ไปออกกำลังกายที่สวนสุขภาพ [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 19 มิถุนายน 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหมิว

    หมิวเป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดาคนหนึ่ง วันๆก็นั่งอยู่แต่หน้าคอมพ์ จนรู้สึกว่าสุขภาพร่างกายเริ่มแย่ลง หมิวเลยตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองว่า จะไปออกกำลังกายที่สวนสุขภาพใกล้บ้าน อย่างน้อยอาทิตย์ล่ะ 3 วัน

    สวนแห่งนี้ เปิดตั้งแต่เช้า และปิดตอน 2 ทุ่ม หมิวเลยตัดสินใจที่จะมาวิ่งหลังเวลาเลิกงานค่ะ

    ตอนนั้นหมิวเลิกงานประมาณ 6 โมง กว่าจะฝ่ารถติดไปถึงสวน เวลาก็ล่วงเลยไปทุ่มกว่า แต่สวนแห่งนี้ค่อนข้างมีคนมาวิ่งเยอะ มีไฟสว่างไสวอยู่ทั่วบริเวณ เลยทำให้ดูไม่อันตรายเท่าไหร่

    เมื่อเข้าสวนมาได้ หมิวก็เสียบหูฟัง แล้วเปิดเพลงฟัง เพื่อที่จะได้ไม่เบื่อเวลาวิ่ง บนถนนจะมีสติ๊กเกอร์ติดเอาไว้ว่า เลนส์นี้สำหรับคนเดิน และอีกเลนส์สำหรับคนวิ่ง

    รอบที่ 1 และ 2 ผ่านไปได้ด้วยดี แต่พอวิ่งมาถึงรอบที่ 3 จำนวนคนที่วิ่งข้างกันก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว นานๆทีถึงจะวิ่งไปเจอคนสักคน จนมาถึงโค้งสุดท้ายก่อนที่จะกลับไปที่หน้าประตู พอพ้นโค้งนี้ไป จะเป็นทางตรงยาวประมาณ 300 เมตร แต่ข้างทางจะไม่มีเก้าอี้นั่งเหมือนทางที่ผ่านมา มีแค่ต้นไม้ต้นเตี้ยๆปลูกอยู่เต็ม 2 ข้างทาง

    ตอนที่เลี้ยวโค้งสุดท้ายไป หมิวก็เริ่มผ่อนแรงเป็นเดินแกว่งแขน เพราะคิดว่าจะกลับแล้ว หมิวเดินทอดน่องมองต้นไม้ไปเรื่อยๆ กดเปลี่ยนเพลงเพื่อหาเพลงโปรดฟัง ช่วงระยะเวลาที่เพลงเงียบไป หมิวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งอยู่ข้างหลัง แอบดีใจอยู่ลึกๆ ที่อย่างน้อยก็ยังพอมีคนเหลืออยู่บ้าง หมิวเปลี่ยนมาเดินเลนส์สำหรับเดิน เพื่อหลีกทางให้เขาวิ่งแซงไป

    เพลงยังคงเล่นไปเรื่อยๆ แถมยังเป็นเพลงเร็วที่ดนตรีค่อนข้างหนัก แต่เสียงวิ่งของคนข้างหลังก็ยังคงดังจนทะลุหูฟังเข้ามาได้ มันดังขึ้นเรื่อยๆเหมือนเขาเริ่มเข้ามาใกล้เรา แต่แปลกที่วิ่งมา 3 รอบแล้ว เพิ่งจะมาได้ยินเสียงฝีเท้าคนเอาตอนนี้

    หมิวชะลอการเดินให้ช้าลงอีก เพื่อรอดูหน้าตอนเขาแซงไป เสียงตึกๆๆดังขึ้นมากกว่าเดิม เหมือนเขากำลังเร่งฝีเท้า มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงรองเท้ากระทบพื้นมันดังมาก จนเหมือนหมิวไม่ได้ใส่หูฟัง

    เวลาผ่านไปหลายวินาที

    แต่ก็ยังไม่มีใครแซงไปสักคน

    ตอนนั้นหมิวเริ่มกลัวว่าจะเป็นคนที่คิดไม่ดี เพราะท่าทีเขาเริ่มน่าสงสัย เราเดินช้าขนาดนี้ แต่ทำไมเขาไม่แซงไป หมิวเลยรีบเปลี่ยนเส้นทาง จากเดินตามถนน มาเป็นลัดสนามหญ้า มุ่งสู่กลางสวนที่มีไฟสว่างที่สุด เพราะเป็นที่ๆตั้งเครื่องออกกำลังกายเอาไว้

