วัดโพธิ์บางคล้า เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งอยู่ในอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ชมความมหัศจรรย์ที่ถือเป็นสถานที่ unseen มีค้างคาวแม่ไก่นับแสนตัว เกาะห้อยหัวนอนกันอยู่ตามกิ่งไม้ภายในวัด เห็นกันได้อย่างใกล้ชิดในเวลากลางวัน จากนั้นแวะกราบสักการะพระพุทธไสยาสน์ อายุกว่า 200 ปี เพื่อความเป็นสิริมงคล และชมวิหารเก่าสมัยปลายอยุธยา
วัดโพธิ์-บางคล้า อยู่ในอำเภอบางคล้า ห่างจากตัวเมืองฉะเชิงเทราประมาณ 23 กิโลเมตร การเดินทางไม่ยุ่งยากเลย ตรงมาตามทางหลวงหมายเลข 304 (ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี) จนถึงแยกเข้าตัวอำเภอบางคล้า เลี้ยวเข้าไปถึงตัวอำเภอ แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึง วัดอยู่ไม่ไกลจากตลาดน้ำบางคล้าด้วย
วัดโพธิ์-บางคล้า มีพื้นที่ประมาณ 31 ไร่ บริเวณวัดปกคลุมด้วยต้นไม้ร่มครึ้มมีความร่มรื่น เป็นธรรมชาติมาก มีต้นไม้สูงใหญ่นานาชนิด พื้นที่วัดได้ถูกจัดแบ่งเป็นส่วนๆ โบสถ์ด้านหน้า มีรั้วกั้นล้อมรอบ อยู่ติดกับถนนเส้นหลักที่ตรงเข้าสู่ตัวอำเภอ (ถนนระเบียบกิจอนุสรณ์) ด้านข้างโบสถ์เป็นที่ให้พ่อค้าแม่ค้าขายอาหารและสินค้าต่างๆ รวมถึงเป็นลานจอดรถที่มีบริเวณกว้าง และส่วนในสุด หรือพื้นที่บริเวณที่ติดกับแม่น้ำ เป็นบริเวณที่มีต้นไม้เยอะมาก และตามต้นไม้ต่างๆ มีค้างคาวเกาะกันอยู่เป็นจำนวนมากด้วย
วัดโพธิ์บางคล้าไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นมาในสมัยใด แต่สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ราวปี พ.ศ. 2309 คราวพระเจ้าตากสินนำกองกำลังตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา และได้สู้รบกับกองกำลังพม่าครั้งสุดท้ายที่ปากน้ำโจ้โล้ (ห่างจากวัดไปประมาณ 1 กิโลเมตร) ก่อนเดินทัพไปเมืองจันทบูร สันนิษฐานว่าอาจได้แวะมาพักทัพที่วัดแห่งนี้ก่อนด้วย
ลักษณะอาคารดั้งเดิมภายในวัด ได้รับคำบอกเล่าจากพระครูโพธิคุณวัฒน์ และผู้เฒ่าผู้แก่ในระแวกนั้น เล่ากันว่า เดิมเคยมีกุฏิไม้ ใต้ถุนสูงหลังคามุงจากตั้งอยู่ใกล้ต้นโพธิ์ริมแม่น้ำบางปะกง มีโบสถ์คล้ายเก๋งจีน หลังคาซ้อน 2 ชั้น มุงกระเบื้องกาบกล้วย มีช่อฟ้าเป็นรูปหัวมังกร ผนังก่ออิฐฉาบปูนขาวผสมน้ำอ้อย และมีวิหารทรงจตุรมุขศิลปะแบบอยุธยาตอนปลาย หลังคามุงด้วยกระเบื้องเกล็ดเต่า ซึ่งปัจจุบันทั้งกุฏิและโบสถ์เก่า ได้ถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว เหลือเพียงวิหารเก่าที่ยังคงบูรณะให้คงไว้
วัดโพธิ์บางคล้าในปัจจุบัน ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2495 และประกอบพิธีผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิตเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500
ชมค้างคาวแม่ไก่รอบวัด
สิ่งที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ที่มาเที่ยววัดโพธิ์บางคล้า สิ่งแรกที่จะได้เจอเลย คือ "ค้างคาวแม่ไก่*" ที่อาศัยอยู่ภายในบริเวณวัดอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมักจะเกาะกันเป็นกลุ่ม ตามกิ่งต้นโพธิ์ ค้างคาวเหล่านี้มีความผูกพันธ์ และอยู่ที่วัดมาเป็นเวลานานแล้ว และไม่เคยไปทำความเสียหาย กินผลไม้ของชาวบ้านที่ปลูกไว้เลย เรื่องแปลกก็คือ เล่ากันว่า ในปี พ.ศ.2500 ทางวัดได้จัดงานฝังลูกนิมิตเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ในช่วงเวลานั้นค้างคาวเหล่านี้ก็จะบินไปอาศัยอยู่ที่อื่น โดยไม่ทำความรำคาญ หรือรบกวนผู้มาทำบุญ พอหมดงานบุญแล้วจึงกลับมาอาศัยอยู่ภายในวัดเช่นเดิม
