สมณศักดิ์เป็น พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์ พระอริยสงฆ์ผู้มีบารมีธรรม สายกรรมฐาน หนึ่งในศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีพลังจิตสูง มีความเด็ดเดี่ยว อาจหาญ พร้อมด้วยศีลด้วยธรรม
ท่านพ่อลี เดิมชื่อว่า ชาลี เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2449 มีพี่น้องรวม 9 คน ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่บ้านหนองสองห้อง ตำบลยางโยภาพ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้ออกบวชในปี พ.ศ.2468 ท่านศึกษาพระธรรมวินัย และตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้ได้พบกับครูบาอาจารย์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบภายใน 3 เดือน
หลังจากนั้น ท่านได้พบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้เดินตามแนวทางปฏิบัติของพระอาจารย์ ต่อมาในปี พ.ศ.2482 ท่านได้ออกจาริกธุดงค์ ไปยังประเทศต่างๆ เช่น พม่า อินเดีย และเคยจำพรรษาอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณาสี ประเทศอินเดีย ต่อมาเมื่อท่านกลับมายังเมืองไทย ได้ตั้งอธิษฐานจิต ขอให้พระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุต่างๆ เสด็จมา ซึ่งก็เป็นปาฏิหาริย์ ที่ต่อมาท่านสามารถรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุไว้ได้ถึง 80 องค์
จากนั้นในปี พ.ศ.2503 ท่านจึงสร้างพระธุตังคเจดีย์ขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ท่านพ่อลีมรณภาพในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2504 (สิริอายุรวม 54 ปี 3 เดือน) บรรดาศิษยานุศิษย์ได้ร่วมดำเนินการก่อสร้างพระธุตังคเจดีย์จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2509
วัดอโศการาม เป็นวัดที่มีบริเวณกว้างขวางมาก มีต้นไม้โดยรอบร่มรื่น พื้นที่ภายในวัดแบ่งเป็นเขตพุทธาวาส ที่ประกอบด้วย พระธุตังคเจดีย์ วิหาร โบสถ์ ศาลาการเปรียญ และยังมีเขตสังฆาวาส ที่กว้างไปถึงบริเวณป่าชายเลน จรดกับชายทะเลปากแม่น้ำ ที่ประกอบด้วยกุฏิพระสงฆ์ ที่พักชี และที่พักสำหรับผู้ที่มาปฏิบัติกรรมฐาน หากต้องการเข้ามาเยี่ยมชมพระธุตังคเจดีย์ กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ภายในวัด สามารถนำรถเข้าไปจอดในบริเวณใกล้ๆ ได้เลย ในบริเวณนี้ยังมีวิหารพระสุทธิธรรมรังสี อนุสาวรีย์พระเจ้าอโศกมหาราช รวมถึงสถานที่สำคัญอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง
พระธุตังคเจดีย์
พระธุตังคเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่ท่านพ่อลี ได้ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยเริ่มดำริขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2500 และได้รับการสานต่อ จนเสร็จสมบูรณ์ตามเจตนารมย์ของท่าน ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2509 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จเป็นองค์ประธานในการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่เจดีย์ประธานองค์ใหญ่
