วัดปากน้ำโจ้โล้ ก็คือ "วัดปากน้ำ" ที่อยู่ในบริเวณปากน้ำโจ้โล้ จึงมักจะถูกเรียกรวมกับชื่อสถานที่ตั้ง กลายเป็น "วัดปากน้ำโจ้โล้" เป็นวัดที่มีชื่อเสียงเรื่องของความสวยงามของโบสถ์สีทองหนึ่งเดียวในไทย โบสถ์สีเหลืองเปล่งประกายทองอร่ามทั้งหลัง เป็นความวิจิตรบรรจงของช่างศิลป์ ที่วาดวางลวดลายอ่อนช้อยแบบไทยๆ ตกแต่งประดับประดาไว้ได้อย่างงดงาม นอกจากนี้ภายในโบสถ์ยังมีจุดให้ลอดใต้ฐานพระประธาน เพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย
วัดปากน้ำโจ้โล้ ตั้งอยู่ในอำเภอบางคล้า ริมฝั่งทางทิศตะวันออกของลำน้ำบางปะกง และติดริมถนน (ตรงข้ามโรงเรียนวัดปากน้ำโจ้โล้) หาง่าย มองเห็นได้เด่นชัด วัดอยู่ในช่วงคุ้งน้ำ ที่คลองท่าลาดไหลมาเชื่อมต่อกับแม่น้ำบางปะกง ซึ่งจุดนี้ยังอยู่ใกล้กับอนุสรณ์สถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชด้วย มองเห็นกันได้อย่างชัดเจนตรงบริเวณท่าน้ำของวัด
วัดปากน้ำโจ้โล้ เดิมเคยเป็นสำนักสงฆ์ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าในปี พ.ศ.ใด คาดว่าเป็นช่วงปี พ.ศ.2309 หรือก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก ขณะนั้นพระยาวชิรปราการ หรือพระยาตาก เห็นว่าอยุธยาไม่อาจต้านทานทัพพม่าไว้ได้ จึงได้ตีฝ่าวงล้อมพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา มาทางแถบภาคตะวันออก เพื่อรวบรวมไพร่พลกลับไปตีเมืองคืน โดยเดินทางผ่านมาทางจังหวัดนครนายก ฉะเชิงเทรา เพื่อไปยังจังหวัดปราจีนบุรี ขณะนั้นเอง ได้เกิดปะทะกับกองทัพพม่า ซึ่งตั้งฐานทัพอยู่บริเวณปากแม่น้ำ ในที่สุดกองทัพพระยาตากได้ต่อสู้กับพม่า จนได้รับชัยชนะ
คำว่า "โจ้โล้" กล่าวกันว่า มาจากคำจีนแต้จิ๋ว คำว่า "จ้อโล้" ที่แปลว่าปลากระพงขาว เพราะบริเวณท่าน้ำของวัดมีปลากระพงขาวชุกชุมกว่าที่อื่น ต่อมาเพี้ยนมาเป็นคำว่า "โจ้โล้" ส่วนอีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า เพี้ยนกันมาจากคำว่า "เจ้าโล้" ที่เล่ากันว่าในขณะที่ปากน้ำแห่งนี้ เคยเป็นบริเวณที่ตั้งของทัพพม่า เมื่อทัพพระเจ้าตากสินทรงผ่านมา ด้วยกำลังคนที่น้อยกว่าจึงทรงวางแผนโจมตีพม่า โดยโล้เรือมาตามลำน้ำให้ทหารพม่าตายใจว่าทรงมาเพียงลำพัง แล้วให้ทหารของพระองค์คอยโอบล้อม ซุ่มโจมตีจนได้ชัยชนะ ทรงสร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ และเรียกบริเวณนี้ว่า เจ้าโล้ (หมายถึงที่ที่พระเจ้าตากโล้เรือมา) และต่อมาเพี้ยนเสียงกลายเป็น โจ้โล้
เมื่อเข้ามาในบริเวณวัดปากน้ำโจ้โล้ จะเป็นลานจอดรถโล่งกว้าง จอดสะดวกได้หลายคัน ด้านข้างลานจอดรถเป็นบริเวณที่มีกลุ่มชาวบ้านตั้งร้าน ขายสินค้าท้องถิ่น ด้านขวา มีพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์ใหญ่ ส่วนตรงกลางถัดจากลานจอดรถไป จะเห็นโบสถ์สีทองตั้งตระหง่านหันข้างให้กับลานด้านหน้า อีกฝั่งเป็นพื้นที่ริมแม่น้ำ ที่จัดเป็นสนามหญ้า ดูสวยงาม สะอาดตา เป็นจุดที่สงบ วางเก้าอี้ม้าหินไว้ให้ได้นั่งพักผ่อน รับลมเย็นๆ ริมแม่น้ำช่วงแดดร่มลมตก
