[แชร์ประสบการณ์] การเรียนรู้และฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ทำยังไง และวิธีไหนได้ผลบ้าง

หัวข้อกระทู้ ใน 'คลังสาระพัดความรู้' เริ่มโพสต์โดย Number18, 20 มิถุนายน 2014.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    1389713443_586643324_1-Fotos-de--Clases-de-Ingles-en-La-Plata-English-By-Yourself-Profile.jpg

    คิดอยู่นานเลยว่าจะเอาข้อมูลอะไรมาฝากเพื่อน ๆ ชาวชลบุรีดี ซึ่งในที่สุดก็คิดได้แล้ว ว่าอะไรน่าจะพอเป็นประโยชน์ได้บ้าง ซึ่งก็คือ การเอาประสบการณ์การฝึกภาษาอังกฤษ ที่ตัวผมเองได้ทดลองทำมาแล้ว มาแชร์ให้ได้รับรู้กันว่า อะไรบ้างที่ได้ผลดี และอะไรบ้างที่ไม่ได้ผล และจะพยายามวิเคราะห์ให้ด้วย (ผิดถูกไม่รู้นะ) ว่าทำไมถึงไม่ได้ผล

    ผมเชื่อเลยว่า มีคนจำนวนมากที่อยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้น ต้องการที่จะสามารถอ่านข้อมูลต่าง ๆ จาก Text Book หรือจากเว็บนอกได้ สามารถฟังฝรั่งพูดรู้เรื่อง จับประเด็นได้ดี และสามารถโต้ตอบกับเค้าได้บ้าง…

    แม้ว่าตัวผมเองจะไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษถึงขั้นระดับเทพ แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับดีทีเดียว (พอที่จะไปประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้) แต่หากใครที่เก่งภาษามาก ๆ อยากเพิ่มเติม ตรงไหน จัดมาได้เลยนะ เพราะผมเชื่อว่าคนที่เก่ง ๆ มีอยู่อีกมากเลย และตัวผมเองยังต้องเรียนรู้อีกมาก

    ก่อนจะเริ่มแชร์ประสบการณ์ ขอให้คนที่อยากเก่งภาษาอังกฤษ จำไว้อย่างนึงว่า … การที่จะเก่งภาษานั้น ไม่มีทางลัด ไม่มีหลักสูตร ที่จะทำให้เก่งได้ ภายใน 1 เดือน หรือ 1 ปี ..

    --------

    ตั้งใจ ฝึกพื้นฐาน + ความสนุกสนาน

    ก่อนที่ภาษาอังกฤษผมจะอยู่ในระดับที่ดีอย่างทุกวันนี้ ในตอนแรกผมมีสกิลภาษาอังกฤษที่ไม่ดีเลย แม้ว่าจะโชคดีที่ได้เรียนอังกฤษมาตั้งแต่ยังเล็กก็ตาม ถ้าพูดไปตอนนี้ หลาย ๆ คนรอบตัวผมอาจจะไม่เชื่อว่า ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่นั้น ผมไม่ได้แม้กระทั่งคำแปลของคำศัพท์พื้นฐาน อย่างเช่น คำว่า will, with, of, at เป็นต้น

    แต่ถึงกระนั้น.. ทุกวิชาที่เป็นภาษาอังกฤษตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย ผมตั้งใจเรียนตลอด (แตกต่างจากตอนก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง) เพราะเริ่มตระหนักได้แล้วว่า ภาษาอังกฤษ น่าจะมีความจำเป็นอย่างมากในชีวิต รวมถึงสาขาวิชาโทที่เลือก ก็ยังเลือกภาษาอังกฤษด้วย.. ซึ่งก็ถือว่าทำให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นอีกนิดหน่อย แต่ด้วยพื้นฐานที่ไม่ดี ทำให้เราไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้มากนัก แถมศัพท์พื้นฐานก็ยังรู้บ้างไม่รู้บ้างอีกต่างหาก

    ในช่วงเทอมสุดท้าย ก่อนจะจบปี 4 ด้วยความที่ค่อนข้างว่าง เพราะวิชาที่ลงเรียนมีไม่มากแล้ว ผมก็ตัดสินใจที่จะพัฒนาภาษาอังกฤษ ด้วยการเล่นเกม RPG ในยุคเก่า (หรือที่รู้จักกันว่า เกมภาษา) โดยเกม นั้นมีชื่อว่า Chrono Trigger .. แต่ไม่ได้เล่นสนุก ๆ อย่างตอนประถม หรือ มัธยมอีกต่อไปแล้ว เพราะมีเงื่อนไขกับตัวเองว่า จะต้องแปลทุกคำพูดภาษาอังกฤษที่เจอในเกม ให้เป็นภาษาไทยทั้งหมด ซึ่งผมก็พยายามเล่นตั้งแต่แรกจนจบเลยทีเดียว

