ตลาดพลอย หรือถนนอัญมณี เป็นตลาดการซื้อขายพลอยในจันทบุรีโด่งดังและมีชื่อเสียงกว้างไกลในระดับโลก และเป็นตลาดการค้าพลอยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพราะเป็นศูนย์รวมการค้าพลอยแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ตลาดพลอยอยู่ในใจกลางเมืองจันทบุรี ผู้ที่สนใจซื้อเครื่องประดับ หรือต้องการเห็นบรรยากาศการซื้อขายพลอยว่าทำกันยังไง สามารถเดินชมการซื้อขาย หรือแวะซื้อพลอยได้ ซึ่งตลาดการค้าพลอยจะค่อนข้างคึกคักในช่วงสุดสัปดาห์ เดินชมตลาดพลอยแล้ว ยังเดินต่อเนื่องไปยังชุมชนริมน้ำจันทบูร และโบสถ์คาทอลิกได้ไม่ไกลนัก
ตลาดพลอย (ถนนอัญมณี) ตั้งอยู่ ช่วงถนนศรีจันท์และตรอกกระจ่าง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี อยู่ติดกับถนนริมน้ำจันทบูร
จังหวัดจันทบุรี ถือเป็นเมืองแห่งอัญมณีระดับโลก เพราะเป็นศูนย์รวมการค้าพลอยแบบครบวงจร พลอยเมืองจันท์ได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็นพลอยน้ำดี ได้รับการเจียระไนอย่างประณีตจากช่างฝีมือชั้นเลิศ แม้ว่าปัจจุบันพลอยเมืองจันท์แท้ๆ จะหาได้ค่อนข้างยาก แต่จันทบุรีก็ยังคงเป็นแหล่งอัญมณีขนาดใหญ่ และมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย เส้นทางของพลอยในเมืองจันท์นั้น มีตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เพราะยังคงมีการขุดหาพลอย ทำเหมือง คัดพลอย ช่างฝีมือดีในการเจียระไน ไปจนถึงการทำเป็นเครื่องประดับ
ในอดีตพลอยที่เคยพบในจังหวัดจันทบุรี ที่มีชื่อเสียงมากในระดับโลก ได้แก่ ทับทิมสยาม* เป็นพลอยที่สวยที่สุด หรือเป็นราชาแห่งอัญมณี (King of Gems) เลยก็ว่าได้
แต่เดิมพื้นที่ในจังหวัดจันทบุรี มีพลอยอยู่ใต้ดินเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณเขาพลอยแหวน ตำบลบางกะจะ อำเภอท่าใหม่ ถือเป็นแหล่งกำเนิดพลอยขนาดใหญ่ พลอยที่ขุดได้เป็นพลอยเนื้อดี มีหลายชนิด เช่นไพลิน บุษราคัม สตาร์ ชาวบ้านสามารถหาพลอยได้ไม่ยาก บางคนเล่าว่า หลังฝนตก ก็จะเจอพลอยผุดขึ้นมาให้เห็นแล้ว แรกเริ่มที่ชาวบ้านเริ่มขุดหาพลอย ต่างก็ใช้เครื่องมือพื้นบ้าน ใช้ตะแกรงร่อนหาพลอย จนกระทั่งเข้าสู่ยุคตื่นพลอย ทำให้มีการสัมปทานทำเหมือง พลอยจึงถูกขุดไปขาย และลดลงไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าปัจจุบันพลอยในจังหวัดจันทบุรีจะลดลงไป จนแทบจะไม่เหลือแล้ว แต่ตลาดการค้าขายพลอยในเมืองจันท์ ก็ยังคงเป็นศูนย์กลางการซื้อขายแหล่งใหญ่ ที่มีผู้ประกอบการมาจากทั่วโลก มีผู้ซื้อ ผู้ขายทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ พลอยที่ซื้อขายก็มีการนำมาจากแหล่งอื่นๆ ด้วย เช่น พลอยจากพม่า กัมพูชา อินเดีย เวียดนาม ศรีลังกา(ซีรอน) และประเทศแถบแอฟริกา เช่น แทนซาเนีย เคนยา โมซัมบิก คองโก เกาะมาดากัสการ์ เป็นต้น ในตลาดพลอยเมืองจันท์มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายพลอยกันอย่างคึกคัก มีเงินสะพัดมากมายมหาศาล
