โบสถ์คาทอลิกจันทบุรี เป็นอีกหนึ่งสถานที่ไฮไลท์ของการท่องเที่ยวในเขตตัวเมืองจันทบุรี เป็นโบสถ์คริสต์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 100 ปี มีความสวยงามและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย เป็นศาสนสถานที่ดูอลังการยิ่งใหญ่ แฝงไว้ด้วยความสงบ บ่งบอกถึงพลังความศรัทธาอันแรงกล้า และความเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นของคริสตศาสนิกชนในจังหวัดจันทบุรี โบสถ์คาทอลิกได้เปิดให้ผู้คนแวะเข้าไปเยี่ยมชมภายในโบสถ์ได้ มีผู้คนแวะมาถ่ายรูปทั้งกลางวัน และกลางคืน โบสถ์อยู่ติดริมแม่น้ำจันทบุรี มีที่จอดรถสะดวก เดินชมแล้วสามารถเดินข้ามสะพานไปยังชุมชนริมน้ำจันทบูรได้ไม่ไกล
โบสถ์คาทอลิกจันทบุรี ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนสตรีมารดาพิทักษ์ ตำบลจันทนิมิต อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจันทบุรี ตรงข้ามกับชุมชนโบราณริมน้ำจันทบูร
โบสถ์พระแม่ปฏิสนธินิรมล หรืออาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล มักจะเรียกกันสั้นๆ ว่าโบสถ์คาทอลิก เป็นโบสถ์คริสต์นิกายคาทอลิก* ที่มีความเก่าแก่กว่า 100 ปี และมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 300 ปี ตั้งแต่ครั้งอดีต ที่มีชาวญวนอพยพมาจากทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม หลังจากชาวญวนที่นับถือศาสนาคริสต์ ถูกเบียดเบียนทางศาสนาจากโคชินจีน** จึงได้พากันมาตั้งถิ่นฐานในจันทบุรี แรกเริ่มนั้นมีชาวญวนคาทอลิกประมาณ 130 คน และได้ร่วมกันสร้างโบสถ์ เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของคริสตศาสนิกชนในจันทบุรี
** โคชินจีน หรือโคชินไชน่า (Cochinchina) คือบริเวณทางตอนใต้ของเวียดนาม (ส่วนที่อยู่ทางใต้ของประเทศกัมพูชา) มีเมืองสำคัญคือไซ่ง่อน เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ต่อมาได้เป็นประเทศเวียดนามใต้
โบสถ์หลังที่ 1 (พ.ศ.2254 - 2295) ระยะเวลา 41 ปี
โบสถ์หลังแรกของชาวคาทอลิกจันทบุรี สร้างโดยคุณพ่อเฮิ้ต (Heutte) และสัตบุรุษ (ผู้นับถือศาสนาคริสต์) เมื่อปี พ.ศ. 2255 โดยสร้างเป็นลักษณะวัดน้อย (Chapelle) ขึ้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี โบสถ์นี้ได้ถูกใช้งานมาระยะหนึ่ง
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2273 ในสมัยบาทหลวงกาเบรียลประจำอยู่ที่โบสถ์ ได้เกิดเหตุที่ทางการไม่ไว้วางใจในหมู่บ้านคาทอลิกขึ้น ทำให้ชาวคริตส์ต้องกระจัดกระจายกันไป ส่วนบาทหลวงกาเบรียลได้ถูกส่งไปอยู่ที่อยุธยา โบสถ์หลังนี้ จึงถูกทิ้งร้างไปในช่วงปี พ.ศ. 2275 - 2295 ซึ่งเป็นเวลานานถึง 20 ปี ต่อมาภายหลังพบว่าบาทหลวงกาเบรียล ได้กลับมาที่จันทบุรี อยู่มาจนกระทั่งมรณะภาพ และฝังที่สุสานของวัดเมื่อปี พ.ศ. 2285
โบสถ์หลังที่ 2 (ปี พ.ศ.2295 - 2377) ระยะเวลา 82 ปี
ช่วงต่อมาในปี พ.ศ. 2295 บาทหลวงเดอกัวนา ได้รวบรวมชาวคาทอลิกในจันทบุรีให้กลับมารวมกันอีกครั้ง และได้ช่วยกันสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนา ช่วงนี้มีชาวคริสตศาสนิกชนราว 200 คน และโบสถ์ที่สร้างขึ้น ทำด้วยไม้กระดานเก่า หลังคามุงด้วยใบตาล และได้ถูกใช้งานเรื่อยมา
ต่อมาผู้สืบทอดดูแลต่อคือ บาทหลวงจาง ซึ่งเป็นชาวจีน และโบสถ์หลังนี้ได้ใช้งานมาตั้งแต่ ช่วงปลายสมัยอยุธยา กรุงธนบุรี จนถึงต้นรัตนโกสินทร์