อุโบสถสีทอง เป็นการก่อสร้างแทนโบสถ์เก่าที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ตลิ่งถูกกัดเซาะจนทางวัดเกรงว่าจะเกิดความเสียหายต่อพระประธาน จึงรื้อโบสถ์เก่า แล้วบูรณะขึ้นใหม่ โดยมีพระอาจารย์เอกลักษณ์ ปัญญาคโม เป็นผู้ดูแลการบูรณะ และทาสีใหม่ โดยใช้สีเหลืองทองกับทุกส่วนของโบสถ์ (รวมถึงอาคารส่วนอื่นๆ ของวัดด้วย) และใช้ลวดลายปูนปั้นอ่อนช้อย ตกแต่งประดับประดาตามส่วนต่างๆ ดูงดงามดั่งงานพุทธศิลป์อันประณีต เป็นกุศโลบายในการดึงดูดผู้คนให้เข้าวัด โบสถ์สีทองเป็นเสมือนการจำลองภาพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อมีผู้พบเห็นเกิดความสุข ปิติ และเลื่อมใสศรัทธาต่อพุทธศาสนา
โบสถ์สีทองหลังนี้ ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เมื่อเข้าไปภายในวัดแล้ว ประตูทางเข้าโบสถ์จะอยู่ทางซ้ายมือ (ตัวโบสถ์หันข้างให้กับประตูวัด และหันข้างให้กับแม่น้ำบางปะกงด้วย) สร้างแบบก่ออิฐถือปูน หลังคาประดับด้วย พญานาค และธรรมจักร ตรงกลางมีบุษบกยอดฉัตร ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
ทางเข้าโบสถ์ มีซุ้มประตูทางเข้า 4 ด้าน ด้านหน้าและหลังโบสถ์ มีทวารบาลร่างสูงใหญ่ซุ้มละ 2 องค์ ซุ้มประตูด้านหน้ามีท้าวธตรฐมหาราช (ผู้ดูแลทิศตะวันออก) และท้าววิรุฬหกมหาราช (ผู้ดูแลทิศใต้) ส่วนซุ้มประตูด้านหลัง มีทวารบาล เป็นท้าวเวสสุวรรณ มหาราช (ผู้ดูแลทิศเหนือ) และท้าววิรุฬปักษ์มหาราช (ผู้ดูแลทิศตะวันตก) ซุ้มประตูโบสถ์ด้านข้าง ทำเป็นซุ้มขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยลวดลายที่วิจิตรบรรจง อ่อนช้อยสวยงาม มีพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ตั้งอยู่ 3 องค์ และมีพระอินทร์ทรงช้าง 3 เศียร อยู่บริเวณข้างซุ้มประตู
ตัวโบสถ์มีกำแพงแก้วล้อมรอบ 2 ชั้น กำแพงแก้วชั้นนอกตกแต่งด้วยลวดลายธรรมจักร สลับกับโคมไฟรูปช้างสามเศียรเป็นระยะๆ เมื่อเข้าไปยังด้านใน จะเป็นบริเวณลานทักษิณาวัตร ซึ่งต้องถอดรองเท้าเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ามาในยังเขตของโบสถ์ บริเวณลานทักษิณาวัตรนี้ มีขนาดไม่กว้างมากนัก โดยรอบมีซุ้มเสมาที่ตกแต่งเป็นยอดแหลม ประดับลวดลายสวยงามตั้งไว้ทั้ง 8 ทิศ จากลานทักษิณาวัตร มีบันไดเล็กๆ ขึ้นไปยังบริเวณกำแพงแก้วชั้นใน เชิงบันไดทางขึ้นมี สกุณคชสีห์* 2 ตัว จากนั้นจะเป็นส่วนของกำแพงแก้วชั้นใน ที่ระเบียงตกแต่งด้วยตัวแบกหนุมาน สลับกับยักษ์ถือกระบองประดับอยู่ที่โคนเสาแต่ละต้น
* สกุณคชสีห์ เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ ตัวเป็นราชสีห์ มีงวง และงาเหมือนช้าง ด้านหลังมีปีกเหมือนนก