เจดีย์องค์นี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ในปี พ.ศ.2546 โดยมีหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน (พระธรรมวิสุทธิกมล) เป็นองค์อุปถัมภ์ และได้เพิ่มเติมด้วยการบรรจุพระอรหันตธาตุ ของอริยสงฆ์ไทยในยุคปัจจุบันไว้ด้วย (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นผู้คัดเลือก) ซึ่งในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2551 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จเป็นประธานในการบรรจุ
พระธุตังคเจดีย์ เป็นอนุสรณ์สถานแห่งธุดงควัตร ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง และมีความหมายที่เกี่ยวเนื่องกับหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายประการ พระเจดีย์ทั้ง 13 องค์ หมายถึง ธุดงควัตร 13* องค์เจดีย์วางเรียงทางเฉียงนับได้ 7 องค์ หมายถึง โพชฌงค์ 7** กลุ่มเจดีย์จัดเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส หมายถึง อริสัจ 4*** เจดีย์มี 3 ชั้น หมายถึง ญาณไตรปริวัฏ**** และพระเจดีย์ประธานองค์ใหญ่ชั้นบนสุดเปรียบเสมือน พระนิพพาน
* ธุดงควัตร เป็นข้อปฏิบัติของภิกษุในส่วนเพิ่มเติมที่ค่อนข้างเข้มงวด ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบังคับให้ภิกษุทุกรูปต้องถือปฏิบัติ (ไม่ใช่ศีลของสงฆ์ ไม่ปฏิบัติถือว่าไม่ผิดศีล) มักจะเป็นแนวปฏิบัติของพระวัดป่า หรือพระธุดงค์ หากภิกษุใดต้องการถือปฏิบัติธุดงควัตร ก็กล่าวสมาทานเพิ่มเติมเฉพาะข้อที่ต้องการได้ ธุดงควัตรมี 13 ข้อ ได้แก่
1. ปังสุกูลิกังคะ | การนุ่งห่มด้วยผ้าเก่า (ไม่ใช้ผ้าใหม่) |
2. เตจีวริตังคะ | การใช้ผ้านุ่งห่ม 3 ผืน (ไตรจีวร) ได้แก่ สบง(ผ้านุ่ง) จีวร(ผ้าห่ม) สังฆาฏิ(ผ้าคลุม) |
3. ปิณฑปาติกังคะ | การฉันอาหารที่ได้จากการรับบิณฑบาตเท่านั้น ไม่รับนิมนต์ |
4. สปาทานจาริปังคะ | การออกบิณฑบาตไปตามลำดับบ้าน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง |
5. เอกาสนิกังคะ | การฉันมื้อเดียว นั่งฉันจนเสร็จในคราวเดียว |
6. ปัตตปิณฑิกังคะ | การฉันอาหารรวมอยู่ในบาตร |
7. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ | เมื่อลงมือฉันแล้วจะไม่รับอาหารเพิ่มอีก |
8. อารัญญิกังคะ | การอาศัยอยู่เฉพาะในป่า ที่ไกลจากบ้านเรือน |
9. รุกขมูลิกังคะ | การพักอาศัยอยู่ตามโคนไม้ ไม่อยู่ในที่มีหลังคา |
10. อัพโภกาสิกังคะ | การอยู่ในที่กลางแจ้ง ไม่ติดในที่อยู่อาศัย |
11. โสสานิกังคะ | การพักอยู่ในป่าช้า เพื่อระลึกถึงความตาย |
12. ยถานันถติกังคะ | ละเว้นการยึดติดในที่อยู่ อยู่ในที่จัดไว้โดยไม่ติดความสะดวกสบาย |
13. เนสัชชิกังคะ | เน้นการปฏิบัติตนในอิริยาบทนั่ง ยืน และเดิน งดเว้นอิริยาบทนอน หรือเอนตัวให้หลังติดพื้น |
** โพชฌงค์ คือธรรมอันเป็นเครื่องแห่งการตรัสรู้ มี 7 อย่าง คือ สติ(ความระลึกได้) ธัมมวิจยะ(ปัญญา) วิริยะ(ความเพียร) ปิติ(ความอิ่มใจ) ปัสสัทธิ(ความสงบ) สมาธิ(ความตั้งใจมั่น) อุเบกขา(การวางเฉย)
*** อริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนพระพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย(สาเหตุทำให้เกิดทุกข์) นิโรธ(การดับทุกข์) มรรค(แนวทางสู่การดับทุกข์)
**** ญาณไตรปริวัฏ มาจากคำว่า ญาณ(ความหยั่งรู้) + ไตร(สาม) + ปริวัฏฏ์ (หมุนวนเป็นรอบ) เป็นคำที่ขยายความถึง
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ โดยทั่วไปเรามักจะได้ยินคำว่า "ปริวัฏฏ์ 3 อาการ 12 ในอริยสัจ 4" ซึ่งจะหมายถึง การรับรู้ การรู้จริง และการรู้อย่างแจ่มแจ้ง เวียนไปในทุกข้อของอริยสัจ 4