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านหลายคนประหลาดใจคือ ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2509 พระครูสุตาลงกต (ต่วน แพน้อย) อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์มรณภาพลง ค้างคาวภายในวัดบางส่วนได้ตกลงมาตาย และค้างคาวส่วนใหญ่จะไม่ออกไปหากินเป็นเวลาหลายวัน
* ค้างคาวแม่ไก่ (Flying Foxes) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pteropus vampyrus (ค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน) เป็นค้างคาวสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่บินได้ หน้าตาคล้ายสุนัขจิ้งจอก มีจมูกและใบหูเล็ก ปลายหูชี้แหลม ตาโตแดง ขนสีน้ำตาลแกมแดง ยาวฟูดูปุกปุย ปีกเป็นพังผืดบางๆ สีดำ เชื่อมติดระหว่างนิ้ว มีเล็บโค้งแหลมคม คล้ายตะขอ สำหรับเกาะกิ่งไม้ บินได้เหมือนนก ตัวโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 800 กรัม กางปีกกว้างประมาณ 3 ฟุต ออกลูกครั้งละ 1 ตัว เวลากลางวันจะนอนตามไม้ใหญ่ ห้อยหัวลง โดยใช้เท้า 2 ข้างเกี่ยวกิ่งไม้ไว้ แล้วโอบปีกทั้งสองข้างมาห่มคลุมตัว เวลาบินจะกางปีกออก เห็นกระดูกส่วนที่เป็นเหมือนนิ้วตะขอโผล่ยื่นออกมาจากปีกตอนบน ค้างคาวจะนอนเพื่อเก็บสะสมพลังงานในช่วงกลางวัน และจะออกหากินช่วงพลบค่ำ กลับมาเวลาใกล้รุ่งสาง อาหารที่ชอบได้แก่ ผล และใบอ่อนของต้นโพธิ์ ไทร มะม่วง มะขาม นุ่น ฝรั่ง ฯลฯ โดยจะเคี้ยวกลืน กินแต่น้ำแล้วคายกากทิ้ง และถ่ายมูลเป็นของเหลว
ค้างคาวแม่ไก่ในประเทศไทย ปัจจุบันถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 ในประเทศไทยมี 3 ชนิด คือ ค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน ค้างคาวแม่ไก่เกาะ และค้างคาวแม่ไก่ภาคกลาง มักพบได้ในเขตภาคกลางตอนใน และภาคตะวันออก เป็นค้างคาวที่ไม่ได้อยู่ในถ้ำเหมือนค้างคาวทั่วๆ ไป แต่จะอยู่ตามบริเวณวัด หรือที่รกร้างว่างเปล่า เช่นที่วัดโพธิ์บางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา วัดตาลเอน จังหวัดอยุธยา วัดหลวงพรหมวาส จังหวัดชลบุรี วัดบางกระเบา จังหวัดปราจีนบุรี เป็นต้น
ข้อแนะนำ
- ไม่ควรกระทำสิ่งที่เป็นการรบกวนค้างคาวแม่ไก่ เช่นทำเสียงดัง เขย่าต้นไม้ ใช้ไม้เขี่ยค้างค้าว ปาสิ่งของใส่ค้างคาว หรือให้อาหารแก่ค้างคาว
- ไม่ควรจับตัวค้างคาว เพราะอาจโดนค้างคาวกัดได้
วิหารเก่า
วิหารเก่า ตั้งอยู่ติดกับถนน ริมกำแพงรั้วตรงประตูทางออกจากวัด มีศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งอยู่ตรงข้ามกัน วิหารหลังนี้เป็นเป็นวิหารขนาดเล็ก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2310-2315 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นศิลปะอยุธยาผสมกับรัตนโกสินทร์ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ซึ่งเรียกกันว่า "หลวงพ่อโต"