โบสถ์หลังที่ 3 (ปี พ.ศ.2377 - 2398) ระยะเวลา 21 ปี
การสร้างโบสถ์หลังที่ 3 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะได้ย้ายมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจันทบุรี จนเป็นที่ตั้งในปัจจุบัน มีการก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2377 สมัยบาทหลวงมัทธีอัล โด และบาทหลวงเคลมังโซ่ โดยสร้างเป็นวัดเล็กๆ ในแบบชั่วคราว ใช้ไม้กระดานและไม้ไผ่ ช่วงนี้มีชาวคริสต์ประมาณ 1,000 คน
โบสถ์หลังที่ 4 (ปี พ.ศ.2398 - 2448) ระยะเวลา 48 ปี
ต่อมาในช่วงของบาทหลวงรังแฟง เมื่อชุมชนคาทอลิกเติบโตมากขึ้น ประกอบกับโบสถ์เก่าทรุดโทรม และคับแคบ จึงได้มีการดำเนินการก่อสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้น ในปี พ.ศ.2398 โดยได้รับการสนุบสนุนจากพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ ให้สร้างโบสถ์หลังใหม่ที่โดยตัวโบสถ์หันหน้ามาทางแม่น้ำจันทบุรี มีลักษณะเป็นอาคารที่มีความแข็งแรงมั่นคงกว่าเดิม ใช้การก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องเกล็ด
โบสถ์หลังที่ 5 (ปี พ.ศ.2448 - ปัจจุบัน)
ในขณะที่คริสตศาสนิกชนในจันทบุรีมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงปี พ.ศ. 2443 มีชาวคริสต์ประมาณ 2,400 คน ทำให้โบสถ์หลังเดิมดูคับแคบลง จึงได้มีการสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้นอีกครั้ง โดยคุณพ่อเปรโตร เปริกาล ทำพิธีเสกศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2449 เริ่มใช้ประกอบพิธีมิสซาในปี พ.ศ. 2450 จากนั้นก็เป็นการตกแต่งส่วนอื่นๆ เรื่อยมา โดยล่าสุดได้มีการยกยอดโดมคู่ ขึ้นตั้งบนอาคารเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552 และได้ฉลองวัดครบรอบ 100 ปี และ 300 ปี ชุมชน ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552
(ข้อมูลจาก หอจดหมายเหตุอัครสังฆมรณฑลกรุงเทพฯ http://haab.catholic.or.th/)
โบสถ์หลังปัจจุบัน เป็นโบสถ์ที่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมแบบกอธิค ซึ่งจำลองแบบมาจากมหาวิหารน็อทร์-ดาม แห่งกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จึงเป็นโบสถ์ที่ดูสวยงาม ยิ่งใหญ่ เปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาของบรรดาคริสตศาสนิกชน
ลักษณะตัวโบสถ์ยังคงหันหน้าไปทางแม่น้ำจันทบุรี ตัวอาคารกว้าง 20 เมตร ยาว 60 เมตร ด้านหน้ามีหอสูง 2 ข้าง ประดับด้วยยอดโดมแหลมข้างละยอด ยอดโดมนี้ ครั้งหนึ่งได้เคยถูกรื้อลงเมื่อปี พ.ศ.2483 เนื่องจากเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเกรงว่าจะเป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศ ปัจจุบันได้ใส่ยอดโดมคืนไว้ดังเดิมแล้ว
หอด้านหน้า ด้านหนึ่งเป็นหอระฆัง มีระฆังอยู่ 3 ใบ (แต่ละใบมีน้ำหนัก และการให้เสียงที่แตกต่างกัน ใบใหญ่มีน้ำหนักถึง 650 กิโลกรัม) และติดตั้งนาฬิกาทรงกลมเรือนใหญ่ มีเส้นรอบหน้าปัด 4.70 เมตร สามารถมองเห็นได้ไกลประมาณ 2 กิโลเมตร
บริเวณลานด้านหน้าทางเข้าโบสถ์ ได้ปรับจากของเดิม ที่เคยเป็นแนวทางเดินสองฝั่ง มีสนามหญ้าและต้นไม้ มีพระแม่มารีอยู่ด้านข้าง ปัจจุบันได้ปรับภูมิทัศน์ใหม่ให้เป็นลานกว้าง ปูพื้นด้วยลวดลายทรงกลม และกลีบดอกไม้ มีแท่นพระแม่มารีย์ประทับอยู่ที่น้ำพุ ตรงกลางด้านหน้าโบสถ์