เจดีย์หมู่ 13 องค์ เป็นกลุ่มเจดีย์สีขาวโดดเด่นสะดุดตา ทาสีทองขลิบตัดเฉพาะบริเวณยอดซุ้มประตู ทำให้ดูสวยงามสง่า และสงบเงียบเรียบร้อยในคราวเดียวกัน พระเจดีย์ตั้งอยู่บริเวณกลางของเขตพุทธาวาส กินบริเวณกว้าง หมู่เจดีย์มีลานประทักษิณ และรั้วกั้นล้อมรอบ
องค์เจดีย์ทั้งหมดจัดวางอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดใหญ่ที่ลดหลั่นกันขึ้นไปเป็นยอดเจดีย์องค์ใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ชั้น แต่ละชั้น มีเจดีย์บริวารประจำอยู่ทั้ง 4 มุม และมีระเบียงแก้วล้อมรอบ บันไดทางเดินอยู่ภายนอกอาคาร เชื่อมต่อกับลานระเบียงที่ล้อมรอบอาคารตรงกลางไว้ เจดีย์ทุกองค์ เป็นเจดีย์กลมทรงลังกา วางอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม เจดีย์ที่อยู่ตรงกลางชั้นบนสุดเป็นเจดีย์ประธานองค์ใหญ่ มีซุ้มยื่นออกมาทั้ง 4 ด้านขององค์เจดีย์ ภายในซุ้มประดิษฐาน พระพุทธรูปยืนปางต่างๆ กัน ได้แก่ ปางรำพึง ปางห้ามญาติ (ปางห้ามสมุทร) ปางอุ้มบาตร และปางเปิดโลก
ชั้น 1 เป็นชั้นที่จัดวางโมเดลจำลองของกลุ่มพระธุตังคเจดีย์ จุดกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ
ประดิษฐานพระธาตุ และหุ่นปั้นรูปเหมือนของเกจิอาจารย์หลายองค์ เช่นหลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ดุลย์ อตุโล หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)
ชั้น 2 ประดิษฐานรูปหล่อพระอริยสงฆ์ และพระอรหันตธาตุ ของพระกรรมฐานในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ได้รับคัดเลือกจากหลวงตามหาบัว จำนวน 28 องค์ ได้แก่
- หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล | วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี |
- หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต | วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร |
- หลวงปู่ดูลย์ อตุโล | วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ |
- หลวงปู่หลุย จันทสาโร | วัดถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย |
- หลวงปู่ฝั้น อาจาโร | วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร |
- หลวงปู่แหวน สุจิณโณ | วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ |
- หลวงพ่อลี ธัมมธโร | วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ |
- หลวงปู่สาม อกิญจโน | วัดป่าไตรวิเวก จังหวัดสุรินทร์ |
- หลวงปู่สิม พุทธาจาโร | วัดถ้ำผาปล่อง จังหวัดเชียงใหม่ |
- หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล | วัดรังสีปาลิวัน จังหวัดกาฬสินธุ์ |
- หลวงปู่บัว สิริปุณโณ | วัดป่าหนองแซง จังหวัดอุดรธานี |
- หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ | วัดป่าเขาน้อย จังหวัดบุรีรัมย์ |
- พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร | วัดป่าแก้วบ้านชุมพล จังหวัดสกลนคร |
- หลวงปู่ผาง ปริปุณโณ | วัดประสิทธิธรรม จังหวัดอุดรธานี |
- หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต | วัดอุดมคงคมคีรีเขต จังหวัดขอนแก่น |
- หลวงปู่หล้า เขมปัตโต | วัดบรรพตคีรี (วัดภูจ้อก้อ) จังหวัดมุกดาหาร |
- พระอาจารย์ จวน กุลเชฏโฐ | วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) จังหวัดหนองคาย |
- หลวงพ่อชา สุภัทโท | วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี |
- หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท | วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จังหวัดปทุมธานี |
- หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน | วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี |
- หลวงพ่อคำดี ปภาโส | วัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย |
- หลวงพ่อตื้อ อจลธัมโม | วัดป่าอรัญญวิเวก จังหวัดนครพนม |
- หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ | วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร |
- หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ | วัดประสิทธิธรรม จังหวัดอุดรธานี |
- หลวงปู่ขาว อนาลโย | วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู |
- หลวงปู่ชอบ ฐานสโม | วัดป่าสัมมานุสรณ์ จังหวัดเลย |
- หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ | วัดป่านิโครธาราม จังหวัดอุดรธานี |
- หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม | วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา |
ชั้น 3 (ชั้นบนสุด) เป็นลานระเบียง มีองค์เจดีย์ประธานอยู่ตรงกลาง แต่ละด้านของเจดีย์มีซุ้มที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ทั้ง 4 ทิศ ชั้นนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้โดยรอบ
วิหารพระสุทธิธรรมรังสี
วิหารพระสุทธิธรรมรังสี ตั้งอยู่ตรงข้ามกับพระธุตังคเจดีย์ ตั้งชื่อตามสมณศักดิ์ของท่านพ่อลี สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2527 - 2530 เป็นอาคาร 3 ชั้น สร้างแบบทรงจตุรมุข ด้านหน้าและด้านหลังมีมุขยาวกว่าด้านข้าง ทางขึ้นสู่วิหารมีบันไดนาคขึ้นตรงจากทางด้านหน้า โครงสร้างหลังคาเป็นแบบไทยประเพณี มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เรือนยอดตรงกลางเป็นมณฑปซ้อนชั้น ปิดทองคำบริสุทธิ์ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จแทนพระองค์ ในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2530 ในการประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ชั้น 1 ชั้นล่างสุดของวิหาร เป็นสถานที่จัดภัตตาหารสำหรับพระภิกษุสามเณร
ชั้น 2 เป็นพิพิธภัณฑ์บริขาร และเป็นที่ตั้งพระพุทธรูป หุ่นรูปเหมือนของครูบาอาจารย์ต่างๆ
