แม่เสียชีวิตกะทันหัน [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 30 กรกฎาคม 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจีน เป็นลูกคนเดียวของที่บ้าน ตั้งแต่พ่อทิ้งไปตอน 6 ขวบ ฉันก็อาศัยอยู่กับแม่ 2 คนมาตลอด

    เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้น เมื่อแม่ของฉันเสียชีวิตกระทันหัน เพราะอุบัติเหตุ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันก็มีแต่แม่ที่เป็นที่พึ่งเพียงคนเดียว มันเลยยากที่จะทำใจยอมรับ ฉันจุดธูปคุยกับแม่ทุกวัน จะไปไหนก็จุดธูปบอกหน้ารูปเสมอ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นวิธีที่ถูกต้องรึเปล่า ฉันทำแบบนั้นเพื่อความสบายใจของตัวเอง

    ฉันพยายามบอกแม่ว่าให้กลับมาอยู่ด้วยกัน เพราะฉันไม่มีใครแล้ว หาวิธีเปิดทางให้คนตายเข้าบ้านมาสารพัด แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าแม่จะมาปรากฎตัวให้เห็นเลย ไม่ว่าจะในฝัน หรือความเป็นจริง ตอนนั้นฉันคิดแล้วว่า ความเชื่อเรื่องพวกนี้ มันหลอกลวงสิ้นดี

    กระทั่งคืนหนึ่ง

    เวลาตี 1 กว่าๆ ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะมีไลน์เข้าจากลูกค้า ส่งมาว่าต้องการให้แก้งานด่วน ฉันรีบลุกขึ้นจากที่นอน เดินงัวเงียไปนั่งที่โต๊ะปลายเตียง แล้วเปิดคอมพ์แก้งาน

    ฉันใช้เวลาอยู่เกือบ 3 ชั่วโมง จนกว่าจะได้งานที่ลูกค้าพอใจ หลังแก้เสร็จ ก็รู้สึกมึนหัวเพราะต้องใช้ความคิดเยอะ เลยรีบปิดคอมพ์ แล้วเดินกลับไปขึ้นเตียงนอน

    ...แอ๊ดด...

    ตอนที่ฉันกำลังล้มตัวลงนอน ก็มีเสียงเหมือนประตูค่อยๆเปิดออก พอหันไปดู ก็พบว่ามีแสงสลัวๆจากด้านนอกลอดเข้ามา ถึงได้รู้ว่าประตูห้องนอนมันถูกแง้มอยู่ ในขณะที่ฉันคิดว่ากลอนมันอาจจะเสีย ประตูก็ค่อยๆปิดลงจนสนิท แล้วมีเสียงดัง’คลิก’ เหมือนคนกดล็อคลูกบิด

    ฉันรีบเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง คว้ามือถือมากำแน่น เพราะกังวลว่าคนที่เข้ามาคงเป็นโจร แต่พอไฟสว่างขึ้น ห้องทั้งห้องกลับไม่มีใครอยู่เลย ฉันดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง พยายามไม่คิดมากแล้วนอนให้หลับ

    จังหวะที่กำลังเคลิ้มๆอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าที่นอนข้างตัวมันยวบลง ฉันนอนเกร็งตัวขึ้นทันที เสียงของเตียงไม้ดังเอี๊ยดอ๊าด ทำให้มั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง เรื่องราวลี้ลับต่างๆที่เคยได้ยิน มันเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัว จนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

    ฉันไม่เคยเจอผีมาก่อน ไม่ว่าจะด้วยการเห็น ได้ยิน หรือความรู้สึกแบบนี้ ฉันกำผ้าห่มแน่น พยายามนึกถึงบทสวดมนต์ทุกบทที่เคยท่อง พร่ำสวดมันอยู่ในใจ พรางคิดถึงคนที่คอยปกป้องฉันเสมอมา

    “...แม่...” ฉันเอ่ยเสียงสั่น

    หรือว่าจะเป็นแม่

    เสี้ยววินาทีหนึ่งหลังจากที่เรียกออกไป ฉันได้ยินเสียงบางอย่าง คล้ายมีคนหายใจรดอยู่ข้างหู ฉันคิดว่าแม่คงส่งสัญญาณนั้น เพื่อตอบรับเสียงเรียกของฉัน