ลักษณะของวิหาร ก่ออิฐถือปูนทรงจตุรมุข หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาเกล็ดเต่า ประดับช่อฟ้าใบระกา หน้าบันไม่มีลวดลาย มีประตูทางเข้า 2 ด้าน คือด้านทิศเหนือ และทิศตะวันตก (ประตูทางเข้าวิหารจะอยู่ด้านหลัง หันหลังให้ถนนในวัด เวลาจะเดินเข้าจะต้องเดินอ้อมไปเข้าทางฝั่งด้านใน) พื้นรอบนอกวิหารเป็นศิลาแลง มีบันไดแบบเรียบๆ รอบอาคาร เดิมวิหารนี้เคยมีระเบียงคดล้อมรอบ และภายในระเบียงคดนั้น เดิมมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย 9 องค์ ประดิษฐานอยู่โดยรอบ (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม
วิหารหลังนี้ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ในปี พ.ศ.2485 โดยซ่อมเปลี่ยนหลังคาเป็นกระเบื้องเกล็ดเต่าสีเขียว ประดับด้วยช่อฟ้ารูปหัวพญานาค และใบระกา หน้าบันทางทิศตะวันตกปั้นเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประดับด้วยลายเครือเถา หน้าบันด้านทิศเหนือปั้นเป็นรูปดอกบัว 5 ดอก ประดับแจกัน ต่อมาหลังคาพังลงมา ทำให้พญานาคและใบระกาชำรุดเสียหาย
ในปี พ.ศ.2541 ชาวอำเภอบางคล้าจึงร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์ เป็นเงิน 350,000 บาท บูรณะปฏิสังขรณ์วิหารในส่วนของโครงสร้างหลังคา โดยคงรูปแบบเดิมไว้ และได้ตั้งเสาขึ้น 8 ต้น เพื่อเสริมความแข็งแรงของหลังคาทั้งสี่ด้าน พื้นรอบวิหารปูด้วยศิลาแลง ผนังภายในก่ออิฐฉาบปูน และเปลี่ยนเพดานใหม่ พร้อมติดตั้งโคมไฟ ปูพื้นด้วยหินอ่อน
ศาลาพระพุทธรูปองค์สำคัญๆ
เป็นศาลาแบบเปิดโล่ง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิหารเก่า ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปมากมาย เช่น รูปหล่อพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง พระสิวลี และที่เห็นแปลกกว่าที่อื่นๆ คือ พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา และพระพุทธรูปที่ทำเป็นพระเบญจภาคีทั้ง 5 (จำลองขึ้นจากพระเครื่อง) จุดนี้สามารถเข้าไปกราบจุดธูปเทียน กราบสักการะ และปิดทองที่องค์พระได้
เบญจภาคี เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเล่นพระเครื่อง ซึ่งหมายถึงพระเครื่ององค์เล็กๆ ที่คนนำมาห้อยคอ 5 องค์ ที่เป็นสุดยอดพระเครื่องที่คนนับถือบูชากันมาก นำมาจัดเข้าชุดกัน ซึ่งพระ 5 องค์นี้ ได้แก่ พระสมเด็จวัดระฆัง พระนางพญา พระกำแพงซุ้มกอ(พระกำแพง) พระผงสุพรรณ และพระรอด
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด
- ชมค้างคาวแม่ไก่รอบๆ วัด
- กราบพระพุทธไสยาสน์ หลวงพ่อโต
- ชมวิหารเก่าแก่ อายุกว่า 200 ปี
- ศาลารวมพระพุทธรูปสำคัญๆ
- ศาลาเจ้าแม่กวนอิม (อยู่บริเวณท่าน้ำ)
- ศาลาพระพิฆเนศ (อยู่บริเวณท่าน้ำ)
การเดินทาง
ห่างจากตลาดน้ำบางคล้า 1 กิโลเมตร
ห่างจากสถูปเจดีย์ พระเจ้าตากสินมหาราช 2.5 กิโลเมตร
ห่างจากวัดปากน้ำโจ้โล้ 3 กิโลเมตร
ห่างจากสวนปาล์มฟาร์มนก 10 กิโลเมตร
ห่างจากวัดสมานรัตนาราม 19 กิโลเมตร
ห่างจากวัดหลวงพ่อโสธร 27 กิโลเมตร
เส้นทางที่ 1 มอเตอร์เวย์ (หรือบางนา-ตราด) -> บางปะกง-ฉะเชิงเทรา (314) -> ฉะเชิงเทรา-พนมสารคาม (365) -> ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี (304) -> อ.บางคล้า
1 | หากใช้เส้นทางจากมอเตอร์เวย์ (หรือบางนา-ตราด) ให้เลี้ยวตามป้ายจังหวัดฉะเชิงเทรา (314) |