ชั้น 3 ชั้นนี้เป็นชั้นที่มีบันไดขึ้นตรงจากด้านหน้า ไปถึงชั้น 3 ได้เลย เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบน จะมีประตูทางเข้าออกด้านหน้า 5 ประตู ภายในวิหารมีการตกแต่งอย่างสวยงาม เสาค้ำหลังคาประดับลายเทพพนม มีบัวรับหัวเสางดงาม ด้านข้างมีหน้าต่างบานใหญ่โดยรอบ ทำจากไม้แกะสลักลายนูนต่ำ เหนือกรอบหน้าต่าง มีจิตรกรรมฝาผนังเป็นประวัติวัดอโศการาม การจัดงานฉลองสมโภช 25 พุทธศตวรรษในปี พ.ศ.2500 และความเป็นมาของท่านพ่อลี เป็นต้น พื้นที่บนวิหารส่วนนี้ใช้เป็นที่สำหรับทำวัตร และประชุมสงฆ์ ประดิษฐาน "พระพุทธชินราชองค์จำลอง" เป็นพระประธาน ด้านข้างของโถงวิหารมีมุขที่ทำเป็นห้อง ติดกระจกใสทั้งด้านซ้ายและขวา ฝั่งซ้ายเป็นห้องเก็บสังขารของท่านพ่อลี บรรจุไว้ในโลงสีทอง พร้อมรูปปั้นยืนของท่าน ส่วนฝั่งขวาเป็นรูปปั้นครูบาอาจารย์สายป่ากรรมฐาน บริเวณชั้น 3 นี้ ไม่อนุญาตให้จุดธูปเทียน แต่สามารถนำดอกไม้มาถวายสักการะได้
อนุสาวรีย์พระเจ้าอโศกมหาราช*
อนุสาวรีย์ของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ นักรบที่แผ่ขยายอำนาจเกรียงไกรในชมพูทวีป เมื่อ 2,300 ปีมาแล้ว จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และท่านยังเป็นอัครศาสนูปถัมภก ผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า เป็นพุทธมามกะที่ทำให้ศาสนาพุทธรุ่งเรืองและแผ่ขยายไปยังดินแดนต่างๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย
อนุสาวรีย์ของท่านตั้งอยู่ด้านหน้าพระธุตังคเจดีย์ ในท่าประทับนั่ง ทรงเครื่องรบ หน้าลานอนุสาวรีย์ มีรูปปั้นสิงห์โตคู่ (เป็นสิงห์โตสไตล์ฝรั่ง) ส่วนด้านข้างตั้งเสาอโศก** ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่พระเจ้าอโศกมหาราช เคยสร้างไว้เพื่อระบุสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา
พระเจ้าอโศกมหาราชมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อลี เมื่อครั้งท่านพ่อลีกำลังบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่วัดเขางาม จังหวัดลพบุรี ในช่วงปี พ.ศ.2496 ท่านเกิดสมาธินิมิตเห็นพระรูปของพระเจ้าอโศกมหาราชตกลงมาใกล้ๆ ท่านพ่อลี จึงสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าอโศกมหาราช และยังนำนามของท่านมาตั้งเป็นชื่อวัดว่า วัดอโศการาม
* พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นกษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์โมริยะ (ครองราชย์ในช่วง พ.ศ.270 - 311) ผู้ปกครองจักรวรรดิโมริยะ ที่มีอาณาเขตกว้างขวาง และยิ่งใหญ่ที่สุดในเขตชมพูทวีป ท่านยังเป็นปูชนียบุคคลทางพุทธศานา ผู้มีคุณูปการด้านการสืบทอด และเผยแผ่พุทธศาสนามาในประเทศไทย
ก่อนหน้านั้น พระเจ้าอโศกมหาราชขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าพินทุสาร พระเจ้าอโศกทรงเป็นนักรบที่เด็ดขาด ดุดัน จนได้รับสมญานามว่า จัณฑาโศกราช (พระเจ้าอโศกผู้โหดเหี้ยม) พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่ ขยายดินแดนให้กับอินเดียไปอย่างกว้างขวาง
ต่อมาพระองค์ทรงเห็นความโหดร้ายของสงคราม และเมื่อได้พบสามเณรรูปหนึ่งชื่อ นิโครธ จนได้สนทนาธรรมกับสามเณร เกิดความซาบซึ้งในธรรมะ จึงได้ประกาศตนนับถือพุทธศาสนา และมีศรัทธาแรงกล้า สร้างมหาวิหาร และสถูปขึ้นมากมายไปทั่วชมพูทวีป ถึง 84,000 แห่ง ทั้งยังสร้างสัมพันธไมตรีเพื่อความสันติต่อนานาประเทศ จนได้พระนามว่า ธรรมาโศก (อโศกผู้ทรงธรรม) ทรงเป็นผู้ทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้มีอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