    แม่กลับมาอยู่กับฉันแล้ว แต่เพราะมองไม่เห็น และสัมผัสไม่ได้ มันจึงทำให้ฉันต้องยอมรับความจริง ว่าแม่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว

    หลังจากวันนั้น ในทุกมื้ออาหาร ฉันจะทำกับข้าวไว้ 2 ที่ สำหรับฉัน 1 จาน ส่วนอีกจานวางไว้ข้างๆมีธูป 1 ดอกในกระถางธูป เป็นการเรียกแม่มากินข้าวด้วยกัน

    ก่อนออกจากบ้านไปทำงาน ฉันจุดธูปพูดร่ำลาแม่ ฝากให้แม่เฝ้าบ้าน หลังกลับจากทำงาน ถ้าคืนไหนฉันมัวแต่ดูหนัง หรือทำงานอยู่ข้างล่างจนดึกดื่น ไฟก็จะกระพริบถี่ๆ เหมือนแม่ส่งสัญญาณว่าให้ฉันเข้านอนได้แล้ว ในเวลานอน บางคืนฉันก็รู้สึกถึงไอเย็นที่แผ่นหลัง เหมือนแม่กำลังนอนกอดฉันอยู่

    จนวันหนึ่ง ฉันต้องไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดหลายวัน ฉันจึงตัดสินใจจุดธูปบอกแม่ ว่าให้นั่งรถไปด้วยกัน

    การสัมมนาผ่านไปด้วยดี วันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ บริษัทพาแวะไปพักที่โรงแรมหนึ่งของจังหวัดใกล้เคียง ปล่อยให้เที่ยวฟรีสไตล์ 1 วัน เป็นทริปเล็กๆเพื่อผ่อนคลายสมองจากการทำงานที่แสนยาวนาน

    โรงแรมที่พักอยู่นอกตัวเมือง แถมจังหวัดนี้ก็อยู่ติดชายแดนเพื่อนบ้าน ที่มีความเชื่อเรื่องหมอดูกันอย่างล้นหลาม พี่ในแผนกคนหนึ่งจึงเกิดความคิดว่าอยากข้ามฝั่งไปดูดวงเสียหน่อย ฉันเองไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เลยขอติดสอยห้อยตามพวกเขาไปเที่ยวต่างประเทศด้วย

    เมื่อมาพบหมอดู เราทั้งสามคนก็ได้ให้หมอช่วยดูดวงชะตา จากนั้นก็เดินทางกลับ

    “หนูต้องระวังเรื่องหนี้อ่ะพี่ หนูล่ะกลั๊วกลัวลูกชายมันจะกลับไปเล่นพนันบอล” พี่คนนึงที่มาด้วยกันพูดกับพี่อีกคนบนรถ หลังจากที่เรากลับจากดูหมอแล้ว

    ในความคิดของฉัน หมอดูท่านนี้ก็ไม่ได้ดูขลัง หรือเป็นผู้วิเศษมากไปกว่าหมอดูทั่วไป เพราะใช้การดูดวงจากวันเกิดแล้วก็ลายมือเหมือนกัน พอดูเสร็จก็พูดออกมาแค่สั้นๆ ว่าต้องคอยระวังอะไรเป็นพิเศษเท่านั้นเอง

    “ก็ค่อยๆพูดค่อยๆจา บอกไปว่าตอนนี้แกเองก็ลำบากเรื่องเงิน” พี่อีกคนแนะนำ “ของแกยังดี เงินมันยังพอหาได้ แต่พี่นี่ดิ ต้องระวังอุบัติเหตุ ไม่รู้จะไปแก้เคล็ดที่ไหนเลยว่ะ ตอนนี้ก็อยู่บนรถอีก ใจไม่ค่อยดีเลย”

    “แล้วจีนอ่ะ พ่อหมอว่าไง พี่ไม่ทันฟัง” หนึ่งในสองคนนั้นถามฉัน

    “ระวัง” ฉันตอบ

    “ห๊ะ” ทั้ง 2 อุทานขึ้นพร้อมกัน

    “เค้าพูดมาแค่นั้นอ่ะ หนูก็ไม่รู้อ่ะพี่ อาจจะอุบัติเหตุเหมือนพี่มั้ง”