2 | ตรงตามเส้นทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง เห็นป้ายบอกทางเลี้ยวขวาไป อ.พนมสารคาม (365 หรือ 314 เดิม) จึงเลี้ยวขวาตามป้ายไปพนมสารคาม |
3 | เมื่อเลี้ยวขวามาแล้ว เส้นทางจะเปลี่ยนไปเป็นเส้น 304 (ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี) ให้ตรงตามเส้นทางนี้ไปอีกราวๆ เกือบ 20 กิโลเมตร (ตามป้ายทางไปกบินทร์บุรี) |
4 | จากนั้นจะเห็นป้ายบอกทางแยกซ้ายไป อ.บางคล้า (ตรงแยกบางคล้า) จึงเลี้ยวซ้าย |
5 | เมื่อเลี้ยวแล้ว ตรงตามเส้นทางหลักไปเรื่อยๆ อีก 6 กิโลเมตร (จะผ่านอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช) แล้วจะสุดตรงสามแยกรูปตัวที (T) จึงเลี้ยวซ้าย |
6 | เลี้ยวซ้ายไปเพียง 500 เมตร พ้นรั้วโรงเรียนสุตะบำรุงพิทยาคารไปหน่อยนึง ก็เลี้ยวขวาเข้าไปในบริเวณลานจอดรถของวัดได้เลย |
7 | หากจะชมบรรยากาศวัด กราบสักการะพระ หรือชมวิหารเก่าให้เดินผ่านรั้ววัดทางขวามือไป จะเห็นค้างคาวแม่ไก่ตั้งแต่ต้นไม้ตรงลานจอดรถ ไปจนถึงในบริเวณวัด และริมท่าน้ำ |
เส้นทางที่ 2 ถนนสุวินทวงศ์ (มีนบุรี) -> ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี (314) -> ฉะเชิงเทรา-พนมสารคาม (365) -> ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี (304) -> อ.บางคล้า
1 | หากใช้เส้นทางจากถนนสุวินทวงศ์ (มีนบุรี) ตรงมาทางจังหวัดฉะเชิงเทรา |
2 | เมื่อเข้าเขตฉะเชิงเทรา เส้นทางจะขึ้นบนสะพานข้ามทางรถไฟ และมีป้ายบอกทางตรงไปชลบุรี (314) ให้ตรงไปก่อนเพื่อเลี่ยงเมือง (ไม่เลี้ยวเข้าตัวเมืองฉะเชิงเทรา) |
3 | ตรงมาสักพัก จะเจอทางแยก มีป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไป อ.พนมสารคาม (365 หรือ 314 เดิม) จึงเลี้ยวซ้ายตามป้าย |
4 | เมื่อเลี้ยวแล้ว เส้นทางจะเปลี่ยนไปเป็นเส้น 304 (ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี) จากนั้นตรงไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร (ตามป้ายกบินทร์บุรี) |
5 | จากนั้นจะเห็นป้ายบอกทางแยกซ้ายไป อ.บางคล้า (ตรงแยกบางคล้า) จึงเลี้ยวซ้าย |
6 | เมื่อเลี้ยวแล้ว ตรงตามเส้นทางหลักไปเรื่อยๆ อีก 6 กิโลเมตร (จะผ่านอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช) แล้วจะสุดตรงสามแยกรูปตัวที (T) จึงเลี้ยวซ้าย |
7 | เลี้ยวซ้ายไปเพียง 500 เมตร พ้นรั้วโรงเรียนสุตะบำรุงพิทยาคารไปหน่อยนึง ก็เลี้ยวขวาเข้าบริเวณลานจอดรถวัด |
หากเดินทางจากวัดหลวงพ่อโสธร ไปอำเภอบางคล้า
1 | เมื่อออกจากวัดแล้วให้เลี้ยวซ้าย แล้วตรงไปประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ จะเห็นมีป้ายบอกทางเลี้ยวซ้าย ไป อ.บางคล้า |
2 | ให้เลี้ยวตามป้าย เส้นทางจะไปบรรจบกับเส้น 304 (ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี) |
3 | จากนั้นให้ตรงไปจนถึงแยกเข้า อ.บางคล้า เลี้ยวซ้ายเข้าไปอำเภอบางคล้า พอถึงตัวอำเภอก็เลี้ยวซ้ายไปอีกไม่ไกล วัดโพธิ์บางคล้าอยู่ทางขวามือ |
หากเดินทางจากวัดสมานรัตนาราม ต้องการไปวัดโพธิ์บางคล้า
1 | เมื่อออกจากซุ้มประตูวัดสมาน ให้เลี้ยวขวา จากนั้นจะมีป้ายบอกทางไปอำเภอบางคล้า เส้นนี้จะใช้ระยะทางประมาณ 19 กิโลเมตร |
ที่อยู่ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา
โทร (ไม่มีข้อมูล)