** เสาอโศก เป็นเสาหินโบราณที่เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช เสาหินทรายทรงกลมสูง หัวเสามีสิงห์แกะสลักประทับอยู่ (บ้างก็เป็นรูปปั้นสิงห์ 4 ตัว) เพื่อแสดงความหมายถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่องอาจ และแผ่ไปไกลดุจดั่งเสียงคำรามของราชสีห์ พระองค์ทรงสร้างเสาอโศกนี้ไว้มากมาย เพื่อเป็นพุทธบูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อระบุสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา (ปัจจุบันได้ถูกทำลายไปเกือบหมด)
วิหารหลวงพ่อโต
เป็นวิหารประดิษฐานหลวงพ่อโต (องค์จำลอง) จากวัดพลีใหญ่ใน เป็นหนึ่งในกลุ่มวิหารหลังเล็ก 3 หลัง ที่อยู่บริเวณด้านหลังของพระธุตังคเจดีย หรือด้านข้างของโบสถ์ วิหารกลุ่มนี้ต้องเดินผ่านสวนต้นไม้ด้านหลังพระเจดีย์ไปหน่อยจึงจะเจอ วิหารแรกเป็นประดิษฐานหลวงพ่อโต สามารถซื้อดอกไม้ธูปเทียน กราบสักการะได้
วิหารหลวงพ่อเศียร
ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างวิหารหลวงพ่อโต และวิหารหลวงพ่อโสธร ภายในประดิษฐาน "หลวงพ่อเศียร" มีเฉพาะส่วนของเศียรพระพุทธรูปขนาดใหญ่ (เป็นช่วงเศียรถึงส่วนเหนือพระอุระ ไม่มีลำตัว) เศียรพระปิดทองทั่วยกเว้นส่วนที่เป็นพระเกศา(ผม) และพระเกศมาลาที่เป็นก้นหอยสีดำ มีพระรัศมีสีทองอยู่ด้านบน ลักษณะพระพักตร์อิ่มเอิบ กลางหน้าผากมีอุนาโลม ประดิษฐานอยู่ภายในตู้กระจก เศียรนี้ท่านพ่อลีให้อาจารย์ประยูล จิตตสันโต ปั้นเพื่อประกอบเป็นองค์พระที่วัดเวฬุวัน (เขาจีนแล) จังหวัดลพบุรี เมื่อปั้นเสร็จแล้ว เกิดเหตุที่ทำให้นำไปไม่ได้ ท่านพ่อลีจึงสร้างวิหารเพื่อประดิษฐานหลวงพ่อเศียรไว้ ณ วัดอโศการาม
วิหารหลวงพ่อโสธร
เป็นวิหารที่อยู่ถัดจากวิหารหลวงพ่อเศียร วิหารนี้ประดิษฐานหลวงพ่อโสธร (องค์จำลอง) จากวัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา
ต้นศรีมหาโพธิ์
ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2500 ทางวัดได้ทำพิธีปลูกต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์ไว้ ณ วัดอโศการาม รวม 4 ต้น โดย 2 ต้น เป็นต้นโพธิ์ที่นำมาจากวัดพระศรีมหาธาตุ มีการประกอบพิธี และจัดขบวนแห่ทางเรือล่องตามลำน้ำเจ้าพระยามาถึงท่าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ จากนั้น นำขบวนขึ้นจากเรือแล้วแห่มาจนถึงวัดอโศการาม ส่วนอีก 2 ต้น นำมาจากประเทศอินเดีย ต่อมามีศิษย์นำต้นโพธิ์จากประเทศอินเดียมาถวายอีก 2 ต้น ปัจจุบันจึงมีต้นโพธิ์ที่วัดรวม 6 ต้น
หากแวะกราบสักการะหลวงพ่อเศียรแล้ว ด้านหลังวิหารจะมีต้นโพธิ์ เป็นต้นโพธิ์ที่นำมาจากประเทศอินเดีย เชื่อกันหากผู้ใดนำน้ำมารดโคนต้นโพธิ์ จะทำให้มีปัญญาเฉลียวฉลาด
สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ภายในวัด
พระวิหารพระพุทธจักรวัฒนา
บริเวณที่จัดตั้งรูปปั้นของพระอุปคุต และพระสมณฑูต 2 รูป** คือ พระโสณะเถระ และพระอุตตรเถระ อยู่ทางทิศเหนือของวิหารพระสุทธิธรรมรังสี จัดวางเป็นแท่นประดิษฐาน ตรงกลางเป็นพระอุปคุตในอริยบทนั่ง มือขวาถือดอกบัว นั่งอยู่บนฐานใบบัวและลายคลื่นแทนสัญลักษณ์น้ำ ด้านหลังท่านมีกงล้อธรรมจักรสีทอง ด้านซ้ายเป็นพระโสณะ และด้านขวาเป็นพระอุตตระ