    หลังจากกลับมาถึงบ้าน ฉันก็เลิกคิดเรื่องคำพูดหมอดูนั่นไป หมอดูก็คู่กับหมอเดานั่นแหละ ยิ่งพูดมากำกวมแบบนั้น มันก็เหมือนการเดาส่งๆไปแค่นั้น

    ตอนนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าๆ ฉันรีบอาบน้ำสระผม แล้วมานอนดูยูทูปผ่อนคลายอยู่บนโซฟา แต่ดูไปได้ไม่นาน ไฟเพดานก็กระพริบถี่ๆ แล้วไอแพดก็ดับทั้งๆที่แบตยังเต็มอยู่

    “แม่ ขอหนูหาอะไรดูผ่อนคลายหน่อยนะ เดินทางมาทั้งวันหนูเหนื่อย” ฉันพูดออกไปเพราะคิดว่าแม่คงทำ เพราะอยากให้ฉันขึ้นไปนอน

    ฉันเปิดไอแพดขึ้นอีกครั้ง และยังไม่ทันจะได้เข้าแอพอะไร มันก็ค้างแล้วดับไปอีก

    “โอเคๆ นอนก็ได้”

    ฉันลุกขึ้นจากโซฟา แล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 ตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามมา เลยคิดว่าคงเป็นแม่ มาตามให้ฉันไปนอนจริงๆ

    ในขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับ มือถือที่วางอยู่ที่หัวเตียงก็ดังขึ้น ฉันเปิดโคมไฟแล้วหยิบมันขึ้นมาดู

    ‘พี่แพท’

    สายเรียกเข้า

    “ฮัลโหลพี่” ฉันรีบกดรับสาย เพราะคิดว่าพี่แกอาจจะให้แก้งานด่วนอีก

    “จีน” เสียงพี่แพทสั่นเหมือนคนกำลังกลัวอะไร

    “พี่เป็นอะไร พี่อยู่ไหน เกิดอะไรขึ้น”

    “ไม่ๆ ไม่มีอะไร พี่แค่ตกใจ คือเมื่อกี้แท็กซี่ที่พี่นั่งมา มันเกือบประสานงากับ 10 ล้อ ดีที่เลนส์ข้างๆว่าง คนขับหักหลบทันพี่เลยรอดมาได้”

    “แล้วพี่เป็นอะไรไหม”

    “ไม่เป็น พี่ไปให้หมอดูที่รู้จักสะเดาะเคราะห์ทันเวลาพอดี ที่พี่รีบออกมาจากบริษัทก็เพื่อจะไปแก้เคล็ดนี่แหละ”

    “อ๋อค่ะ” น้ำเสียงฉันเริ่มหงุดหงิด สงสัยว่าแกจะโทรมาเล่าให้ฟังดึกๆดื่นๆแบบนี้ทำไม

    “จีน ตอนนี้แกอยู่ไหน”

    “บ้านสิพี่ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ”

    “อยู่กับใคร”

    “คนเดียวค่ะ ชีวิตหนูก็มีแค่แม่ แม่ไม่อยู่แล้วพี่จะให้หนูอยู่กับใคร”

    “ไม่ แกไม่ได้อยู่คนเดียว”

    “อะไรของพี่เนี่ย พี่ต้องการอะไร” ฉันถามออกไปอย่างเสียมารยาท เพราะเริ่มรำคาญเต็มที

    “โอเคๆ พี่ไม่ถามแล้ว แต่พี่เอาวันเกิดแกให้หมอดูที่พี่มาหาเค้าดูให้ เพราะพี่อยากรู้ว่าหมอดูเขมรทักให้แกระวังอะไร หมอดูไทยบอกว่า คนที่แกอยู่ด้วยตอนนี้อันตรายมาก เขาไม่ได้มาดี”

    “พี่ หนูอยู่คนเดียวจริงๆ” ฉันยืนยัน

    “แต่เค้าบอกว่าเค้าเห็น มันอันตรายมาก จริงๆพี่ไม่อยากยุ่งนะ แกโตแล้ว จะคบใครแกเลือกเองได้ แต่-“