บรรยากาศการซื้อขายพลอยในจันทบุรี มักจะคึกคักในช่วงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ โดยเริ่มตั้งแต่ตอนสาย ไปจนถึงช่วงบ่าย ประมาณ 10.00 -15.00 น. การซื้อขายมีทั้งแบบตั้งโต๊ะเปิดโล่ง และแบบอยู่ในห้องแอร์ บ้างก็จะเขียนไว้ว่าคนซื้อต้องการพลอยแบบไหน
ตลาดการค้าพลอยจะมีลักษณะการซื้อขายไม่เหมือนการซื้อขายสินค้าทั่วไปที่ผู้ขายเปิดร้าน รอให้ผู้ซื้อเข้ามาซื้อ ในทางกลับกัน การซื้อขายพลอยนั้น ผู้ซื้อจะนั่งรอ ให้ผู้ขายเดินนำสินค้ามาเสนอขาย
2.ผู้ขายพลอย
คนขายพลอย หรือที่มักเรียกว่า "คนเดินพลอย" อาจเป็นเจ้าของพลอยที่หามาได้เอง หรือเป็นนายหน้า ที่รับมาจากโรงงาน หรือร้านทำพลอย เพื่อนำไปเสนอขายให้กับพ่อค้าพลอยแทนเจ้าของพลอย โดยนายหน้าทำหน้าที่คล้ายกับโบรกเกอร์ จะได้เปอร์เซ็นจากการขายประมาณ 1-2%
คนเดินพลอยในตลาดจะสังเกตได้ง่าย คือ เป็นคนที่เดินไปเดินมา มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ส่วนใหญ่จะสะพายกระเป๋าข้างสำหรับใส่พลอยที่นำมาเสนอขาย คนเดินพลอยจะเดินวนเวียนเพื่อหาว่า จะนำพลอยไปเสนอขายที่โต๊ะไหน เพื่อให้ราคาดี หากตกลงกันได้ในราคาที่เหมาะสม ก็จะขายให้กับผู้ซื้อคนนั้นไป
3.การตรวจสอบพลอย
เมื่อผู้ขายกับผู้ซื้อมาเจอกัน ก่อนที่จะตกลงซื้อขายกันได้นั้น คนซื้อจะตรวจเช็คสินค้าก่อนตั้งราคาซื้อ โดยทั่วไปผู้ซื้อจะมีอุปกรณ์คือ โต๊ะนั่ง ถาดรองพลอยสีขาว คีมคีบพลอย ตาชั่งสำหรับช่างพลอย (เพื่อคำนวณเป็นกะรัต) แว่นขยาย เครื่องคิดเลข
จากนั้นผู้ซื้อจะทำการตรวจสอบพลอย โดย
- ผู้ซื้อจะเท พลอยทั้งห่อใส่ในถาด ซึ่งใน 1 ห่อ อาจมีตั้งแต่ 1 เม็ด ไปจนถึงห่อละหลายเม็ด และพลอยแต่ละห่ออาจมีขนาดไม่เท่ากัน
- ผู้ซื้อจะดูหน้าพลอย และเขี่ยดูพลอยโดยทั่วๆ ก่อน จากนั้นอาจใช้คีมคีบพลอยบางเม็ดมาส่องดูด้วยแว่นขยาย เมื่อดูจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงเก็บพลอยทั้งหมดใส่ห่อ แล้วชั่งเพื่อคำนวณราคาด้วยเครื่องคิดเลข
- หากผู้ซื้อให้ราคาซื้อ (ส่วนใหญ่จะซื้อขายแบบเหมาทั้งห่อ) แล้วผู้ขายพอใจกับราคานั้น ก็เป็นอันซื้อขายกันจบ หากไม่พอใจ ผู้ขายจะนำพลอยไปเดินหาผู้ซื้อรายอื่นต่อไป
4.การตกลงซื้อขาย
เมื่อผู้ซื้อและผู้ขาย ตกลงราคากันได้ถูกใจทั้งสองฝ่าย ก็จะทำการแลกของแลกเงินกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้ซื้อจะรับซื้อพลอยทั้งกอง หรือทั้งห่อของผู้ขาย ซึ่งอาจมีเพียงไม่กี่เม็ด หรือมีหลายเม็ดก็ได้
