วัดสมานรัตนาราม เป็นวัดที่มีองค์พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุขที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีผู้คนแวะมากราบสักการะกันมากมาย ภายในวัดยังมีรูปเคารพในรูปแบบความเชื่ออื่นๆ อีกมากมาย เช่นพระพุทธรูป รูปปั้นองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม พระพรหม พระนารายณ์ พระราหู และมีหลากหลายรูปแบบการทำบุญ จึงเป็นอีกวัดนึงที่มีผู้คนมาเที่ยวชมกันมากในแต่ละวัน วัดอยู่ห่างจากตัวเมืองไปราว 10 กว่ากิโลเมตร การเดินทางสะดวก
วัดสมานรัตนาราม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ในอำเภอเมือง ใกล้อำเภอบางคล้า และคลองเขื่อน พื้นที่วัดอยู่ใกล้กับโครงการเขื่อนทดน้ำบางปะกง บริเวณที่ตั้งวัดมีลักษณะเหมือนเป็นเกาะขนาดใหญ่ มีเส้นทางเชื่อมต่อกับส่วนของแผ่นดิน 2 ทาง ผู้ที่ไม่มีรถส่วนตัว ทางวัดมีบริการรถตู้ระหว่างวัดหลวงพ่อโสธร และไปยังขนส่ง หรือจะใช้บริการเช่ารถสามล้อก็ได้
วัดสมานรัตนาราม (วัดใหม่ขุนสมานเพิ่มนคร) มีเนื้อที่ประมาณ 26 ไร่ 3 งาน 50 ตารางวา เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมา จากการบอกเล่าต่อกันมาว่า มีคหบดีท่านหนึ่ง ชื่อว่าขุนสมานจีนประชา เป็นท่านขุนที่มีคนเคารพนับถือมาก เดิมชื่อจ่าย แซ่ตั้น ภายหลังได้เลื่อนเป็นหลวงสมานเพิ่มนคร เมื่อท่านถึงแก่กรรม ภรรยาทั้ง 2 ของท่าน (นางทับทิม และนางผ่อง) รวมถึงน้องสาว (นางยี่สุ่น) มีความศรัทธาที่จะสร้างวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่หลวงสมาน จึงสร้างวัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2422 ซึ่งเป็นวัดราษฎร์ที่ปกครองโดยคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย และตั้งชื่อว่า "วัดใหม่ขุนสมานเพิ่มนคร" ภายหลังผู้สร้างวัดได้ถวายต่อมายังพระในคณะธรรมยุต ชาวบ้านโดยทั่วไปก็ยังคงเรียกติดปากกันว่า "วัดใหม่ขุนสมาน" เรื่อยมา
จนกระทั่งช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 10) ได้เสด็จออกตรวจสังฆมณฑลตามลำน้ำบางปะกง ทรงเห็นชื่อวัดไม่สอดคล้องกับตำบลไผ่เสวก จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น "วัดไผ่เสวก" (ชื่อตำบลเดิม) ซึ่งต่อมาตำบลไผ่เสวกได้รวมเข้ากับตำบลบางแก้ว พระเถระและชาวบ้าน จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดใหม่ โดยมีความตั้งใจให้มีคำว่า "สมาน" และคำว่า "แก้ว" (ตามชื่อตำบล) จึงเปลี่ยนมาเป็น "วัดสมานรัตนาราม" และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงปี พ.ศ.2500 - 2542 เป็นช่วงที่วัดสมานขาดการบูรณะปฏิสังขรณ์เป็นช่วงระยะเวลานาน วัดมีสภาพทรุดโทรมลงไปมาก จนเมื่อปี พ.