ตัวอาคารโบสถ์สีทอง มีประตูทางเข้า 3 ประตู (ด้านหลังมี 2 ประตู ตรงกลางประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร) ภายในตัวโบสถ์ ด้านในยังคงใช้สีทองทั้งหมด ผนังโบสถ์ไม่ได้วาดเป็นจิตรกรรมฝาผนัง แต่ใช้การประดับกรอบประตู หน้าต่างด้วยลวดลายปูนปั้นที่อ่อนหวานแบบไทยๆ เครื่องบูชาพระประธานเป็นพานธูปเทียนแพ ด้านข้างจัดวางพระพุทธรูปตัวแทนของพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ให้ได้ใส่บาตรเหรียญ
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจภายในโบสถ์ เป็นห้องที่ดูลับตา ช่องทางเดินลอดใต้ฐานพระประธาน เพื่อความเป็นสิริมงคล ใครที่กราบบูชาพระแล้ว ให้เดินไปทางซ้ายขององค์พระประธาน (มีป้ายเขียนไว้ให้เห็นว่าเป็นจุดลอดใต้ฐานพระ) บริเวณทางเข้าจะหลบมุม ต้องเดินเข้าไปใกล้จึงจะรู้ว่ามีห้องเล็กๆ อยู่ ผนังด้านนอกและด้านในส่วนนี้แกะสลักลายนูนต่ำ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ และพระพุทธเจ้าในปางต่างๆ ซุ้มใต้ฐานพระมีระยะทางสั้นๆ ด้านในมีพัดลมช่วยระบายอากาศ ไม่ร้อนอึดอัด เดินทะลุออกมายังฝั่งขวาของพระประธาน ขณะเดินลอดก็จะมีบทสวดมนต์ภาวนาอธิษฐานจิต เพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ
ข้อแนะนำ
สิ่งที่น่าสนใจภายในบริเวณวัด
- โบสถ์สีทอง
- พระพุทธรูปปางป่าเลไลก์** (อยู่ใต้ต้นโพธิ์บริเวณด้านหน้าโบสถ์) และเป็นจุดที่ให้ลอดท้องช้าง
- ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงประทับท่านั่ง พระหัตถ์สองข้างกำดาบที่วางอยู่บนพระเพลา ด้านข้างเป็นรูปปั้นทหารองครักษ์ ผู้คนมักจะมาบนบานสานกล่าวขอสิ่งต่างๆ เพื่อความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะบนขอเรื่องหน้าที่การงาน หนี้สิน เมื่อได้สมปรารถนา ก็มักจะถวายไก่ชนปั้น เป็นการแก้บน การจุดธูปบูชาสักการะสมเด็จพระเจ้าตากจะใช้ธูป 9 ดอก หรือจะปิดทองที่องค์ท่านด้วยก็ได้
- ศาลปู่หมอชีวกโกมารภัทร ปู่นารอด ปู่ตาไฟ บรมครูแห่งการรักษาโรคทั้งปวง
- ศาลเจ้าพ่อวงษ์
** พระพุทธรูปปางป่าเลไลก์ เป็นพระประจำคนเกิดวันพุธกลางคืน มีรูปปั้นช้างขนาดใหญ่ที่ให้เดินลอดใต้ท้องช้าง 3 รอบ เพิ่มความเป็นสิริมงคลให้ชีวิต
การเดินทาง
ห่างจากวัดโพธิ์ บางคล้า / ตลาดน้ำบางคล้า 3 กิโลเมตร
ห่างจากสถูปเจดีย์ พระเจ้าตากสินมหาราช (เส้นทางรถยนต์) 1.5 กิโลเมตร
ห่างจากสวนปาล์มฟาร์มนก 6.5 กิโลเมตร
ห่างจากวัดสมานรัตนาราม 16 กิโลเมตร
ห่างจากวัดหลวงพ่อโสธร 23 กิโลเมตร
เส้นทางที่ 1 มอเตอร์เวย์ (หรือบางนา-ตราด) -> บางปะกง-ฉะเชิงเทรา (314) -> ฉะเชิงเทรา-พนมสารคาม (365) -> ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี (304) -> อ.บางคล้า
1 | หากใช้เส้นทางจากมอเตอร์เวย์ (หรือบางนา-ตราด) ให้เลี้ยวตามป้ายมาทางจังหวัดฉะเชิงเทรา (314) |
2 | เมื่อเข้าเส้นบางปะกง - ฉะเชิงเทรา ให้ตรงตามเส้นทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง เห็นป้ายบอกทางเลี้ยวขวาไป อ.พนมสารคาม (365 หรือ 314 เดิม) จึงเลี้ยวขวา |