กรณีที่ผู้ขายเป็นนายหน้ารับพลอยมาจากโรงงาน หรือจากร้านอีกทีหนึ่ง หากตกลงราคากับผู้ซื้อไม่ได้ หรือไม่แน่ใจว่าราคาที่ผู้ซื้อเสนอมา สมควรขายออกไปหรือไม่ ก็จะมีการทำเครื่องหมายไว้กับห่อพลอยห่อนั้น เรียกว่า "การพันกา" คือการจองพลอยของพ่อค้าพลอยทั้งห่อ พันด้วยกระดาษ หรือห่อด้วยกระดาษ ติดเทปแน่นหนา เขียนราคาและชื่อคนซื้อไว้ เพื่อเป็นการทำเครื่องหมายจอง โดยไม่ให้เปิดออก นายหน้าจะนำกลับไปถามเจ้าของพลอย แล้วจึงกลับมายังผู้รับซื้ออีกทีหนึ่ง หากกลับมาแล้วไม่สามารถตกลงราคาได้ ก็จะฉีกใบจองนั้นเป็นอันยกเลิกสัญญาซื้อขาย แล้วผู้ขายก็จะไปหาผู้ซื้ออื่นต่อไป
ตำนานการเกิดพลอยในจันทบุรี
ตามตำนานเล่าว่า แต่เดิมเมืองจันทบุรีนั้นยังไม่มีพลอย จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ชาวบ้านได้เห็นแสงสว่างราวกับดวงดาวพุ่งจากท้องฟ้า ตกลงมาบริเวณเขาพลอยแหวน เมื่อชาวบ้านพากันไปดู ก็เห็นวัตถุที่มีประกายแสงสีเขียว สุกสว่างอยู่ในหลุม และเชื่อกันว่านั่นคือ "แม่พลอย" จึงเตรียมที่จะนำมาไว้กราบไหว้บูชา แต่เมื่อจะหยิบแม่พลอยขึ้นมา แม่พลอยกลับลอยหนีไป และบรรดาลูกพลอยนับหมื่นนับพันก็พากันลอยตามแม่พลอยไปด้วย ลูกพลอยไหนที่ลอยตามแม่พลอยไปไม่ทัน ก็จะตกหล่นกระจายอยู่ตามพื้นดินไปทั่ว จนทำให้บริเวณเขาพลอยแหวนมีพลอยอยู่ใต้ผืนดินจำนวนมาก
"เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารสีหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย์"
1.การขุดพลอย
แหล่งขุดพลอยในจังหวัดจันทบุรีนั้น พบอยู่ในภูมิประเทศทั้งที่เป็นภูเขา ไหล่เขา และตามพื้นราบ โดยแบ่งตามแนวสายแร่ออกเป็น 2 เขต คือ
- ทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดได้แก่ อำเภอท่าใหม่ อำเภอเมือง ในบริเวณเขาวัว เขาพลอยแหวน เขาสระแก้ว บ้านบางกะจะ พลอยที่ได้ส่วนใหญ่เป็นพลอยสีน้ำเงิน(ไพลิน) เขียว เหลือง(บุษราคัม) สตาร์(พลอยสาแหรก) เพทาย(Zircon) โกเมน(Garnet)
- ทางฝั่งตะวันออกของจังหวัดได้แก่ อำเภอขลุง อำเภอมะขาม บริเวณเขาสระบาป บ้านบ่อเวฬุ บ้านสีเสียด บ้านตกพรม บ้านบ่อเอ็ด บ้านกลาง บ้านหนองปลาไหล บ้านตกชี บ้านสะตอ ห้วยสะพานหิน บ้านแสงแดง บ้านแสงส้ม พลอยที่พบส่วนใหญ่เป็นพลอยสีแดง และสีน้ำเงิน
การขุดพลอยนอกจากจะขุดในบริเวณที่มีประวัติการพบเจอพลอยแล้ว ยังต้องใช้การสังเกตสีของดิน โดยดูได้จาก
- ขี้พลอย (แร่ไพร็อกซิน) - เป็นหินสีดำที่อยู่ตามผิวดิน
- เพื่อนพลอย (พลอยเพทาย พลอยน้ำค้าง)
- ตัวตุ๊กต่ำ (แร่ไมก้า) - เชื่อว่าเป็นอาหารพลอย