ศ.2543 พระครูปลัดสุวัฑฒนพรหมจริยคุณ (ไพรัตน์ ปณญาธโร) ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส (เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน) จึงได้ทำการบูรณะปรับปรุงวัดครั้งใหญ่ ปรับทัศนียภาพวัด สร้างองค์พระพิฆเนศปางเสวยสุขขนาดใหญ่ รวมถึงรูปเคารพอื่นๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ วัดสมานรัตนาราม เป็นเหมือนจุดศูนย์รวมความเชื่อในแบบต่างๆ มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาทำบุญ กราบสักการะ และเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก มีกิจการร้านค้ามากมาย ก่อให้เกิดรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น
เมื่อเดินทางเข้ามาถึงบริเวณวัดสมานรัตนาราม จุดแรกจะเป็นลานจอดรถกว้างขวาง มีทั้งด้านซ้าย และขวา ทั้งด้านนอก และด้านในใกล้กับบริเวณท่าน้ำ บริเวณวัดมีจุดจำหน่าย อาหาร สินค้า และบริการแทบทุกอย่าง ร้านอาหาร เครื่องดื่ม กาแฟสด ร้านสะดวกซื้อ (7-11) ตู้ ATM ของกิน ของฝาก ของที่ระลึก วัตถุมงคลต่างๆ
จุดสำคัญสำหรับการสักการะบูชานั้น มีหลายจุดตั้งแต่ด้านหน้า ไปจนถึงบริเวณริมแม่น้ำ อาจเลือกบูชาสิ่งที่ศรัทธา ตามศาสนา หรือความเชื่อของแต่ละบุคคลก็ได้ ซึ่งภายในวัดมีสถานที่สำคัญ และจุดที่น่าสนใจอยู่มากมายหลายจุด ได้แก่
พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุข
พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุขที่วัดสมาน เป็นจุดที่โดดเด่นที่สุดในวัด ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2552 ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 4 เดือน เป็นพระพิฆเนศปางนอนเสวยสุของค์ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดความกว้าง 24 เมตร สูง 16 เมตร หันพระพักตร์ออกไปทางแม่น้ำ ประทับบนตั่งแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน ตะแคงข้างด้านซ้าย ชันพระชานุ (เข่า) ขวา องค์พระพิฆเนศมี 4 กร กรด้านซ้ายข้างหนึ่งอิงพระเขนย (หมอน) อีกข้างถืองาที่หัก* กรด้านขวาข้างหนึ่งวางไว้บนพระเพลา (ขา) ส่วนอีกข้างยกพระหัตถ์ขึ้นถือดอกบัว
องค์พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุขนี้ มีผิวกายเป็นสีชมพู ทรงเครื่องทรงเฉพาะท่อนล่าง เป็นกางเกงสีทองประดับลวดลายขลิบทอง สวมพระมาลา ทรงเครื่องประดับทอง ได้แก่ สายคาดหน้าผาก รัดแขน รัดข้อเท้า กำไล แหวน เข็มขัด สร้อยสังวาล รอบเอวมีพญานาคพันอยู่ รอบฐานตั่งประทับ มีรูปปูนปั้นนูนต่ำเป็นรูปพระพิฆเนศ 32 ปาง และตรงส่วนฐานนี้เอง เป็นห้องแอร์เย็นฉ่ำ จัดแสดงข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวัดสมาน องค์พระพิฆเนศปางต่างๆ และเป็นจุดให้เช่าบูชาวัตถุมงคลด้วย
