เรื่องเกิดตอนผมเรียนที่กรุงเทพ [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 29 มีนาคม 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    สวัสดีครับ ผมชื่อต้น ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ โดยปกติแล้วทุกๆเย็นวันศุกร์ผมจะนั่งรถตู้กลับไปหาแม่ที่บ้านเกิด แล้วกลับเข้ากรุงเทพอีกทีตอนเช้าวันจันทร์

    แต่วันนั้นมีธุระด่วนที่ทำให้ผมต้องหยุดเรียนแล้วหาทางกลับบ้านในช่วงเช้ามืดของวันพุธ โดยปกติแล้ว รถตู้จากกรุงเทพที่ไปจอดโดยตรงที่จังหวัดบ้านเกิดของผม จะมีแค่วันละเที่ยวแล้วออกเฉพาะตอนเย็นเท่านั้น ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องหารถสายอื่นที่ขับผ่านจังหวัดผมแล้วขอไปลงแถวๆในเมืองแทน (ทำให้เข้าใจง่ายกว่านี้)

    และเพราะเวลาที่แตกต่างและรถสายที่ไม่คุ้นเคยนี่แหละครับที่ทำให้ผมเจอเข้ากับเหตุการณ์ที่ผมไม่มีวันลืม

    วันนั้นผมตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปถามหารถที่จะผ่านจังหวัดบ้านเกิดผม ผมใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการถามคนแถวนั้นไปทั่วว่าถ้าผมต้องการถึงบ้านก่อน 10 โมง ผมจะขึ้นรถคันไหนได้บ้าง และแล้วก็เหมือนสวรรค์เข้าข้างเพราะมีพี่ผู้ชายวัยทำงานคนหนึ่ง เขายื่นตั๋วรถเที่ยว 6 โมงครึ่งมาให้ผม

    ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบจะ 6 โมงครึ่งแล้ว มีรถคันหนึ่งจอดเทียบท่าอยู่ผมจึงขึ้นไปนั่งทันทีโดยที่ไม่ทันได้ดูรายละเอียดอะไรภายนอกตัวรถเลย ผมเลือกที่นั่งข้างคนขับเพราะไม่ชอบที่จะนั่งเบียดกับคนอื่น ยิ่งช่วงเวลาเช้าๆแบบนี้ผมต้องการพื้นที่ส่วนตัวในการงีบเสียหน่อย

    เมื่อสำรวจตัวเองเรียบร้อยว่าไม่ลืมอะไรแล้ว ผมก็เอนหลังพิงเบาะแล้วหลับตาลงอย่างสบายใจ ถึงจะใกล้เวลารถออก แต่บนรถกลับไม่มีผู้โดยสารเลยสักคน คงพอมีเวลาให้ผมได้พักสายตาสักนิดกว่ารถจะออก

    ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็จำไม่ได้ รู้สึกตัวอีกทีก็เพราะแรงสั่นสะเทือนของรถที่กำลังวิ่งอยู่บนถนน ผมลืมตามามองไปรอบๆก็พบว่าผู้โดยสารขึ้นมากันเต็มคันแล้ว แอบรู้สึกดีที่ไม่ได้นั่งหลังเพราะประชากรค่อนข้างเบียดเสียดเลยทีเดียว

    รถออกมาได้ราวชั่วโมงกว่าก็เริ่มมีอาการกระตุกๆเหมือนเครื่องจะเสีย ผมหันไปมองพี่คนขับแต่แกก็ยังตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตึกรามบ้านช่องตามข้างทางเริ่มน้อยลงเป็นสัญญาณว่าเราออกจากกรุงเทพมาแล้ว รถเข้าสู่เส้นทางที่ผมไม่รู้จัก ผมจึงจำเป็นต้องนั่งมองทางอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวจะเลยที่ที่ต้องลง

    เวลายิ่งผ่านไปนานอาการกระตุกของรถก็ยิ่งหนักขึ้น ตอนนี้รถถูกขับเคลื่อนอย่างช้าๆ ช้ามากกว่าที่มันควรจะเป็น ผมลอบถอนหายใจเพราะคงถึงบ้านไม่ทันเวลาแน่ๆ