เมื่อพบตัวบ่งชี้เหล่านี้ ก็จะทำการขุดหา โดยต้องขุดหน้าดินทิ้งไปก่อน ขุดจนถึงชั้นหินกรวด (ชั้นกะสะ) ซึ่งจะเจอหินบะซอลต์ (หรือลูกร่อน) แล้วจึงจะนำดินในชั้นกะสะขึ้นมาล้าง และร่อน เพื่อแยกพลอยออกจากดิน และหินกรวด
ในอดีตการคัดแยกพลอย ชาวบ้านจะใช้เครื่องมือขุดดิน เพื่อนำดินมาร่อนในตระแกรงร่อน ต่อมามีการสัมปทาน จึงมีการขุดพลอยแบบเหมืองฉีด โดยใช้รถรถแมคโค ตักดินเพื่อเปิดหน้าดินออกจนถึงชั้นดินที่มีพลอยปนอยู่ จากนั้นก็จะตักดินใส่ในเครื่องมือแยกหินใหญ่ๆ (เรียกว่าตระกร้อ) เครื่องนี้เป็นตะแกรงทรงกระบอกที่หมุนอยู่ตลอด พร้อมใช้น้ำฉีด เพื่อให้พลอยหลุดมากับน้ำ จากนั้นจะมีท่อส่งน้ำต่อไปยัง เครื่องมือแยกพลอย (ชาวบ้านเรียกว่า ยิก หรือ แย็ก) เพื่อแยกระหว่างหินกรวด กับพลอย เมื่อคัดแยกพลอยด้วยเครื่องแล้ว หลังจากนั้นก็ต้องนำพลอยที่ได้มาล้างน้ำ และนำมาคัดแยกด้วยมือโดยเลือกเฉพาะหินที่เป็นพลอยสี
2.การเผาพลอย
สมัยการทำพลอยในยุคแรกๆ นั้น ยังไม่มีใครรู้จักวิธีเผาพลอย การทำพลอยจึงไม่มีขั้นตอนนี้ เมื่อได้พลอยดิบมาก็ผ่านไปยังขั้นตอนการโกลน และเจียระไนเลย
จนกระทั่งปี 2511 ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในจังหวัดจันทบุรี แถวบริเวณที่เรียกว่าโรงหนังเฉลิมไทย ซึ่งเป็นแหล่งที่มีร้านทำพลอยอยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก เมื่อไฟสงบแล้ว ช่างพลอยต่างก็กลับไปตรวจเช็ค ค้นหาซากพลอยในร้านที่โดนไฟไหม้ เมื่อกลับไปดูก็ต้องประหลาดใจว่า พลอยบางชิ้นกลับมีความสวยใสขึ้นมาจากเดิม จึงทำให้เกิดเป็นภูมิปัญญาการเผาพลอย ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากจันทบุรีนี่เอง
เทคโนโลยีการเผาพลอย (หรือหุงพลอย) แบบไม่มีการเพิ่มสารเคมีเข้าไปขณะเผา เป็นการปรับปรุงสีพลอยที่ได้มาจากเหมือง ให้ดูสวยสดใส เพราะเป็นการทำให้ธาตุที่อยู่ในเม็ดพลอย เกิดการเปลี่ยนแปลง แปรสภาพธาตุ จึงเปลี่ยนสีสันของแร่ที่แทรกอยู่ภายใน มีผลให้พลอยเม็ดนั้นๆ สวยสุกใสขึ้น จึงถือได้ว่าเป็นกรรมวิธีที่ถูกต้อง และได้รับการยอมรับตามหลักวิชาการว่ายังคงคุณค่าของพลอยอยู่
พลอยแต่ละชนิด จะใช้เทคนิคการเผาที่ไม่เหมือนกัน ความร้อนในการเผาไม่เท่ากัน ซึ่งเทคนิคการเผาพลอยนี้ มักเป็นความลับเฉพาะที่ไม่เปิดเผยกัน การที่จะดูว่าพลอยเม็ดไหนเผาได้หรือไม่ได้ เผาแล้วจะออกมาสวยหรือไม่นั้น จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ ที่ต้องดูเป็นด้วยว่า พลอยชิ้นไหนเมื่อนำไปเผาจะได้ราคาเพิ่มขึ้น การเผาพลอยแต่ละชนิดใช้ลักษณะเตา ความร้อน และระยะเวลาในการเผาที่แตกต่างกันออกไป เช่น พลอยแดง (ทับทิม) ใช้เตาไฟฟ้า ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ถึง 1800 องศาฟาเรนไฮต์ ส่วนพลอยไพลิน จะใช้เตาถ่านหิน แก๊ส หรือนำ้มันโซล่า ที่จะต้องทำเป็นเตาพิเศษด้วย