ด้านหน้าองค์พระพิฆเนศ มีบริวารเป็นหนู 5 ตน คือ หนูหูทิพย์ หนูตาทิพย์ และหนูราชาโชค เป็นอีกจุดนึงที่จะเห็นผู้คนยืนต่อแถวยาวเหยียด เพื่อที่จะกระซิบขอพรฝาก "หนูมุสิกะ" ผู้เป็นเหมือนพาหนะ และใกล้ชิดกับองค์พระพิฆเนศ เพื่อให้นำพรที่ขอไปบอกต่อยังองค์ท่าน วิธีการขอพรคือ กระซิบที่หูหนู บอกความปรารถนา เคล็ดลับอยู่ตรงที่ เวลาบอกสิ่งที่ขอ เมื่อกระซิบที่หูด้านนึง ต้องเอามืออ้อมไปปิดที่หูหนูอีกข้างนึงไว้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้พรที่ขอเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
บริเวณด้านหน้าองค์พระพิฆเนศ มีศาลาริมน้ำ มีห้องกระจก เป็นจุดให้กราบสักการะบูชาองค์พระพิฆเนศ โดยมีพระพิฆเนศองค์เล็ก ได้จุดธูปเทียนบูชา ถวายเครื่องถวาย รวมถึงปิดทองที่องค์พิฆเนศได้ด้วย
ตามคติอินเดีย พระพิฆเนศเป็นเทพแห่งความสำเร็จ ในทุกศาสตร์ ทุกกิจกรรม เป็นเทพแห่งความสำเร็จ และความกตัญญู การบูชา และถวายเครื่องสักการะต่อองค์พระพิฆเนศปางเสวยสุขนั้น เชื่อกันว่าจะทำให้เกิดความสุขสบาย ไร้ทุกข์ ไร้ความเศร้าหมอง มีกินมีใช้้ มีโชคลาภ เครื่องบูชาองค์พระพิฆเนศที่เหมาะสม มักจะเป็นผลไม้ เช่นกล้วยน้ำว้า กล้วยหอม มะพร้าว มะม่วง สับปะรด องุ่น แอปเปิ้ล ชมพู่ มะละกอ อ้อยควั่น ขนมหวานเช่น ขนมถ้วยฟู ทองหยิบ ทองหยอด ลูกชุบ โดยเฉพาะขนมลาดู** เป็นขนมที่องค์พระพิฆเนศโปรดมาก ดอกไม้มักเป็นดอกไม้สีสด อย่างดอกชบา ดาวเรือง เบญจมาศ และธูป 9 ดอก และควรงดอาหารคาว
* หลายคนที่ยังไม่เคยทราบประวัติพระพิฆเนศ อาจสงสัยว่า ทำไมองค์ท่านจึงเสียงาข้างหนึ่ง เรื่องราวได้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ปุราณะ กล่าวว่า เดิมพระพิฆเนศ มี 2 งา แต่มีเหตุให้ต้องเสียงาเนื่องจาก ปรศุราม (อวตารปางหนึ่งของพระวิษณุ) ต้องการเข้าเฝ้าพระศิวะ (พระบิดาของพระพิฆเนศ) ที่กำลังบรรทมอยู่ พระพิฆเนศได้ห้ามไว้เพราะอาจเป็นการรบกวน ส่วนพระปรศุรามถือว่าตนเป็นคนโปรดพระศิวะ ยืนยันที่จะพบพระศิวะให้ได้ จึงได้เกิดการสู้รบกันขึ้น พระพิฆเนศใช้งวงจับปรศุรามขว้างไปจนสลบ เมื่อฟื้นขึ้นปรศุรามจึงใช้ขวานที่พระศิวะประทานให้ขว้้างไปที่พระพิฆเนศ เมื่อพระพิฆเนศเห็นขวาน จำได้ว่าเป็นของพระศิวะผู้เป็นบิดา จึงไม่ยอมสู้ ได้แต่ก้มลงรับขวานไว้ด้วยงาข้างหนึ่ง จนทำให้งาหักไป หลังจากนั้นพระพิฆเนศจึงมีงาเดียว และได้พระนามว่าเอกทันตะคเณศ แปลว่าผู้มีงาเดียวตั้งแต่นั้นมา ซึ่งต่อมาพระพิฆเนศได้ใช้งาที่หักนี้มาเขียนคัมภีร์มหากาพย์มหาภารตะนั่นเอง