    “พี่จอดรถดูก่อนดีไหมว่ามันเป็นอะไร” ผมตัดสินใจถามออกไปในที่สุดเมื่อรถเริ่มกระตุกถี่ขึ้นจนผมแทบจะคายแซนวิสที่พึ่งกินไปออกมา

    ไม่มีสัญญาณตอบรับจากพี่คนขับ ไม่มีแม้แต่จะหันมามองผมเลยสักนิด รถยังคงถูกขับเคลื่อนต่อไปในอาการจะพังมิพังแหล่ และเมื่อมันกระตุกอีกครั้งจึงทำให้ผมหมดความอดทน


    “พี่! จอดก่อนดีไหมครับ ผู้โดยสารก็เยอะนะ เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง” คราวนี้ผมพูดเสียงดังเพราะหวังว่าจะได้ตัวช่วยเพิ่มสักคนสองคนจากผู้โดยสารข้างหลังนั่น


    ...เงียบ...


    ไม่มีเสียงสนับสนุนจากใคร ไม่มีอาการยินดียินร้ายอะไรจากคนขับทั้งสิ้น

    “ถ้ารถมันคว่ำแล้วมีใครตายพี่จะรับผิดชอบไหวหรอ” ผมพูดประชดให้พอได้ยินกันแค่สองคน และครั้งนี้มันได้ผล พี่คนขับหันมามองผมแล้วผ่อนคันเร่งลงแต่ก็ยังไม่ยอมจอดอยู่ดี “จอดปั๊มเช็ครถหน่อยดีไหมพี่ ชีวิตคนตั้งหลายคนนะ พี่จะมัวมาห่วงเรื่องทำเวลาไม่ได้”

    และผลที่ผมได้รับกลับมาก็คือความเงียบเหมือนเดิม

    ผมถอนหายใจเสียงดังแล้วหลับตาลงอย่างคนช่างแม่ง ถ้าพี่เค้าเถียงอะไรกลับมาสักนิดผมก็ยังจะพูดต่ออยู่หรอก แต่นี่ทำหูทวนลมจนน่าโมโห พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ ถนนก็โล่งแถมขับช้าๆแบบนี้คงไม่มีอุบัติเหตุอะไรให้ห่วง แล้วก็คงอีกนานกว่าจะถึงที่หมาย หลับๆไปซะจะได้ไม่รับรู้อะไร

    ผมจำได้ว่าหลับไปไม่นาน เสียงเบรคเอี๊ยดอ๊าดและรถที่ส่ายไปมาก็ปลุกผมขึ้นมาจากฝันอันแสนหวาน ผมลืมตาโพลงขึ้นเมื่อนึกได้ว่ารถคงจะเกิดอุบัติเหตุเข้าแล้ว ภาพของต้นไม้ตรงหน้าที่ใกล้เข้ามาทำให้ผมนึกถึงหน้าพ่อแม่ขึ้นมาฉับพลัน เสียงกรี๊ดจากผู้โดยสารหญิงข้างหลังยิ่งทำให้หัวใจผมหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

    โครม!!

    รถของเราชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างทางอย่างแรง ดีที่ผมคาดเข็มขัดตัวผมจึงไม่พุ่งออกไปนอกตัวรถ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลารวดเร็วโดยไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งแรกที่ผมทำคือหันไปมองพี่คนขับว่าเป็นไงบ้าง

    ภาพหัวพี่เขาที่อยู่ติดเบาะรถและมีกิ่งไม้เสียบทะลุกลางหน้าผากทำให้ผมช็อค เลือดมากมายไหลทะลักออกมาจากบาดแผลนั่นเลอะไปท่วมหน้าพี่เค้าจนมองไม่เห็นผิวหนัง