    และถ้าถามว่าวิธีนี้ได้ผลหรือไม่ บอกตรง ๆ เลยว่า ได้ผลเกินคาดมาก ๆ เลย เพราะว่าทำให้รู้คำแปลของศัพท์พื้นฐานเป็นจำนวนมาก เพราะต้องเจอแทบจะตลอดทั้งเกมส์ ชนิดที่ว่า ไม่ต้องเปิด Dictionary เพื่อหาความหมายของคำเหล่านั้นอีกต่อไป .. แต่ช่วงแรก ๆ ต้องพยายามหน่อย เพราะว่าไม่รู้คำศัพท์เลย ต้องเปิดหาความหมายแทบทุกคำ และบางคำต้องเปิดแล้วเปิดอีก (หงุดหงิดตัวเองมาก ว่าทำไมจำไม่ได้สักที) แต่พอเริ่มเข้าที่เข้าทาง เราจะจำได้เอง และพอเจออีก มันก็จะเป็นการย้ำให้เราดึงความหมายนั้นจากสมองของเราโดยตรง ยิ่งทำให้จำได้ดีเข้าไปอีก

    - อย่าพยายามเล่นเกมส์ที่มีคำพูดมาก ๆ โดยเฉพาะเกมภาษา สมัยใหม่ คำพูดนี่แปลกันเป็นวัน ไม่รู้จะวนกลับมาที่คำเดิมมั่งหรือเปล่า .. ถ้าใครไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง แนะนำ chrono trigger เลย พอแปลแล้วสนุกด้วย เพราะทำให้รู้เนื้อเรื่องของเกมส์

    ----------------

    การฝึก Grammar
    พอมาถึงช่วงทำงานใหม่ ๆ ด้วยความที่ไม่มีเวลา แต่ก็อยากเป็นภาษาอังกฤษ ก็เลยไปลงเรียนตามคอร์สต่าง ๆ (เคยกล่าวไปแล้วในหัวข้อ เคยเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนบ้าง? ) ซึ่งก็ถือว่าโอเค เป็นการปูพื้นฐานให้กับตัวเอง แต่ว่าเรียนไปเรียนมา ก็รู้สึกว่า วน ๆ อยู่กับแกรมม่าพื้นฐานนั่นแหละ เพราะเราเองก็พื้นฐานไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ทั้ง AUA และ Nava School ในตอนนั้น (ตอนนี้เป็นโรงเรียนรักภาษา ตรงแยกบ้านสวนไปแล้่ว)

    แต่บังเอิญว่า ต้องหยุดเรียนไป เพราะย้ายที่ทำงานไปทำที่พัทยา ซึ่งตอนนี้ ที่ ๆ พักอยู่ไม่ค่อยสะดวกในการเดินทางไปเรียนด้วย จึงเป็นครั้งแรกที่ผมต้องเรียนรู้ภาษาด้วยตนเอง โดยการไปหาซื้อหนังสือมาอ่าน ซึ่งบอกได้เลยว่า … รู้งี้ ไปหาซื้อหนังสือมาอ่าน ตั้งนานละ เพราะทำให้พื้นฐานภาษาอังกฤษเราแน่นขึ้นมาก ถ้าอ่านหนังสือพวกนี้ก่อนนะ ตอนเรียน ม.ต้น คงจะทำข้อสอบบางอย่างได้สบาย ๆ เลย

    หนังสือ เป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับคนอยากฝึกภาษาอังกฤษ เพราะต่อให้เราไปเรียนตามคอร์สต่าง ๆ ก็แค่ วันละ 2 ชั่วโมง (แถมไม่ได้เรียนทุกวันอีกต่างหาก) แต่หากเราเรียนแล้วมาอ่านเพิ่มเติมด้วย หรือ วันไหนไม่ได้เรียน ก็เอาเวลามาอ่านเพิ่มเติม แทนการไปเรียน ก็จะทำให้เรามีความเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษมากขึ้น ไม่ใช่เรียนไปแล้วก็ลืมหมด