** ขนม "ลาดู" เป็นขนมอินเดียโบราณ ส่วนผสมหลักคือแป้งถั่ว (Besan) และเนยอินเดียที่เรียกว่า กีห์ (Ghee) ปั้นเป็นทรงกลม สีออกเหลืองน้ำตาล ลาดูเป็นขนมที่ทำขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เพื่อบูชาองค์เทพ มีหลายประเภท เช่นเบซานลาดู (Besan Ladoo) แอตต้าลาดู (Atta Ladoo) โมทกะลาดู (Mothichoor Ladoo) เชื่อกันว่าองค์มหาเทพพิฆเนศทรงโปรดขนมลาดูประเภท "โมทะกะลาดู" หากใครบูชาท่านด้วยขนมลาดู ท่านจะประทานพรให้สำเร็จสมความปรารถนา
พระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานบุตร
เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ใหญ่ หันหน้าออกไปยังแม่น้ำบางปะกง ตั้งอยู่ทางขวาขององค์พระพิฆเนศ พระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานบุตร เป็นปางที่มือข้างหนึ่งถือหรืออุ้มเด็กไว้ ประทับยืนอยู่บนดอกบัว โดยได้คติความเชื่อมาจากลัทธิเต๋า หมายถึงความเมตตา มีคนค้ำชู ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข และเป็นสัญลักษณ์ของการขอประทานพรให้มีบุตรไว้สืบสกุล คนมักจะมาขอพรให้ได้ลูก (ว่ากันว่าขอแล้วมักจะได้ลูกชาย)
พระพรหม
พระพรหมองค์ใหญ่ ประทับหันหน้าออกไปทางแม่น้ำบางประกง เช่นเดียวกันกับพระพิฆเนศ และพระแม่กวนอิม เป็นองค์ล่าสุดที่เพิ่งสร้างเสร็จ อยู่ด้านริมขวาสุด ถัดจากพระโพธิสัตว์กวนอิม พระพรหมมี 4 พักตร์ 8 กร ที่ฐานขององค์เทพ ทำเป็นห้องขอพรพญาครุฑ
** พระพรหม เป็นเทพเจ้าสูงสุดตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นเผู้สร้างโลก ให้กำเนิดสิ่งต่างๆ ในจักรวาล เป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ที่กำหนดชะตาชีวิต ลิขิตความเป็นไปของมวลมนุษย์ เป็นเทพผู้มีจิตใจดี ทรงมีเมตตา
ศาลาหลวงพ่อพุทธโสธร 5 พี่น้อง
ศาลาหลวงพ่อพุทธโสธร 5 พี่น้อง เป็นศาลาริมน้ำ อยู่ทางซ้ายมือสุด เป็นศาลาที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 5 พี่น้อง หนึ่งในนั้นคือ พระพุทธโสธร ซึ่งตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า พระพุทธรูปทั้ง 5 องค์ (หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หลวงพ่อวัดไร่ขิง และหลวงพ่อทองวัดเขาตะเครา) เป็นพระพุทธรูปที่ไหลล่องมาตามลำน้ำจากทางภาคเหนือ แล้วไปผุดโผล่ตามที่ต่างๆ จนเป็นที่ขนานนามกันว่าเป็น พระพุทธรูป 5 พี่น้อง
อุโบสถหลังใหม่
อุโบสถหลังใหม่ของวัดสมานรัตนาราม อยู่ถัดเข้ามาจากศาลาหลวงพ่อพุทธโสธร 5 พี่น้อง ติดกับลานจอดรถที่อยู่ด้านใน ใช้เวลาในการก่อสร้าง 14 เดือน อุโบสถหันหน้าออกไปทางแม่น้ำ มีทางขึ้นลง 2 ด้าน แต่ละด้านมีประตูทางเข้า 2 ประตู ตัวอาคารทาสีขาวโพลนทั้งหลัง รวมถึงหลังคาซ้อนชั้นสีขาว และลงสีทองตัดเส้นเป็นบางส่วน เช่นบริเวณหน้าบัน ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ บัวหัวเสา คันทวย (ส่วนค้ำยันหลังคา) และกรอบประตูหน้าต่างที่ทำเป็นซุ้มยอดมณฑป ทำให้โบสถ์ดูงดงาม โดดเด่น สงบสบายตา นอกจากนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามาภิไธยย่อ "สธ" บริเวณหน้าบันอุโบสถ และทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินพระราชทาน ส่วนภายในอุโบสถประดิษฐานหลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 129 นิ้ว เนื้อทองเหลืองสำริด จำลองมาจากหลวงพ่อโตองค์เดิมที่มีอายุกว่า 120 ปี และเป็นพระประธานองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดด้วย
อุโบสถหลังเก่า
อุโบสถหลังเก่า อยู่ถัดมาด้านใน เยื้องไปทางด้านหลังของโบสถ์หลังใหม่ เป็นอุโบสถเก่าที่มีอายุมากกว่า 120 ปี ยังคงได้รับการบูรณะซ่อมแซมและเก็บรักษาไว้
ศาลาหลวงพ่อองค์ดำ
ศาลาหลวงพ่อองค์ดำ เป็นศาลาโล่ง อยู่ด้านหลังพระพิฆเนศปางนอนเสวยสุข ภายในประดิษฐานหลวงพ่อองค์ดำ ซึ่งจำลองมาจาก "หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ" ที่ประดิษฐานอยู่ที่เมืองนาลันทา แห่งกรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย ซึ่งองค์จริงเป็นพระพุทธรูปแกะสลักจากหินสีดำ ตามประวัติบันทึกไว้ว่า เป็นความมหัศจรรย์ที่เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่เหลือจากการเผาทำลายวัดและศาสนสถานจากชาวมุสลิม และยังเป็นพระพุทธรูปที่ไม่ถูกอังกฤษยึดไปในยุคที่อังกฤษปกครองอินเดีย ผู้คนต่างศรัทธาต่อหลวงพ่อดำ และมักจะอธิษฐานขอหลวงพ่อให้ช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ
พระราหู
เป็นพระราหูองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ด้านหน้า ริมทางเดินบริเวณร้านค้า และลานจอดรถ พระราหูมีกายสีดำ มีเพียงครึ่งท่อนบน ทรงเครื่องประดับทอง และกำลังทำท่าอมดวงจันทร์
การไหว้หรือบูชาพระราหู จะต้องบูชาด้วยของดำทั้งหมดเท่านั้น ทางวัดมีจุดจำหน่ายเครื่องบูชา โดยมีของดำเตรียมไว้ให้ในถาด ประมาณ 7-8 อย่าง เช่น ถั่วดำ งาดำ ขนมปังกรอบสีดำ ดอกอัญชัญสีดำ เม็ดข้าวก่ำ ลูกอมรสกาแฟ(สีดำ) ไข่เยี่ยวม้า องุ่น ดอกไม้แห้ง(ทำเป็นสีดำ)
พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ (ช้างสามเศียร)
พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับพระราหู มีผู้คนมาลอดท้องช้าง เพื่อสะเดาะเคราะห์ และเพื่อความเป็นสิริมงคล
นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีรูปเคารพอื่นๆ และจุดที่ให้ชมอีกมากมาย เช่น พระพุทธมหากรุณาคุณประสิทธิ์ (พระพุทธรูปปางลีลา) หุ่นขี้ผึ้งของเกจิอาจารย์ต่างๆ พ่อปู่บรมครูฤาษี พระศิวะ พระแม่อุมา พระบรมสารีริกธาตุกลางดอกบัว องค์พระธาตุอินแขวนจำลอง เป็นต้น