** พระโสณะเถระ และพระอุตตรเถระ เป็นพระเถระ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้คัดเลือกให้เป็นธรรมฑูต เผยแพร่ศาสนาทางฝั่งดินแดนสุวรรณภูมิ ได้แก่ ประเทศพม่า ไทย ลาว เขมร เป็นต้น
พระอุโบสถ
พระอุโบสถ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2501 มีการจัดงานผูกพัทสีมา ฝังลูกนิมิต เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2503 ตัวอาคารสร้างแบบก่ออิฐถือปูน ทรงไทยประเพณี มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันเป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิ ภายในอุโบสถประดิษฐานพระประทานชื่อ "หลวงพ่อศรีสมุทร" เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ พุทธลักษณะแบบอินเดีย หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ จิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์ เป็นเรื่องราวพุทธประวัติ
ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม
ศาลาการเปรียญหลังนี้ เป็นศาลาหลังแรกที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2499 เดิมเป็นศาลาไม้หลังใหญ่ ทรงสี่เหลี่ยม ขนาดกว้าง 24 เมตร ยาว 25 เมตร สร้างเป็นอาคารชั้นเดียว แบบทรงไทยพื้นบ้านภาคกลาง ไม่มีช่อฟ้าใบระกา หลังคายกสูง มุงด้วยกระเบื้องเคลือบ
ภายในเป็นโถงสำหรับทำกิจต่างๆ เช่น ทำวัตรสวดมนต์ ฉันภัตตาหาร แสดงธรรมเทศนา อบรมสมาธิภาวนา ทั้งพระภิกษุ สามเณร และอุบาสก อุบาสิกา รวมถึงเมื่อท่านพ่อลีมรณะภาพ ก็ได้ใช้เป็นสถานที่เก็บสรีระสังขารของท่านอีกด้วย (ภายหลังได้ย้ายสังขารของท่านไปยังวิหารสุทธิธรรมรังสี) ภายในศาลาประดิษฐานพระประธาน "หลวงพ่อทรงธรรม" เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองเหลือง ปิดทอง พุทธลักษณะแบบสุโขทัย ปางมารวิชัย มีขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก
ปัจจุบันศาลาหลวงพ่อทรงธรรมได้สร้างเป็นศาลาการเปรียญหลังใหม่ ยกพื้นสูง โครงสร้างตัวอาคารหลักเป็นปูน หลังคาเป็นแบบซ้อนชั้น มีช่อฟ้า ใบระกา ส่วนอาคารด้านในกั้นเป็นห้องโถงใหญ่ ตกแต่งเสา พื้น ผนัง และประตูหน้าต่าง ทำด้วยไม้ พระประธานภายในศาลา ยังคงเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อทรงธรรม และใชัเป็นพื้นที่สำหรับผู้ที่มาปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน
ห้องสมุดวัดอโศการาม
ห้องสมุดตั้งอยู่ด้านข้างศาลาหลวงพ่อทรงธรรม สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2535 โดยคุณล้วน ว่องวานิช เป็นผู้จัดสร้าง ภายในมีหนังสือที่ให้ความรู้ด้านศาสนา วัฒนธรรม ประวัติครูบาอาจารย์ด้านกรรมฐาน ตลอดจนเทป และซีดี เพื่อให้ผู้ที่มีความสนใจได้เข้ามาศึกษาหาความรู้
ข้อแนะนำ
- ในวันธรรมดา สามารถนำรถยนต์ส่วนตัวมาจอดบริเวณหน้าวิหารพระสุทธิธรรมรังสี และพระธุตังคเจดีย์ได้ หากเป็นวันสำคัญทางศาสนา บริเวณนี้จะจัดให้พุทธศาสนิกชนมาประกอบพิธีต่างๆ เช่นการเวียนเทียนในวันวิสาขบูชา เป็นต้น
- ไม่ควรส่งเสียงดัง และควรแต่งกายสุภาพ ไม่ควรนุ่งสั้นขึ้นบนพระธาตุ
- จากบริเวณวัดสามารถเดินชมป่าชายเลน และชายทะเลปากแม่น้ำได้ โดยเข้าทางซอย 1 ของวัด
การเดินทาง
ห่างจากตัวเมืองปากน้ำ 6 กิโลเมตร
ห่างจากเมืองโบราณ 3 กิโลเมตร
ห่างจากฟาร์มจระเข้ 5 กิโลเมตร