    ขอแนะนำเพิ่มเติม ตรงนี้ว่า คนที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเรียนภาษาอังกฤษ สามารถทำให้เราต้องจ่ายถูกลง หรือไม่ต้องจ่ายเลยได้ หากพยายามอ่านหนังสือ เพื่อปูพื้นฐานด้วยตนเองก่อน เพราะคนที่เข้าไปเรียนตามคอร์สต่าง ๆ นั้น ตอนแรก ๆ เค้าก็สอนเราจากพื้นฐานง่าย ๆ นี่แหละ แต่หากเราเป็นอยู่แล้ว เราก็สามารถไปเรียนระดับที่สูงกว่าได้เลยไงล่ะ (* แต่การเรียนตามคอร์ส จะทำให้เราได้พูดโต้ตอบกับฝรั่งจริง ๆ ซึ่งเราไม่สามารถฝึกด้วยตนเองได้ .. แต่ปัจจุบันอาจมีทางออนไลน์เป็นอีกทางเลือกด้วย)

    แต่กระนั้น… ขอไม่แนะนะหนังสือประเภทที่ให้ท่องจำ โดยเฉพาะพวกรวมสูตรแกรมม่า คนพื้นฐานไม่ดีควรเริ่มจากความเข้าใจมากกว่า ท่องจำไปก็จำไม่ได้หรอก พอไม่ได้ใช้เดือนต่อไป ก็ลืมหมดแล้ว… เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะอยากถามว่ามีหนังสือแนะนำหรือไม่? ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว เพราะส่วนตัวแล้วชอบมาก (ไม่ได้รู้จัก อ. ที่เขียนนะ) เพราะเขียนแบบ Pocket Book ซึ่งมีการอธิบายไว้ค่อนข้างมาก รวมถึงยังอ่านง่าย ไม่น่าเบื่ออีกด้วย

    ขอแนะนำหนังสือ 3 (หรือ 4) เล่มตามนี้ ซึ่งเป็นของ อ.พนิตนาฏ ทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่ายังพิมพ์อยู่หรือเปล่านะ (ใครมีเล่มอื่น อ. คนอื่น โปรดแนะนำด้วย)
    1. อ่านเล่มนี้จบ พร้อมเรื่อง Tense (แค่เรื่อง tense 12 แบบ เล่มหนาเหมือนกัน แต่อ่านแล้วเข้าใจ )
    2. Grammar ให้รู้ไม่ใช่ งู ๆ ปลา ๆ เล่ม 2 (ถ้าใครมีกำลังทรัพท์ + ชอบอ่านหนังสือ ก็เล่ม 1 ด้วยก็ดี)
    3. เทคนิคการทำข้อสอบ TOEFL โดยไม่ต้องแปลโจทย์ เล่ม 1 (เนื้อหาช่วงต้น เข้าใจยากพอสมควรเลย แต่อ่านผ่าน ๆ ไว้ แล้ววันนึงมันจะช่วยคุณได้มาก แต่ที่พลาดไม่ได้เลย คือ ดูการวิเคราะห์ข้อสอบ 100 ข้อด้านหลังเล่ม ลองทำทีละข้อ แล้วดูเฉลย ได้ประโยชน์สุด ๆ ชนิดที่ว่า ทำให้คุณ เห็นโจทย์ปุ๊บ กาคำตอบปั๊บเลยทีเดียว... * ไม่แนะนำเล่ม 2 และ 3 เพราะเนื้อหาอาจจะเข้มข้นมากเกินไป)

    -----------

    การท่องศัพท์ ได้ผลมากน้อยแค่ไหน

    เชื่อเหอะว่า มีคนจำนวนมาก ถูกบอกมาว่า ให้ท่องศัพท์ วันละ 3 คำ 5 คำ หรือ 10 คำ (แล้วแต่คนจะบอก) ซึ่งผมบอกได้เลยว่า ผมไม่สนับสนุนวิธีนี้แบบสุด ๆ เพราะตัวผมเองลองกับตัวเองมาแล้ว โดยที่ผมเป็นคนที่มีความจำค่อนข้างดีมากเลยด้วย แต่การท่องศัพท์ ส่วนตัวแล้วผมมองว่า มันเป็นเพียงแค่ความจำระยะสั้นเท่านั้น ส่วนเหตุผลน่ะเหรอ ลองมาดูกันดีกว่า

    มีช่วงเวลาที่ผมเพิ่งทำงานใหม่ๆ พอดีเริ่มอ่าน Text Book ด้วย เพราะว่าพยายามศึกษาข้อมูลนี่ล้ำหน้ากว่าของต่างประเทศ ซึ่งช่วงนี้ผมจะเจอคำศัพท์ใหม่ ๆ เยอะมาก เพราะมันเป็นศัทพ์ที่ไม่ใช่คำพื้นฐาน ที่เจอได้ในเกมส์บ่อยๆ และพอเจอคำใหม่ 1 คำ ผมจะจดลงสมุดทันที และมันก็จะมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ โดยที่สมุดเล่มนี้ไม่ได้จดทิ้งไว้เฉย ๆ นะ แต่ผมจะท่องทุกวัน ตอนที่ผมนั่งรถเมล์ไป-กลับบ้าน (ปกติใช้่เวลา 45 นาที - 1 ชั่วโมง) และแน่นอนว่า ช่วงนั้นจำได้หมดเลย ..