การเผานั้นจะนำเม็ดพลอยดิบใส่ในเบ้าที่สั่งทำโดยเฉพาะ เบ้าต้องทนความร้อนสูง เมื่อเผาเสร็จ ต้องนำพลอยมาคัดคุณภาพเพื่อดูว่าเม็ดไหนใช้ได้ หรือไม่ได้ ถ้าหากพลอยเม็ดไหนสียังไม่สวยตามต้องการ ก็ต้องนำกลับไปเผาใหม่ บางเม็ดอาจต้องใช้เวลาในการเผาหลายครั้ง จึงจะได้พลอยที่สุกใส
3.การโกลนพลอย
หลังจากที่พลอยผ่านการคัดแยกคุณภาพ ตรวจสอบการแตกร้าวภายในเม็ดพลอยแล้ว จะผ่านเข้าสู่การโกลน เป็นการขึ้นรูป หรือทำให้เม็ดพลอยเป็นรูปร่างแบบคร่าวๆ เป็นการกำหนดด้านหน้าพลอย ตั้งหน้าพลอย การตั้งน้ำ และตำแหน่งสีในแต่ละเม็ด ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง ที่ต้องอาศัยช่างฝีมือที่มีประสบการณ์
ตัวอย่างการโกลนพลอย
4.การเจียระไนพลอย
คือการนำเม็ดพลอยที่ทำความสะอาด และผ่านการขึ้นรูปโกลนเรียบร้อยแล้ว มาติดไม้ทวน (เป็นเหมือนแท่งดินสอ ใช้จับเม็ดพลอยเวลาเจียระไนพลอย) การเจียระไน คือการนำพลอยเม็ดมาตัดแต่ง โดยนำไปถูกับหินเพชร ทำให้เกิดเป็นรูปร่าง โดยวางเหลี่ยมมุมบนหน้าพลอย ทำให้เกิดการหักเหของแสง เกิดการสะท้อนแวววาว ดูระยิบระยับ การเจียระไนสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น แบบเหลี่ยมเพชร เหลี่ยมกุหลาบ เหลี่ยมผสม เป็นต้น
ขั้นตอนการเจียระไน เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ผู้ที่มีประสบการณ์มาก มีฝีมือประณีต และมีความชำนาญพิเศษ คนเจียระไนพลอยจะรู้ว่า ควรเจียระไนเป็นรูปทรงแบบไหน เพื่อรักษาเนื้อพลอย และให้เกิดความสวยงามมากที่สุด
5.การทำตัวเรือน
เป็นการนำพลอยที่ผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อให้เป็นพลอยเม็ดงามแล้ว ต้องนำมาจัดเกรดพลอยสำเร็จ แยกตามสี ความสวยงาม ขนาด แล้วจัดเป็นชุดพลอย จากนั้นจะนำมาทำตัวเรือน หรือการนำพลอยมาประกอบเป็นเครื่องประดับต่างๆ เช่นสร้อย แหวน ทั้งการขึ้นรูป การฝัง ซึ่งอาจทำด้วยมือ หรือทำด้วยเครื่องจักร หากมีการสั่งจำนวนมาก บางแห่งก็จะใช้เครื่องมือ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว
เครื่องมือตรวจสอบพลอยแท้
1.ใช้กล้องจุลทรรศน์ (Microscope) ตรวจหาตำหนิ หรือมลทิลในพลอย
2.ใช้เครื่องวัดค่าดัชนีหักเหของแสง (Refractometer)
3.ใช้ลูป (Loupe) หรือแว่นกำลังขยาย 10 เท่า ส่องดูพลอยด้วยตา และอาศัยประสบการณ์การดูพลอย
การดูพลอยแท้
การดูพลอย เป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างยาก แม้แต่คนที่ดูพลอยเป็น หรือคนที่อยู่ในวงการพลอย ยังต้องอาศัยความชำนาญในการสังเกต และประสบการณ์ส่วนตัวในการดูพลอย ว่าชิ้นไหนพลอยแท้ ชิ้นไหนเทียม หรือมีน้ำงามแค่ไหน บางเม็ดอาจต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องทำในห้องแล็ปในการตรวจสอบเนื้อพลอย