ห่างจากสถานตากอากาศบางปู 7 กิโลเมตร
ห่างจากพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ 10 กิโลเมตร
เส้นทางรถยนต์
เส้นทาง ถนนสุขุมวิทสายเก่า (บางปู/ชลบุรี)
1 | หากใช้เส้นทางถนนสุขุมวิท (ขาออก) จากแยกบางนา มุ่งหน้าสมุทรปราการ ตรงมาตลอดจนถึงสามแยกศาลากลาง จึงเลี้ยวซ้ายไปทางบางปู / ชลบุรี (หรือตามแนวรางรถไฟฟ้าไปเรื่อยๆ) |
2 | เมื่อเลี้ยวแล้ว ตรงตามเส้นทางไปประมาณ 6 กิโลเมตร พอผ่านซอยเทศบาลบางปู 57 ให้ชิดขวาเพื่อกลับรถ (มีป้ายบอกวัดอโศการามให้กลับรถ) |
3 | กลับรถมาแล้ว ให้ตรงไปเลี้ยวซ้ายเข้าซอยวัดอโศการาม จากนั้นตรงไปจนสุดทางจะเข้าสู่วัดอโศการาม |
เส้นทาง ถนนบางนา-ตราด -> ถนนศรีนครินทร์ -> ถนนสุขุมวิทสายเก่า
1 | หากใช้เส้นทางถนนบางนา-ตราด (ขาออก) มุ่งหน้าชลบุรี เมื่อผ่านเซ็นทรัลบางนาแล้ว ให้ตามป้ายบอกทางถนนเทพารักษ์ เส้นทางจะพาเข้าสู่ถนนศรีนครินทร์ (ตรงแยกศรีเอี่ยม) มุ่งหน้าสมุทรปราการ |
2 | จากนั้นตรงไปจนสุดสามแยก (แยกการไฟฟ้า) จึงเลี้ยวซ้ายตามป้ายบางปู / ชลบุรี |
3 | เลี้ยวซ้ายแล้ว ตรงไปราว 5 กิโลเมตร พอผ่านซอยเทศบาลบางปู 57 จึงกลับรถ แล้วมาเลี้ยวเข้าซอยวัดอโศการาม |
** หากใช้ทางด่วนเฉลิมมหานคร ให้มุ่งหน้าไปทางบางนา -> ชลบุรี เพื่อไปออกถนนบางนา-ตราด (ขาออก) แล้วตามป้ายถนนเทพารักษ์เพื่อเข้าถนนศรีนครินทร์ มุ่งหน้าสมุทรปราการ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าถนนสุขุมวิทสายเก่า
เส้นทาง ถนนศรีนครินทร์ -> ถนนสุขุมวิทสายเก่า
1 | หากใช้เส้นทางถนนศรีนครินทร์ (ขาออก) มุ่งหน้าสมุทรปราการ ให้ตรงมาเรื่อยๆ จนสุดทาง (แยกการไฟฟ้า) จึงเลี้ยวซ้ายตามป้าย บางปู / ชลบุรี (3) ก็จะเข้าสู่ถนนสุขุมวิทสายเก่า |
2 | จากนั้นตรงไปจนผ่านซอยเทศบาลบางปู 57 จึงชิดขวาเพื่อกลับรถ จากนั้นกลับมาเลี้ยวซ้ายเข้าซอยวัดอโศการาม |
** หากใช้เส้นทางถนนวงแหวนรอบนอก (ถนนกาญจนาภิเษก) ให้ออกตามป้ายบอกทาง ถนนศรีนครินทร์ มุ่งหน้าสมุทรปราการ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุขุมวิทสายเก่า
รถโดยสารประจำทาง (ดูเส้นทางรถประจำทาง)
รถเมล์ (ถนนสุขุมวิท ลงแยกศาลากลาง)
รถเมล์ (ถนนสุขุมวิท ลงศาลหลักเมือง)
รถเมล์ (จากถนนศรีนครินทร์) + รถสองแถว
รถไฟฟ้า BTS (สำโรง) + รถตู้
- ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสำโรง (ทางออก 1) จากนั้นเดินสกายวอล์คไปทางอิมพีเรียล สำโรง ลงสะพานลอยฝั่งตรงข้ามอิมพีเรียล
- จากนั้นเดินตรงต่อไปจนถึงธนาคารกรุงเทพ สาขาสำโรง ตรงซอยข้างร้านสูทซาร่า มีคิวรถตู้ สำโรง - คลองด่าน (วิ่งเส้นสุขุมวิทสายเก่า) บอกคนขับจอดวัดอโศการาม
รถไฟฟ้า BTS เคหะสมุทรปราการ(จะเปิดใช้ในปี 2561-2562)
- ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีเคหะสมุทรปราการ (ลงฝั่งตรงข้ามลานจอดรถ)
- จากนั้นขึ้นสองแถว 36 สายปากน้ำ - นิคมบางปู, ปากน้ำ - โลตัส, ปากน้ำ - คลองด่าน หรือรถสองแถวหกล้อใหญ่ สายปากน้ำ - ตำหรุ (บอกกระเป๋าลงวัดอโศการาม)
ข้อมูลการติดต่อ วัดอโศการาม
ที่อยู่ 136 หมู่ 2 ซอยสุขาภิบาล 58 ถนนสุขุมวิท (กม.31) ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ 10280
โทร 02-389-2299
เว็บไซต์ http://www.watasokaram.org/