ข้อแนะนำ
การเดินทาง
ห่างจากสวนปาล์มฟาร์มนก 10 กิโลเมตร
ห่างจากตลาดบ้านใหม่ / วัดเล่งฮกยี่ 13 กิโลเมตร
ห่างจากวัดหลวงพ่อโสธร 17 กิโลเมตร
ห่างจากคุ้มวิมานดิน 14 กิโลเมตร
ห่างจากวัดปากน้ำโจ้โล้/ พระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน 16 กิโลเมตร
ห่างจากตลาดน้ำบางคล้า / วัดโพธิ์บางคล้า 19 กิโลเมตร
เส้นทางที่ 1 มอเตอร์เวย์ (หรือบางนา-ตราด) -> บางปะกง-ฉะเชิงเทรา (314) -> ฉะเชิงเทรา-พนมสารคาม (365) -> ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี (304)
เป็นเส้นทางที่ตรงมาที่อำเภอบางคล้าเลย ไม่ผ่านเข้าไปในตัวเมืองฉะเชิงเทรา และไม่ผ่านวัดหลวงพ่อโสธร
1 | จากกรุงเทพฯ มาทางถนนบางนา-ตราด หรือ มอเตอร์เวย์ ให้เลี้ยวตามป้ายบอกทางมายังจังหวัดฉะเชิงเทรา (เส้น 314) |
2 | เมื่อเลี้ยวเข้าถนนบางปะกง - ฉะเชิงเทรา ให้ตรงตามเส้นทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง เห็นป้ายบอกทางเลี้ยวขวาไป อ.พนมสารคาม (365 หรือ 314 เดิม) จึงเลี้ยวขวา |
3 | เมื่อเลี้ยวขวามาแล้ว เส้นทางจะเปลี่ยนไปเป็นเส้น 304 (ฉะเชิงเทรา - กบินทร์บุรี) ให้ตรงตามเส้นทางนี้ไปอีกประมาณ 9 กิโลเมตร |
4 | จากนั้นจะเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไปวัดสมาน ให้เลี้ยวซ้ายตรงซุ้มทางเข้าวัดจุกเฌอ |
5 | เมื่อเลี้ยวแล้ว ตรงต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร จะเห็นซุ้มประตูทางเข้าวัดสมาน ทางขวามือ จึงเลี้ยวขวา |
6 | เมื่อเลี้ยวผ่านซุ้มประตูทางเข้ามาแล้ว ยังคงต้องตรงตามเส้นทางไปอีกราว 500 เมตร จึงจะเป็นลานจอดรถ มีทั้งทางซ้าย และขวา หรือจะตรงเข้าไปเรื่อยๆ ก่อนก็ได้ จะมีลานจอดรถด้านในอีกจุดหนึ่ง บริเวณด้านหลังพระพิฆเนศองค์ใหญ่ (จอดได้ประมาณ 50 คันและอาจเต็มเร็ว) |
เส้นทางที่ 2 มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา (ถนนสุวินทวงศ์)(304) -> อ.บางน้ำเปรี้ยว (365) -> ถนนสายในไป อ.คลองเขื่อน
เป็นเส้นทางที่สะดวก เข้าเส้นทางสายใน ไม่ผ่านตัวเมืองฉะเชิงเทรา (เลี่ยงเส้นรถติดได้ด้วย)
1 | เส้นทางเริ่มจากถนนสุวินทวงศ์ (มีนบุรี) ตรงมาทางจังหวัดฉะเชิงเทรา |
2 | เมื่อเข้าเขตจังหวัดฉะเชิงเทราแล้ว ก็ยังคงตรงไปเรื่อยๆ จนเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไป อ.บางน้ำเปรี้ยว (365 หรือ 304 เดิม) (แยกสตาร์ไลท์) จึงเลี้ยวซ้าย * ช่วงแรกจะมีแยกเลี้ยวซ้ายไป อ.บางน้ำเปรี้ยว (แต่เป็นทางหลวงหมายเลข 3481) ยังไม่ต้องเลี้ยว ให้ตรงมาเลี้ยวตรงแยกสตาร์ไลท์ |
3 | เมื่อเลี้ยวซ้ายมาแล้ว ตรงตามเส้นทางไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร จะมาสุดตรงสามแยกรูปตัวที (T) แยกนี้ให้เลี้ยวขวา (แยกบางขวัญ) |