    เสียงนั้นไม่ได้ตามมาอีก แต่เพื่อความแน่ใจ หมิวเลยหันกลับไปมองทางถนน แต่ปรากฎว่า ตลอดเส้นทางที่หมิวเดินมา มันไม่มีคนวิ่งอยู่เลยสักคน

    ตอนนั้นเป็นเวลาทุ่มสี่สิบเห็นจะได้ มีครอบครัวเล็กๆอยู่ครบครัวหนึ่ง ยืนเฝ้าลูกอยู่ที่สนามเด็กเล่นถัดจากหมิวไม่ไกล อย่างน้อยก็ยังมีคนอยู่ หมิวเลยเลิกสนใจเสียงปริศนานั้น แล้วออกกำลังกายกับเครื่องตามที่ป้ายบอก

    หมิวเล่นเครื่องนั้นทีเครื่องนี้จนเหนื่อยหอบ เลยเดินมานั่งพักตรงเก้าอี้ใกล้สนามเด็กเล่น แล้วอยู่ๆชิงช้าที่ว่างเปล่าตรงหน้าหมิว มันก็เริ่มแกว่งไปมาเบาๆ ตอนนั้นหมิวขนลุกซู่อย่างไม่มีสาเหตุ หมิวพยายามคิดในทางที่ดี ว่ามันอาจจะเป็นแค่ลมที่พัดผ่านมาก็ได้

    แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก แทนที่มันจะหยุด มันดันแกว่งแรงขึ้น เหมือนมีคนกำลังเล่นอยู่ หมิวหันไปมองครอบครัวนั้น แต่พวกเขาไม่อยู่แล้ว บรรยากาศรอบตัวเริ่มวังเว เพราะเหลือหมิวแค่คนเดียวตรงนั้น

    นาทีนั้นหมิวไม่เสียเวลาคิดว่าอะไรเป็นอะไร รีบลุกแล้วออกมาจากที่นั่นให้เร็วที่สุด แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกไปไหน ชิงช้าตรงหน้าก็แกว่งไปด้านข้างอย่างแรง เหมือนกับคนที่นั่งอยู่บนนั้นถูกกระชากให้ลงมา

    หมิวยืนตาค้างอยู่แบบนั้น ขาแข็งจนก้าวไม่ออก ตอนนั้นเองเสาเหล็กที่แขวนชิงช้าอยู่ มันก็สั่นสะเทือนเหมือนถูกของแข็งตี ทั้งๆที่ชิงช้าไม่ได้ไปกระแทกโดนเลย ถัดจากเสา เป็นไม้กระดก บันไดสไลเดอร์ จักรยานเหล็ก สิ่งของทุกอย่าง สั่นและมีเสียงดังขึ้นมาอย่างไม่มีต้นตอ

    หมิวได้แต่ปิดหูปิดตา ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น เสียงเหล็กถูกกระทบยังคงดังต่อเนื่อง จากไกลๆ ก็เข้ามาใกล้หมิวมากขึ้น อยากหนีไปจากตรงนี้ แต่ขาก็ยังไม่มีเรี่ยวแรงเลย

    แกร๊ง!

    หมิวหลับตาปี๋ เพราะตอนนี้สิ่งที่ถูกตี ไม่ใช่เครื่องเล่นอีกต่อไป แต่มันคือเก้าอี้ ที่อยู่ถัดจากหมิวไปแค่ 3 ตัวเท่านั้น

    แกร๊ง!!

    หมิวเริ่มจิกมือลงบนขา อีกเพียงแค่ 2 ตัว มันก็จะมาถึงตัวที่หมิวนั่งอยู่


    แกร๊ง!!!

    อีกแค่ตัวเดียว

    หมิวนั่งตัวสั่นรอรับแรงกระทบที่เก้าอี้ เพราะรู้ดีว่ามันจะถูกตีเป็นอย่างต่อไป


    .

    .

    .


    แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างกลับเงียบลง


    ไม่มีแรงสั่น

    ไม่มีเสียง


    หมิวค่อยๆลืมตาขึ้นดู ไฟที่สว่างจ้าทำให้คลายความกลัวว่าจะถูกคนทำร้ายไปได้อย่างนึง แต่ไอ้บางอย่างที่มองไม่เห็นนี่สิ ไม่รู้จะกลับมาอีกเมื่อไหร่

    หมิวรวบรวมแรงแล้วรีบลุกขึ้น แต่ปรากฎว่าหูฟังข้างนึงมันดันเกี่ยวอยู่กับร่องตรงกลางของเก้าอี้ หมิวพยายามดึงมันขึ้นมา แต่มันก็ยังติดอยู่

    และในตอนนั้นเอง ที่หมิวมองผ่านร่องของเก้าอี้ลงไป และพบว่ามันมีอะไรบางอย่างอยู่ใต้นั้น

    ดวงตากลมโต 1 คู่ จ้องมองมาที่หมิวไม่กระพริบ

    หมิวสติกระเจิดกระเจิง ทำอะไรไม่ถูก จะร้องก็ไม่ออก จะวิ่งหนีก็ไม่ได้ สายหูฟังที่อยู่ในมือ ถูกเจ้าของดวงตากระตุกเข้าหาตัวเบาๆ

    “พี่คะ หนูหาพ่อแม่ไม่เจอ”

    เธอค่อยๆคลานออกมาจากใต้เก้าอี้ตัวนั้น หมิวเลยเห็นว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิง ผมเผ้ารุงรัง หน้าตาเลอะเทอะ ใส่ชุดกระโปรงมอมแมม

    “พี่คะ”

    เธอคลานเข้ามาหาหมิว ร่างเล็กที่สั่นน้อยๆ ค่อยๆประครองตัวเองลุกขึ้นยืน ความสูงของเธอระดับเลยเอวหมิวขึ้นมา มันเลยทำให้หน้าของเธอเมื่อเงยขึ้น อยู่ห่างจากหน้าหมิวไม่เท่าไหร่

    “พี่ช่วยหนูด้วย” คราวนี้ไม่พูดอย่างเดียว เธอยื่นมือมาจับเข้าที่มือหมิว

    “กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!!!!!”

    หมิวสะบัดมือออก เดินถอยหลังออกมาแต่แข้งขาก็ดันมาอ่อนเอาตอนนี้ หมิวล้มลงกับพื้น เด็กทำท่าจะเดินเข้ามาหา หมิวเลยหลับหูหลับตาตะโกนออกไป

    “ออกไป!! อย่าเข้ามา พี่จะทำบุญไปให้อย่าเข้ามา พี่กลัวแล้ว ฮือออ เดี๋ยวพี่กรวดน้ำไปให้ อย่ามาหลอกพี่เลย พี่ขอร้อง พี่วิ่งไม่ไหวแล้ว อย่ามาให้พี่เห็นเลยนะ ออกไป”

    หมิวจำได้ว่าพูดอย่างนั้น วนไปวนมาอยู่หลายรอบ จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆวิ่งเข้ามา

    “คุณ! คุณเป็นอะไรรึเปล่า”

    หมิวลืมตาขึ้น ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งในชุดรักษาความปลอดภัย วิ่งเข้ามาพยายามช่วยดึงหมิวให้ลุกขึ้น

    “พี่ พี่ช่วยด้วย ผี หนูโดนผีหลอก”

    “ห๊ะ” พี่ยามสบถแล้วทำหน้าไม่เชื่อ

    “ผีพี่ ผีเด็กผู้หญิง คลานออกมาจากใต้เก้าอี้”

    พี่ยามปล่อยมือจากหมิว แล้วเดินเข้าไปหาเก้าอี้ที่หมิวชี้ช้าๆ หมิวค่อยๆลุกขึ้นยืน แล้วมองพี่ยามที่เดินเข้าไปตรวจดูเก้าอี้ตัวนั้น

    “เฮ้ย!” หมิวสะดุ้งเมื่อพี่เขาตะโกน ในใจคิดว่ายังดีที่พี่เค้าเห็นเหมือนเรา ไม่งั้นเขาคงหาว่าหมิวบ้าแน่ๆ “น้อง มาอยู่นี่เองหรอ” หมิวเริ่มเอะใจตอนที่พี่ยามพูดแบบนั้น “พ่อแม่ตามหาตั้งนานรู้บ้างไหม”

    เด็กคนนั้นไม่ใช่ผีอย่างนั้นหรอ

    ตอนนั้นหมิวรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พี่ยามดึงเด็กเนื้อตัวมอมแมมออกมาจากใต้เก้าอี้ แล้วหยิบวอร์ขึ้นมาวอร์หาเพื่อน

    “เจอเด็กที่ตามหาแล้ว” พี่เขาพูดใส่วอร์ พร้อมกับจูงเด็กเข้ามาหาหมิวแล้วยิ้มขำ

    “ขะ ขอโทษค่ะ” ตอนนั้นทั้งอายทั้งทำอะไรไม่ถูก เด็กก็ดูกลัวๆหมิว “พี่ขอโทษนะคะ พี่ไม่รู้ น้องโผล่มาแบบนั้น พี่ก็นึกว่าผี”