    เสียงไอดังระงมมาจากด้านหลังเรียกให้ผมได้สติ กลิ่นไหม้ที่ปะทะจมูกทำให้ผมคิดหาทางเอาตัวรอด ผมพยายามจะเปิดประตูแต่มันติดอะไรก็ไม่รู้ ผมหันไปมองด้านหลังเผื่อว่าจะมีทางออกแต่กลับเห็นว่าไฟกำลังลุกไหม้ไปทั่วเบาะแถวสุดท้าย ร่างของผู้โดยสารจำนวนหนึ่งกำลังไหม้ เสียงร้องโหยหวนดึงสติผมกลับมาอีกครั้ง

    ผมจะต้องไม่ตายอยู่ที่นี่ นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

    ผมตัดสินใจถีบกระจกที่ประตูข้างตัวเอง ถีบอยู่หลายทีจนมันแตกแล้วดันตัวเองออกมาจากทางหน้าต่างนั่น ไฟในรถเริ่มลุกลามมาที่เบาะกลาง ผมพยายามจะเปิดประตูให้พวกเขาแต่เพราะสภาพภายนอกที่ยับเยินทำให้มันเปิดไม่ออก

    “กระจกพี่! ทุบ! ทุบมัน ทุบกระจก!” ผมตะโกนบอกคนข้างในรวมทั้งพยายามหาหินก้อนใหญ่ๆแถวนั้นมาช่วยทุบ พี่ผู้ชายข้างในเองก็ใช้เท้าถีบกระจกอย่างสุดความสามารถ

    จนในที่สุดผมก็ช่วยออกมาได้ 4 คน ทุกคนนั่งหมดเรี่ยวเนื่องจากสำลักควัน ผมพยายามช่วยพยุงพวกเขาออกมาให้ไกลรถที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะกลัวว่ามันจะระเบิด พี่ผู้ชายคนนึงอาสาจะอยู่ช่วยปฐมพยาบาลให้คนเจ็บอยู่ที่นี่ และให้ผมที่แรงดีที่สุดไปหาคนมาช่วยที

    ผมทิ้งสัมภาระทุกอย่างไว้ที่นั่น วิ่งไปตามถนนที่ร้างผู้คนเพื่อตามหาคนที่อยู่แถวนั้น วิ่งไปราว 20 นาทีผมก็เจอเข้ากลับรถบรรทุกอ้อยของชาวบ้าน ผมใช้เวลาโบกอยู่หลายคันแต่ไม่มีใครจอดรับผมสักคัน ผมตัดสินใจวิ่งต่อไปเพื่อหาบ้านคน จนกระทั่งผมเจอเข้ากับชาวบ้านที่ทำนาอยู่ข้างทาง

    “พี่! ช่วยผมด้วย รถตู้ รถตู้เกิดอุบัติเหตุ!”

    สิ้นคำพูดของผมพี่ๆเขาก็พากันวิ่งมาดู มาช่วยพัดช่วยทำแผล แล้วก็พยุงผมไปขึ้นรถเพื่อให้ผมพาไปที่เกิดเหตุ

    ผมพยายามมองหาจุดเด่นๆที่จำได้ตอนวิ่งผ่านมาไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทาง ต้นไม้ที่มีศาล โขดหินกลางทุ่ง แต่เมื่อเลยจุดเหล่านั้นที่ผมจำไว้ว่าเป็นแลนมาร์คกลับไม่เจอผู้โดยสารที่นั่งมากับผมหรือแม้กระทั่งรถตู้เลย


    “เห้ย มิจฉาชีพรึเปล่าเอ็งน่ะ” หนึ่งในชาวบ้านเริ่มหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

    “เปล่านะพี่ รถที่ผมนั่งมามันเสียหลักชนต้นไม้จริงๆ มันอยู่แถวๆนี้แหละ ผมจำไม่ผิดหรอก มันเลยโขดหินก้อนนั้นมาไม่ไกล นั่นไงเป้” ผมชี้ไปที่ข้างทางรกร้างแต่ดันมีเป้ของผมวางอยู่ “คงเลยเข้าไปข้างในอีกอ่ะพี่ นั่นไงเป้ผม”

    “เลยเข้าไปบ้าอะไร ก็เห็นอยู่ก็หญ้าขึ้นรกขนาดนี้ ถ้ามีรถพุ่งเข้าไปก็ต้องเห็นทางสิวะ”