    “ไม่ใช่แฟนค่ะ แม่หนูเอง”

    “ห๊ะ”

    “หนูอยู่กับแม่”

    “แต่แม่แก-“

    “หนูรู้ว่าแม่หนูตายแล้ว แต่หนูมีวิธีเรียกเค้ากลับมา”

    “หึหึหึ”

    “เชิญพี่หัวเราะไปเถอะค่ะ จะว่าหนูงามงายก็ได้ แต่หนูคิดแล้วหนูสบายใจ ขอบคุณที่เอาดวงไปดูให้ค่ะ”

    “เฮ้ย พี่ไม่ได้-“

    ฉันกดวางสายอย่างอารมณ์เสีย ก็รู้ว่าพนักงานบริษัทมักจะชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ไม่คิดว่าจะยุ่งขนาดนี้ อีกอย่าง คนเป็นแม่จะมาทำอันตรายอะไรลูกได้ ทุกวันนี้สิ่งที่ฉันรับรู้ได้ ก็มีแต่ความเป็นห่วงทั้งนั้น

    พี่แพทยังโทรกลับมาอีก 4-5 สาย แต่ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยด้วยแล้ว ฉันปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน มือควานหาหมอนข้างเพื่อดึงเข้ามากอด

    “!!!!”

    ฉันสะดุ้งสุดตัว เมื่อสิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่ม ที่ฉันคิดว่ามันเป็นหมอนข้าง มันกลับมีผิวสัมผัสเหมือนกับผิวหนังมนุษย์ แล้วก็มีส่วนโค้งส่วนเว้าเหมือนคนไม่มีผิด ฉันรีบปล่อยมือออกแล้วขยับตัวหนีไปจนสุดปลายเตียง

    “แม่ อย่าทำแบบนี้สิ หนูกลัวนะ” ฉันพูดออกไปเพราะคิดว่าแม่คงอยากให้รับรู้ว่าแม่อยู่ตรงนี้ “แม่มาในฝันก็พอนะ หรือจะกระพริบไฟแบบที่ทำบ่อยๆก็ได้ มาให้เห็นเป็นเงาหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่เอาแบบนี้ หนูกลัว”

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่แน่ใจ แต่ฉันตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะรู้สึกแน่นที่หน้าอก พยายามขยับตัวนอนตะแคง เพื่อให้หายใจสะดวก แต่ร่างกายมันขยับไม่ได้ ฉันเลยลืมตามองว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    ผู้ชายร่างใหญ่สีดำทะมึน กำลังนั่งยองๆอยู่บนหน้าอกของฉัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยแผลถลอก เหมือนโดนอะไรคมๆครูดเนื้อออกไป ริมฝีปากที่มีแผลเหวะหวะกำลังแสยะยิ้ม

    “หึหึหึ”

    เสียงนี่มัน!

    มันคือเสียงหัวเราะ ที่ฉันได้ยินตอนคุยโทรศัทพ์กับพี่แพท เพิ่งเข้าใจคำว่าขนหัวลุกก็ตอนนี้ ฉันพยายามเรียกหาแม่ในใจ

    “แม่มึงก็ช่วยมึงไม่ได้” ปากที่เป็นแผลฉกรรจ์ส่งเสียงยานคางฟังแทบไม่รู้เรื่อง

    ฉันพยายามหันหน้าหนีใบหน้าที่ชวนอ้วกของมัน ที่กำลังโน้มลงมาใกล้ ในใจก็สวดมนต์ แผ่เมตตา ทำทุกอย่างที่เคยได้ยินมาว่าคนโดนผีอำควรจะทำ จนในที่สุดฉันก็ขยับตัวได้

    ฉันพยายามดันมันออก แต่ไม่เป็นผล เลยยกมือไหว้มันแล้วสวดมนต์เสียงสั่น

    “นะโม ตะ ตัสสะ ภะ ภะคะ วะ วะตะ โต ฮึก ฮือ สะ สัม สัม มะ มา”

    “หุบปาก!”

    มันขยับมือที่แขนบิดผิดรูปผิดร่างมาจับที่หน้าฉัน กลิ่นเหม็นเน่าและคาวเลือดทำให้ฉันกลั้นหายใจ นิ้วโป้งที่หักงอล้วงเข้ามาในปากฉัน แล้วจับให้อ้าออก

    “อ่อยอัน อ๊อก อ่อย!”