4 | เมื่อเลี้ยวมาแล้ว ตรงไปอีกราวๆ 6.5 กิโลเมตร จะเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไปวัดสมานรัตนาราม จึงเลี้ยวซ้ายตามป้าย * ตรงแยกนี้ จะเป็นซ้ายหักศอก ข้ามคลองไปแล้วจึงเลี้ยว |
5 | เลี้ยวมาแล้ว จะเป็นถนนเลียบคลองชลประทาน จากนั้นตรงไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร จะมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวขวา |
6 | เลี้ยวขวามาได้ราวๆ 4 กิโลเมตร ข้ามแม่น้ำบางปะกงไปไม่ไกล จะเห็นซุ้มประตูทางเข้าวัดอยู่ทางซ้ายมือ |
7 | เมื่อเลี้ยวผ่านซุ้มประตูทางเข้ามาแล้ว ต้องตรงเข้าไปอีกราว 500 เมตร จึงจะเป็นลานจอดรถ |
เส้นทางจากวัดหลวงพ่อโสธร ไปวัดสมานรัตนาราม
จากวัดหลวงพ่อโสธร แนะนำให้ใช้ถนนสายหลัก เส้น 304 (ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี) จะได้ไม่เสี่ยงต่อรถติดภายในตัวเมืองจากนั้นจะมีป้ายบอกทางเลี้ยวไปวัดสมาน
1 | เส้นทางเริ่มต้นจากวัดหลวงพ่อโสธร เมื่อออกจากวัดให้เลี้ยวซ้าย |
2 | ตรงตามถนนเทพคุณากรมาได้ประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ จะมีป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไป อ.บางคล้า จึงเลี้ยวซ้าย |
3 | เลี้ยวซ้ายมาสัก 1 กิโลเมตร จะเป็นทางออกไปบรรจบกับเส้นฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี เป็นเส้นทางบังคับเลี้ยวซ้าย |
4 | เมื่อเลี้ยวออกมาตามถนนสายหลัก ตรงตามเส้นทางไปกบินทร์บุรี อีกเกือบ 12 กิโลเมตร จึงจะเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไปวัดสมาน (เป็นซุ้มทางเข้าวัดจุกเฌอ) |
5 | เลี้ยวมาแล้วให้ตรงไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร จะเห็นซุ้มประตูทางเข้าวัดสมาน ทางขวามือ จึงเลี้ยวขวา |
6 | เมื่อเลี้ยวผ่านซุ้มประตูทางเข้ามาแล้ว ตรงตามเส้นทางไปอีกราว 500 เมตร จะเป็นลานจอดรถ |
จากตลาดบ้านใหม่ ไปวัดสามนรัตนาราม
1 | ออกจากตลาดเลี้ยวขวา ผ่านวัดจีนประชาสโมสร (เล่งฮกยี่) จากนั้นจะมีป้ายทางแยกขวา ไปอ.คลองเขื่อน จะเป็นแยกเหมือนรูปตัว Y ให้แยกไปทางขวา (ทางเดียวกับคุ้มวิมานดิน) |
2 | เลี้ยวแล้วจะเป็นทางเลียบคลองชลประทาน ไปประมาณ 6 กิโลเมตร จนเห็นป้ายบอกให้เลี้ยวขวาไปวัดสมานรัตนาราม |
3 | เมื่อเลี้ยวขวาแล้ว ตรงไปอีกราว 4 กิโลเมตร พอข้ามแม่น้ำบางปะกงไปหน่อย จะเห็นซุ้มทางเข้าวัดอยู่ทางซ้ายมือ |
4 | เมื่อเลี้ยวซ้ายแล้ว ตรงเข้าไปอีก 500 เมตร ก็จะเป็นลานจอดรถขนาดใหญ่ทั้งทางซ้าย และขวา |
ข้อมูลการติดต่อ วัดสมานรัตนาราม
ที่อยู่ หมู่ 11 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
โทร 081-983-0400
เวลาเปิด 9.00 - 17.00 น.