    ผมลงจากรถแล้วหยิบบัตรประชาชนมาให้พวกพี่แกดู ไม่รู้ว่ามันช่วยให้พวกเขาเชื่อใจผมรึเปล่า แต่ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ผมพยายามขอร้องให้พวกเขาเดินเข้าไปข้างในด้วยกัน เพราะมันมีคนรอดออกมาพร้อมกันกับผม ผมไม่อยากทิ้งให้พวกเขาอยู่กลางป่าแบบนั้น

    เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนช่าวบ้านเริ่มไม่ไว้ใจผมมากขึ้น หาว่าผมจะหลอกพาพวกแกเข้าป่าไปให้พรรคพวกปล้น ผมจึงตัดสินใจโทรหาตำรวจ

    เมื่อตำรวจมาถึงผมก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เขาฟัง เอาแผลเอาบัตรประชาชนให้เขาดู เขาจึงยอมตามกำลังเสริมมาช่วยกันบุกเข้าไปหาในป่าแถบนั้น

    พวกเราใช้เวลากันอยู่ร่วม 3 ชั่วโมงจนในที่สุดก็มีคนตะโกนมาว่าเจอรถแล้ว ผมวิ่งตามเสียงนั้นไปด้วยความดีใจที่อย่างน้อยผมก็ไม่โดนจับเรื่องแจ้งความเท็จ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ ผมก็ยิ้มกว้างที่เห็นว่าพี่ 4 คนที่ผมช่วยออกมาได้ยังอยู่ดีกัน


    “ขอโทษที่มาช้านะพี่ ข้างทางหญ้าขึ้นรกมากเลย”

    “ไม่เป็นไร ขอบคุณมากนะ” พวกเขายิ้มตอบแล้วพยักหน้าให้ผม

    “สารวัตรครับ ตรงนี้มีอีก 4 ศพครับ”


    ผมหุบยิ้มทันทีที่รู้ว่ามีคนออกมาจากรถได้อีก แต่ผมตามคนมาช่วยไม่ทันทำให้พวกเขาไม่รอด ผมเดินอ้อมซากรถไปดูศพเพื่อที่จะขอโทษเขาใกล้ๆ

    แต่เมื่อเดินไปถึงแล้วผมกลับยิ่งช็อคมากกว่าเดิม เพราะ 4 ศพที่นอนเรียงรายกันอยู่นั้น ทุกศพแต่งตัวเหมือนกับพี่ 4 คนที่เขาพึ่งขอบคุณผมอยู่เมื่อกี้

    แต่สิ่งที่แปลกคือศพเหล่านั้นเริ่มดำและส่งกลิ่นเหม็น ตำรวจสันนิษฐานว่าตายมาได้อย่างน้อยก็ 1 อาทิตย์แล้ว

    ผมสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วมองผ่านตัวรถไปที่พี่ 4 คนที่ยืนอยู่อีกฝั่ง ทุกคนยังคงยืนมองมาที่ผมเหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่ได้มีแค่ 4 คน แต่เป็นทุกคนที่โดยสารมากับรถคันนั้นรวมทั้งพี่คนขับด้วย พวกเขามองมาที่ผมแล้วยิ้มให้ เสียงขอบคุณดังระงมไปทั่วบริเวณไม่หยุดจนกระทั่งผมเป็นลมไป

    ผมช็อคกับทุกสิ่งที่ได้เห็นจนกระทั่งพ่อกับแม่มาหาผมที่โรงพยาบาลในตอนกลางคืน ผมกอดแม่แล้วร้องไห้อย่างกับเป็นเด็ก 3 ขวบ ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำพวกพี่เขาคงตื้นตันใจมาก ที่พาตำรวจไปพบศพพวกเขาสักทีหลังจากที่ตายกันมาเป็นอาทิตย์

    แต่การที่พวกพี่พากันมาขอบคุณผมอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนั้นผมไม่โอเค ฮืออออออออ

แบ่งปันหน้านี้