การดูพลอยแท้ จะใช้การดูตำหนิในเนื้อพลอย (Inclusion) ซึ่งโดยทั่วไปหินสีที่เกิดตามธรรมชาติ หรือพลอยแท้ เป็นปกติที่จะมีตำหนิธรรมชาติอยู่ในเนื้อพลอย ซึ่งตำหนินี้เอง เป็นตัวชี้วัดตัวแรกที่จะบอกว่าเป็นพลอยจริง หรือพลอยปลอม ตำหนิที่เกิดมีหลายรูปแบบ มีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น ตำหนิเส้นเข็มโบไมท์ ตำหนิเส้นไหมรูทิล ตำหนิลายนิ้วมือ ตำหนิดาวเสาร์ ตำหนิผลึกแฝด ตำหนิเส้นการเจริญเติบโต แถบเส้นตรง แถบสีหักมุม 6 เหลี่ยม เป็นต้น
การดูตำหนิในเนื้อพลอย จะต้องใช้แว่นขยายส่องหาเส้นหินในเนื้อพลอย จะเห็นเป็นลักษณะที่ไม่เรียบใสอยู่ในเนื้อพลอย ส่วนใหญ่เป็นเส้นตรงใสๆ หรือเป็นผลึก หากเป็นพลอยปลอม ประเภทพลอยสังเคราะห์ หรือพลอยอัด แถบสีจะเป็นเส้นโค้ง
เทคนิคการดูคือ ใช้ปากคีบพลอย (Tweeze) คีบเม็ดพลอย อีกมือถือแว่นขยายใกล้กับตา ถือพลอยห่างจากแว่นประมาณ 1 นิ้ว แล้วเริ่มส่องพลอยจนเห็นภาพชัด ตรวจดูพลอยให้ทั่วทั้งเม็ด หาเส้นหิน หรือตำหนิจากด้านหลังของพลอย ขยับพลอยไปมาเพื่อหาเส้นตรงใสๆ ในแต่ละเหลี่ยมพลอย รูปแบบของตำหนิอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หากพลอยนั้นได้ผ่านการเผา ซึ่งจะทำให้พลอยมีสีสวย และดูสะอาดขึ้น
ตำหนิในเนื้อพลอยยังสามารถแยกแหล่งกำเนิดของพลอยแต่ละแหล่งที่มาได้ ซึ่งพลอยจากแต่ละแหล่งก็มีมูลค่าที่แตกต่างกันด้วย เช่น ทับทิมไทย มักจะไม่พบตำหนิเส้นไหมรูทิล และผลึกเหมือนทับทิมพม่า ส่วนทับทิมมาดากัสการ์จะพบตำหนิแทบทุกชนิด เป็นต้น
หลักการพิจารณาพลอย
1.ความแข็งของพลอย พลอยที่มีคุณภาพคือพลอยเนื้อแข็ง เช่นทับทิม ไพลิน บุษราคัม
2.สี ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกความงามของพลอย สีพลอยที่มีความเข้ม จาง ต่างกัน ก็ทำให้ราคาพลอยต่างกันด้วย
3.ความโปร่งใส พลอยที่มีความโปร่งใส ไม่มีรอยแตก มีความสวยงามมาก ซึ่งมักจะหายาก และมีราคาค่อนข้างสูง
4.น้ำหนัก พลอยที่มีน้ำหนักมาก ตั้งแต่ 1 กะรัตขึ้นไป จะมีราคาที่สูงขึ้นตามน้ำหนักด้วย
ความเชื่อเรื่องพลอย
พลอยชนิดต่างๆ ที่นำมาทำเป็นอัญมณี เป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ นอกจากจะให้ความสวยงามกับผู้สวมใส่แล้ว ยังมีความเชื่อที่สืบทอดกันมาว่าการใส่เครื่องประดับตามโฉลกเดือนเกิด จะช่วยส่งผลแง่บวกในด้านต่างๆ หรือช่วยด้านการรักษาโรค อัญมณีประจำเดือนเกิด มีดังนี้
- เดือนมกราคม โกเมน เป็นพลอยสีน้ำตาลแดง สัญลักษณ์แห่งความซื่สัตย์ ความศรัทธา และมิตรไมตรี
ช่วยให้มีสุขภาพดี มีอายุยืน แคล้วคลาด