    “มึงรู้ไหมว่าตอนนั้นกูรู้สึกยังไง ตอนที่อกกระแทกกับแฮนด์รถมอร์ไซด์เพราะเบรกกระทันหัน กับตอนที่รถล้มแล้วกูก็ไถลไปตามทาง มันจุกเหมือนที่มึงจุกอยู่ตรงนี้ แถมมันยังพะอืดพะอม จนจะ อ้วกกกกกก”

    มันบีบปากฉันให้อ้าออกกว้าง แล้วก้มหน้าลงมาใกล้ ก่อนจะอ้วกน้ำเลือดน้ำหนองออกมาใส่ปากฉัน กลิ่นและรสของมันทำเอาฉันสำรอกออกมาจนเลอะผมไปหมด ฉันทั้งดิ้น ทั้งหันหน้าหนี แต่มันไม่ยอมปล่อย

    “แม่มึงตัดหน้ารถกู! แม่มึงตัดหน้ารถกู! แม่มึงตัดหน้ารถกู! แม่มึงตัดหน้ารถกู! แม่มึงตัดหน้ารถกู! แม่มึงตัดหน้ารถกู!!!!!”

    “กรี๊ดดดดดดด!!!!!!”

    ฉันกรีดร้องสุดเสียง สะบัดตัวจนหลุดออกมาได้ วิ่งล้มลุกคลุกคลานไปที่ประตู ตะโกนขอความช่วยเหลือไปตลอดทางที่วิ่งออกมาหน้าบ้าน

    คนข้างบ้าน 3-4 หลังพากันเปิดประตูออกมาดู มีคนใจดีพาฉันที่ตัวสั่น แถมพูดจาไม่รู้เรื่องให้เข้าไปนั่งในบ้าน พวกเขาทั้งกอด ทั้งปลอบฉันอยู่หลายชั่วโมง คอยถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะตัวฉันไม่ได้เลอะเลือดหรืออ้วกเลย มีเพียงแค่กางเกงที่เปียกเพราะฉันกลัวจนฉี่ราดออกมา

    ถึงจะไม่เชื่อ แต่ลุงข้างบ้านก็ยอมให้ฉันอยู่ในบ้านเขาจนสว่าง ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น ฉันรีบโทรหาพี่แพท เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง พี่แพทรีบมาหาฉันแล้วพาไปหาหมอดูคนไทยที่พี่แกรู้จักทันที

    ฉันมารู้เอาตอนนั้นเอง ว่าของบางอย่างที่ฉันเก็บมาจากอุบัติเหตุครั้งนั้น มันไม่ใช่ของๆแม่ฉัน แต่เป็นของคู่กรณี แล้วฉันที่ไม่รู้เรื่องนี้ ก็ดันเอาของชิ้นนั้นไปทำพิธีเรียกวิญญาณเข้าบ้าน ผู้ชายคนนั้นถึงได้เข้ามาอยู่กับฉันได้

    คิดย้อนไปก็ยังขนลุกไม่หาย ประตูที่เปิดปิดเองในคืนแรก เงาที่ฉันเห็นเดินผ่านบ่อยๆเวลาทำงาน บางอย่างที่นอนกอดฉันแทบทุกคืน มันไม่ใช่ดวงจิตของแม่ฉัน

    หมอดูให้คนเข้าไปจัดการเอาของชิ้นนั้นออกมาจากบ้าน แล้วทำพิธีบางอย่าง เพื่อไล่วิญญาณร้ายดวงนั้นให้ออกไป ถึงมันจะไม่อยู่แล้ว แต่ภาพคืนนั้นยังติดตาฉันทุกวินาที ฉันจึงขายบ้านหลังนั้นทิ้ง แล้วย้ายมาอยู่กับพี่แพทชั่วคราว ฉันรู้ว่ามันคงรบกวนพี่เขามากเกินไป แต่พี่แพทเป็นคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้มาก เขาเลยเข้าใจว่าฉันไม่พร้อมที่จะกลับไปอยู่คนเดียวอีกแล้ว..

แบ่งปันหน้านี้