    เด็กส่ายหน้า แล้วดึงเสื้อที่เปื้อนมาเช็ดน้ำตา พี่ยามขอให้หมิวเดินตามไปที่ป้อม เพราะเพื่อนเขากำลังตามพ่อแม่เด็กมา แล้วพวกเขาก็คงอยากขอบคุณหมิวที่หาลูกเขาเจอ

    หมิวเดินตามพี่ยามที่จูงมือเด็กไปตามทาง จนมาถึงประตูที่เขียนไว้ว่า ‘เฉพาะเจ้าหน้าที่’ พี่ยามสแกนบัตรแล้วเปิดประตูพาพวกเราเข้าไป

    หลังประตูนั้นเป็นทางเดินประมาณ 30 เมตร ที่สิ้นสุดทางเดินจะมีป้อมยามเล็กๆอยู่

    “คุณพาเด็กไปที่ป้อมนะครับ เดี๋ยวผมออกไปตรวจสวนต่อ เผื่อพ่อแม่เด็กจะยังอยู่ในนี้ บอกเขาว่าพาเด็กหลงทางมา พวกเขารู้อยู่แล้ว”

    หมิวพยักหน้ารับแล้วเดินนำเด็กไปที่ป้อม

    “ขอโทษนะคะ” หมิวเดินไปเคาะกระจกเรียก “พอดีหนูเจอเด็กหลงทางอ่ะค่ะพี่”

    ผู้ชายในป้อมยาม 2 คนรีบพากันเปิดประตูวิ่งมาหาหมิว “ครับๆๆ เจอที่ไหนครับคุณ”

    “เจอที่เก้าอี้ตรงหอนาฬิกาอ่ะค่ะ”

    พี่ยามต่างพากันวอร์หาเพื่อนตามจุดต่างๆ เพื่อหาว่ายังมีครอบครัวไหนยังอยู่ในสวนอีกไหม

    “เชิญในนั่งในป้อมก่อนครับ ขอรบกวนให้อยู่รอหน่อยนะครับ เผื่อพ่อแม่เด็กเขาอยากขอบคุณ ตอนนี้ผมกำลังประสานงานกันตามหาให้อยู่ สะดวกรอรึเปล่าครับ ถ้าไม่สะดวกยังไงผมรบกวนทิ้งเบอร์เอาไว้ก็ได้”

    “ค่ะ สะดวกรอค่ะ” หมิวรับคำแล้วเดินเข้าป้อมไป

    “อ้าว แล้วไม่ได้พาเด็กมาด้วยหรอคุณ”

    คำถามนั้นทำให้หมิวรีบหันไปมองที่ประตูทันที ทางเดินไม่ยาวมากนักที่เต็มไปด้วยแสงไฟ แต่ไม่กลับไม่เห็นมีเด็กอยู่ตรงนั้นเลยสักคน

    เด็กหายไปไหน เมื่อกี้ยังเดินตามมาอยู่เลย

    “ว่าแต่คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไงครับ ประตูมันต้องสแกนบัตรไม่ใช่หรอ” พี่ยามอีกคนถาม

    “มีพี่ยามคนนึงพามาค่ะ”

    “ไอ้จุนมันไปเดินตลาดนัดไม่ใช่หรอวะ” พี่ยามเริ่มหันไปคุยกันเอง “เมื่อกี้กูวอร์ไปมันบอกกินข้าวอยู่”

    “ไอ้เนพามาป่ะ”

    “วันนี้มันลา ตอนนี้ที่สวนมีแค่มึงกับกูที่แอบอู้งานกันอยู่เนี่ย”

    “อ้าว แล้วน้องเข้ามาได้ไงครับ”

    “มีคนพาหนูมาจริงๆนะคะ แล้วพี่คนนั้นเขาก็เห็นเด็กที่มากับหนูด้วย”

    “เด็กผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”

    “ผู้หญิงค่ะ ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองมอมๆ” พี่ยาม 2 คนเลิกถามแล้วหันไปมองหน้ากัน “ตอนแรกหนูก็นึกว่าผี แต่พี่ยามที่มากับหนูเขาก็เห็น แล้วเขาก็วอร์มาบอกพวกพี่ว่าจะพาเด็กหลงทางเข้ามาไงคะ”

    หมิวไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดรึเปล่า แต่หลังจากประโยคนั้น พี่ยาม 2 คนก็ยิ่งเงียบไปกันใหญ่ ก่อนที่ 1 ใน 2 คนนั้นจะเดินไปหยิบแฟ้มแล้วมาเปิดให้หมิวดู

    “คนนี้รึเปล่าที่พาคุณมา” เขาชี้ที่รูปขนาด 2 นิ้วที่แปะอยู่บนใบสมัครใบหนึ่ง

    “ใช่ค่ะ คนนี้แหละ หนูจำหน้าได้”

    พวกเขาถอนหายใจพร้อมกัน “มันคงสบายใจแล้วนะ เจอเด็กแล้วนี่” พี่คนที่ถือแฟ้มพูด

    “คงยังไม่100%หรอก ก็ยังไม่เจอร่างนี่หว่า เดี๋ยวกูโทรหาตำรวจเลยแล้วกัน มึงไปส่งเขาที” พวกเขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหันมามองหมิว “เดี๋ยวผมไปส่งที่ประตูสวนแล้วกันนะครับ”

    ระหว่างทางที่พี่เขาเดินไปส่ง หมิวก็คะยั้นคะยอให้พี่เขาเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะหมิวคิดว่าหมิวพอจะเข้าใจสิ่งที่เจออยู่นี่ ว่ามันไม่ใช่เรื่องของคนแน่ๆแล้ว

    เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว มียามคนหนึ่งถูกแทงตาย แต่ไม่มีใครรู้ว่าคนร้ายเป็นใคร หรือโดนแทงด้วยสาเหตุใด แต่ทุกๆคืน จะมีเพื่อนยามด้วยกัน เห็นยามคนนี้กำลังตามหาอะไรบางอย่างไปรอบๆสวน

    หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีคนพบศพผู้ชายปริศนา ลอยขึ้นอืดอยู่กลางบ่อน้ำของสวน ในตัวผู้ตายไม่พบบัตรอะไร มีเพียงมีดพับในกระเป๋ากางเกงเท่านั้น ตำรวจจึงสามารถโยงไปที่คดียามถูกฆ่าตายได้ เพราะลักษณะของมีด เท่ากันกับแผลบนร่างของยามคนนั้น

    เพื่อนยามต่างก็คลายข้อสงสัย และคิดว่ายามคนที่ตายคงไปสู่สุขคติแล้ว เพราะสามารถจับคนร้ายที่ฆ่าเขาได้แล้ว

    แต่พวกเขาคิดผิด

    ยังคงมีคนเจอยามคนนั้น ออกมาตามหาบางสิ่งบางอย่างอยู่เหมือนเดิมทุกคืน

    มีพี่ยามคนหนึ่งรู้จักกับคนที่เป็นพวกร่างทรง จึงได้เชิญท่านมาที่นี่ มาพูดคุยกับพี่ยามที่เสียไป ทุกคนถึงได้รู้ว่า คืนที่พี่เขาตาย พี่เขาก็ออกตรวจเหมือนทุกๆวัน แต่ดันไปเจอขี้เมาคนหนึ่งพยายามจะข่มขืนเด็กอยู่ เขาจึงรีบเข้าไปช่วย แต่กลับถูกคนร้ายแทงตาย เด็กเองก็ถูกข่มขืนแล้วฆ่า หลังจากก่อคดี คนร้ายที่เมามายก็วิ่งหาทางหนี แต่ก็ดันพลัดตกบ่อน้ำจนจมน้ำตายตามไปอีกคน

    ตำรวจพบ 2 ศพนี้ในเวลาไม่กี่วัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเด็กในคืนนั้นหายไปไหน พี่เขาจึงต้องออกตามหาวิญญาณเด็กทุกคืน เพื่อที่จะได้นำร่างไปประกอบพิธีทางศาสนา เด็กจะได้ไปสู่สุขคติ

    พี่เขาตามหาเด็กอยู่นาน จนกระทั่งมาเจอวันที่หมิวเจอนั่นแหละ

    เช้าวันถัดไป สวนสุขภาพถูกปิดปรับปรุงชั่วคราว ป้ายที่แขวนไว้ระบุว่าจะทำการปลูกต้นไม้ใหม่ เพื่อให้สวนร่มรื่นมากกว่าเดิม แต่มีเพียงหมิวที่รู้ ว่าคนงานหลายสิบคนที่แบกจอบเข้าไปในสวนนั้น ถูกจ้างมาเพื่อขุดหาศพเด็ก ไม่ใช่ปลูกต้นไม้

แบ่งปันหน้านี้