- เดือนกุมภาพันธ์ แอเมทิสต์ เป็นพลอยสีม่วง สัญลักษณ์แห่งความเฉลียวฉลาด รอบรู้ ความมั่นใจในตัวเอง
ช่วยรักษาจิตใจให้สงบ เข้มแข็ง ช่วยคุ้มครองผู้ที่เดินทาง
- เดือนมีนาคม อความารีน เป็นพลอยสีฟ้าเข้ม สีน้ำทะเล สัญลักษณ์แห่งความสงบสุข นำโชคลาภ
ฝ่าอุบัติภัย
- เดือนเมษายน เพชร หรือเพทาย เป็นอัญมณีสีขาวใส สัญลักษณ์แห่งความรักอมตะนิรันดร ชัยชนะ
ความสำเร็จ นำความร่ำรวย ชีวิตรุ่งเรือง
- เดือนพฤษภาคม มรกต เป็นอัญมณีสีเขียว สัญลักษณ์แห่งความเจริญงอกงาม ความอุดมสมบูรณ์ จริงใจ
ไม่เปลี่ยนแปลง
- เดือนมิถุนายน มุกดาหาร เป็นอัญมณีสีขาวขุ่น สัญลักษณ์แห่งความอ่อนโยน ช่วยให้โชคเรื่องความรัก
- เดือนกรกฎาคม ทับทิม เป็นพลอยสีแดง สัญลักษณ์แห่งความผาสุก นำพาโชคลาภ ช่วยเรื่องอำนาจ
ชีวิตคู่มั่นคงยืนยาว
- เดือนสิงหาคม เพริดอต (เขียวส่อง) พลอยสีเขียว สัญลักษณ์แห่งความอบอุ่น ความกรุณา
ช่วยขจัดความหดหู่ เสริมสร้าง จิตใจให้เข้มแข็ง กล้าหาญ มีอำนาจบารมี
- เดือนกันยายน ไพลิน พลอยสีน้ำเงิน สัญลักษณ์แทนความซื่อสัตย์ ความสมหวังในสิ่งที่ตั้งใจ
- เดือนตุลาคม โอปอล เป็นอัญมณีสีสันเป็นประกาย สัญลักษณ์แทนความรัก ความบริสุทธิ์
เสริมสร้างความสำเร็จ
- เดือนพฤศจิกายน บุษราคัม และซิทริน เป็นพลอยสีเหลือง สัญลักษณ์แทนความซื่อสัตย์ มั่นคง จริงใจ
ช่วยส่งเสริมด้านการตัดสินใจ
- เดือนธันวาคม เทอร์คอยส์ และบลูโทพาส พลอยสีเขียวน้ำทะเล หรือสีฟ้า สัญลักษณ์แห่งความมีอำนาจ
ความเฉลียวฉลาด
ข้อแนะนำ
- บริเวณตลาดพลอย เป็นชุมชนค่อนข้างพลุกพล่าน เป็นถนนวันเวย์เยอะ และหาที่จอดรถค่อนข้างยาก หากจอดรถไว้ฝั่งโบสถ์โรมันคาทอลิก แล้วเดินมาบริเวณนี้จะสะดวกกว่าการขับรถไป
สถานที่น่าสนใจบริเวณใกล้กับตลาดพลอย
- ชุมชนริมน้ำจันทบูร สามารถเดินไปได้ในระยะ 200 เมตร
- โบสถ์คาทอลิก สามารถเดินไปได้ในระยะ 300 เมตร
- วัดไผ่ล้อม ห่างไปประมาณ 800 เมตร สามารถนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปได้ในราคาประมาณ 20-25 บาท
เส้นทางรถยนต์
1 | ใช้เส้นทางถนนสุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) ตรงมาจากจังหวัดระยอง เมื่อมาถึงแยกเขาไร่ยา ให้เลี้ยวขวาเข้าเมืองจันทบุรี (หมายเลข 316) |
2 | พอเลี้ยวแล้ว ตรงตามเส้นทางมาเรื่อยๆ ประมาณ 6 กิโลเมตร พอเข้าเขตตัวเมืองจันท์ เมื่อถึงแยกไฟแดงแรก ตรงแขวงการทางจันทบุรี (สี่แยกพระยาตรัง) ให้เลี้ยวซ้าย |
3 | หลังจากเลี้ยวซ้ายแล้ว จะเป็นถนนท่าหลวง ให้ตรงจนผ่านหน้าศาลหลักเมืองไป และตรงไปอีกหน่อย จะเจอแยกตรงสถานีตำรวจ ให้เลี้ยวขวา |
4 | หลังจากเลี้ยวตรงแยกสถานีตำรวจมาแล้ว ให้ตรงไปจนเกือบถึงสะพาน จะเจอย่านตลาดพลอย |