เมื่อเข้าไปภายในโบสถ์ เป็นห้องโถงกว้าง ภายในตกแต่งภายในด้วยศิลปะเก่าแก่ มีไม้ฉลุลวดลาย มีบันไดเวียนทำด้วยไม้ ขึ้นไปยังชั้นลอย และมีพระแท่นทำจากไม้แกะสลัก พื้นโบสถ์ปูด้วยหินอ่อน ส่วนเพดานมีลักษณะโค้งแบบท้องเรือโนอาห์ ติดโคมไฟระย้า ผนังโบสถ์ใช้สีอมชมพู ทำให้ดูสว่างสดใสเมื่อต้องแสงไฟ บานหน้าต่างทำเป็นทรงสูง ด้านบนทำเป็นยอดโค้งแหลม ประดับตกแต่งด้วยกระจกสี สเตนกลาส* เป็นรูปนักบุญต่างๆ ในคริสตศาสนา เช่น จอห์น แบปติสต์, โจนส์ ออฟ อาร์ค(ผู้กอบกู้ฝรั่งเศส)
ถัดจากประตูด้านหน้าเข้าไปภายในโบสถ์ มีเก้าอี้ยาวเรียงเป็นแนวซ้าย-ขวาทั้ง 2 ฝั่ง ไปจนถึงส่วนที่ยกพื้นสูง ด้านหลังมีกางเขนใหญ่ ตู้ศีล พระแท่น และบรรณฐาน เหนือไม้กางเขน มีองค์พระแม่มารีย์ประทับอยู่ในซุ้มติดผนังเหนือขึ้นไปด้านบน ลวดลายผนังบริเวณด้านข้างไม้กางเขน วาดเป็นภาพสาวกของพระเยซู
(ข้อมูลจาก แผนกศิลปะในพิธีกรรม https://thailiturgy.wordpress.com/)
ภายในโบสถ์ ยังมีสิ่งที่ไม่ควรพลาดชมอีกอย่าง คือ องค์พระแม่ประดับพลอย ที่อยู่ทางด้านขวาของพระแท่นบูชา ดูโดดเด่นด้วยไฟส่องที่องค์แม่พระพลอย ที่เพิ่งมีพิธีเสกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2552 เนื่องในโอกาสสมโภช 100 ปี ของอาสนวิหารฯ และครบรอบ 300 ปี ของชุมชนชาวญวน องค์พระแม่ มีความสูง 1.20 เมตร ที่ตัวองค์พระและฐานหล่อด้วยเงินบริสุทธิ์ 100% หนัก 76 กิโลกรัม ลวดลายบนอาภรณ์ประดับด้วยทองคำ 69 ดอก ด้านบนประดับด้วยพลอยซัฟฟายคุณภาพดี หลากสี กว่า 200,000 เม็ด ประมาณ 20,000 กะรัต ปั้นเป็นรูปยืน ประทับเหยียบอยู่บนตัวงูซึ่งเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายต่างๆ
สถานที่น่าสนใจบริเวณใกล้เคียง
- ชุมชนริมน้ำจันทบูร (เพียงเดินข้ามสะพานตรงหน้าโบสถ์ไป ไม่เกิน 100 เมตร)
- ตลาดพลอย (เดินข้ามสะพานหน้าโบสถ์ แล้วเดินต่อไปอีกหน่อย)
- วัดไผ่ล้อม (อยู่ฝั่งเดียวกันกับโบสถ์คาทอลิก)
เส้นทางเดินเท้า
- จากบริเวณชุมชนริมน้ำจันทบูร (ถนนสุขาภิบาล) หรือจากถนนอัญมณี (ตรอกกระจ่าง) ให้เดินมาทางตลาดล่าง
- เกือบสุดทาง มีป้ายบอกทางเลี้ยวไปยังโบสถ์คริสต์
- เดินข้ามสะพานนิรมล ก็จะถึงโบสถ์คริสต์
เส้นทางรถยนต์
1 | ใช้เส้นทางถนนสุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) ตรงมาจากจังหวัดระยอง เมื่อมาถึงแยกเขาไร่ยา ให้เลี้ยวขวาเข้าเมืองจันทบุรี (หมายเลข 316) |
2 | พอเลี้ยวแล้ว ตรงตามเส้นทางมาเรื่อยๆ ประมาณ 6 กิโลเมตร พอเข้าเขตตัวเมืองจันท์ เมื่อถึงแยกไฟแดงแรก ตรงแขวงการทางจันทบุรี (สี่แยกพระยาตรัง) จะมีป้ายบอกทางเลี้ยวซ้าย ไปอาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล ให้เลี้ยวซ้ายไป |
3 | เมื่อเลี้ยวซ้ายตามป้ายเข้าสู่ถนนท่าหลวงแล้ว ตรงตามเส้นทางหลัก ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำจันทบุรีไปสักระยะ (ผ่านปั๊มเชลล์ไป แถว ๆ เซเว่น) จะเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวขวาไปโบสถ์คาทอลิก |
4 | หลังจากเลี้ยวขวาตามป้ายบอกทาง เข้าถนนจันทนิมิต ตรงตามเส้นทางหลักไปอีกประมาณ 400 เมตร จะเห็นโบสถ์คาทอลิกอยู่ทางขวา |
เวลาเข้าชมอาสนวิหารฯ
วันจันทร์ - เสาร์ 8.30 - 12.00 น. และ 13.00 - 16.30 น. (ปิดเที่ยง)
วันอาทิตย์ 12.00 - 16.30 น.