3 | เมื่อเลี้ยวขวามาแล้ว เส้นทางจะเปลี่ยนไปเป็นเส้น 304 (ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี) ให้ตรงตามเส้นทางนี้ไปอีกราวๆ เกือบ 20 กิโลเมตร |
4 | จากนั้นจะเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไป อ.บางคล้า (ตรงแยกบางคล้า) จึงเลี้ยวซ้าย |
5 | เมื่อเลี้ยวมาแล้ว ตรงตามเส้นทางหลักไปเรื่อยๆ อีก 6 กิโลเมตร (จะผ่านอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช) แล้วจะสุดตรงสามแยกรูปตัวที (T) ให้เลี้ยวขวา |
6 | เมื่อเลี้ยวมา ผ่านตัวอำเภอบางคล้า ให้ตรงไปตามเส้นทางไปเรื่อยๆ อีกประมาณ 3 กิโลเมตร จะเห็นวัดปากน้ำโจ้โล้ทางซ้ายมือ |
เส้นทางที่ 2 มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา (ถนนสุวินทวงศ์)(304) -> อ.บางน้ำเปรี้ยว (365) -> ถนนสายในไป อ.คลองเขื่อน -> ถนนสายในไป อ.บางคล้า
เป็นเส้นทางที่สะดวก เหมาะกับคนที่มาจากกรุงเทพฯ ตอนบน เช่น บางเขน ดอนเมือง จตุจักร มีนบุรี และจากจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี เข้าเส้นทางสายใน ไม่ผ่านตัวเมืองฉะเชิงเทรา (เลี่ยงเส้นรถติดได้ด้วย) เส้นทางนี้ผ่านที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น ทางเข้าวัดสมานรัตนาราม สวนปาล์มฟาร์มนก หมู่บ้านน้ำตาลสด และเป็นเส้นติดต่อไปยัง สถูปเจดีย์พระเจ้าตากสิน ตลาดน้ำบางคล้า วัดโพธิ์บางคล้า
1 | เส้นทางเริ่มจากถนนสุวินทวงศ์ (มีนบุรี) ตรงมาทางจังหวัดฉะเชิงเทรา |
2 | เมื่อเข้าเขตจังหวัดฉะเชิงเทราแล้ว ก็ยังคงตรงไปเรื่อยๆ จนถึงแยกไฟแดง ที่มีป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไป อ.บางน้ำเปรี้ยว (365)(แยกสตาร์ไลท์) จึงเลี้ยวซ้าย * ช่วงแรกจะมีแยกเลี้ยวซ้ายไป อ.บางน้ำเปรี้ยว แต่เป็นทางหลวงหมายเลข 3481 ยังไม่ต้องเลี้ยว ให้ตรงมาก่อนจนถึงแยกสตาร์ไลท์ |
3 | เมื่อเลี้ยวซ้ายมาแล้ว ตรงตามเส้นทางไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร จะมาสุดตรงสามแยกรูปตัวที (T) แยกนี้มีป้ายบอกทางเลี้ยวขวาไป อ.คลองเขื่อน (แยกบางขวัญ) จึงเลี้ยวขวาตามป้าย (ให้ยึดเส้นทางเดียวกับสวนปาล์มฟาร์มนก) |
4 | เมื่อเลี้ยวมาแล้ว ตรงไปอีกราวๆ 6.5 กิโลเมตร จะเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไป อ.คลองเขื่อน จึงเลี้ยวซ้ายตามป้าย ** แยกนี้ ทางเลี้ยวจะเป็นซ้ายหักศอก เข้าสู่ถนนเลียบคลองชลประทาน |
5 | เลี้ยวมาแล้ว ตรงตามถนนเลียบคลองชลประทานไปอีกประมาณ 9 กิโลเมตร เมื่อเจอสี่แยก บอกทางเลี้ยวขวาไปอำเภอบางคล้า (ทางเดียวกับตลาดน้ำบางคล้า /สวนปาล์มฟาร์มนก) จึงเลี้ยวขวา |
6 | เมื่อเลี้ยวขวามาแล้ว จะผ่านสวนปาล์มฟาร์มนก จากนั้นจะเจอสามแยกรูปตัวที (T) ให้เลี้ยวขวา และเจอสามแยกถัดไป (ตรง 7-11) ก็ให้ไปทางขวาอีก |
7 | พอพ้นสามแยกตรง 7-11 มาหน่อย ก็จะเห็นวัดปากน้ำโจ้โล้อยู่ริมถนน ทางขวามือ |
ที่อยู่ หมู่ 7 ตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา 24110
โทร 038-133-070, 081-917-6421