    แต่พอชะล่าใจคิดว่าจำได้แล้ว ก็เอาเวลาไปฝึกอย่างอื่นต่อ ก็เลยไม่ได้ท่องเลย เชื่อไหมว่าเวลาผ่านไป ประมาณ 2 เดือน คำศัพท์ในนั้น ผมจำความหมายได้แค่ประมาณ 10% เท่านั้น ซึ่งผมคิดว่า มันช่างไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไปในการท่องเอาเสียเลยจริง ๆ

    อันนี้เป็นความเชื่อสว่นบุคคลนะ ส่วนใครจะลองวิธีนี้ เพราะได้ผลดีกว่า ก็คงต้องมาทางนี้แล

    * สำหรับวิธีนี้ ถ้าจะให้ได้ผลมาก ๆ ต้องหาตัวอย่างดูด้วยว่า ศัพท์ คำนั้น ใช้กับประโยคแบบไหนบ้าง

    -----------

    การฟัง ที่แสนยากลำบาก

    การฟัง เป็นเรื่องที่บอกได้เลยว่า ยากมาก โดยเฉพาะคนที่รู้คำศัพท์น้อย เพราะนอกจากจะฟังไม่ทันแล้ว ยังไม่รู้คำแปลของคำที่ฟังทันอีกด้วย! เพราะฉะนั้นคำศัพท์ ก็ยังเป็นพื้นฐานมายังเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเรื่องศัพท์คงต้องฝึกไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ จำไปทีละนิด จากการอ่านบ้าง เล่นเกมส์บ้าง ดูหนังบ้าง อันนี้แล้วแต่เลย

    แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศัพท์ผมจะรู้ยังไม่เยอะ ผมก็ยังยังต้องฝึกฟังอยู่ดี เพื่อให้พอฟังได้ว่าทางนู้นพูดคำว่าอะไร ตอนแรกก็ดูการ์ตูนช่องเด็ก ที่พูดเป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียว (ฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง แต่ก็สนุกทุกครั้งที่ฟังบางประโยคทัน) ซึ่งพอเริ่มคิดว่าเป็นวิธีที่น่าจะดี ก็เลยหาหนังการ์ตูน เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมาดู ซึ่งเรื่องที่ว่าก็คือ ดราก้อนบอล (ภาคเด็ก) ซึ่งช่วงวันหยุดก็นั่งดูทั้งวันเลย ก็สนุกดี ซึ่งทำให้เราฟังและแปลเป็นอัตโนมัติเลย ถ้าดูบ่อย ๆ เลยรับรองการฟังต้องดีแน่ ๆ

    อีกวิธีนึงที่ได้ผลดี และเป็นวิธีที่มีการบอกกันมาอย่างแพร่หลายก็คือ การดูหนัง sound track + ซับภาษาอังกฤษ ซึ่งจะทำให้เราต้องฟังเสียงจากฝรั่ง และยังมีบอกด้วยว่าคำศัพท์คำนั้นคืออะไร ทำให้เราเรียนรู้ศัพท์ไปในตัว แต่ว่าศัพท์ในหนังแต่ละเรื่อง มีศัพท์ค่อนข้างเยอะ ทำให้เราจำไม่ค่อยได้ ไม่เหมือนการ์ตูน ที่มักจะใช้คำเดิมอยู่บ่อยครั้ง

    อีกวิธีนึง สำหรับการฝึกฟังด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีแบบจับยัดเข้าหัวเลยก็คือ นั่งฟังข่าวอย่างพวก CNN / BBC กรอกเข้าหูทุกวัน ๆ .. บอกตรง ๆ แรก ๆ ฟังไม่รู้เรื่องเลย เพราะพูดเร็วมาก แต่พอเวลาผ่านไปสัก 2 สัปดาห์ - 1 เดือน จะสามารถจับคำพูดได้ว่าพูดว่าอะไร (แม้ว่าจะไม่รู้ความหมายก็เหอะ) และจะทำให้รู้ด้วยว่า แม้ว่านักข่าวจะพูดเร็ว แต่การออกเสียงจะค่อนข้างชัด (โดยส่วนตัวแล้วยังรู้สึกว่า วิธีการอ่านข่าวของแต่ละที่ จะมีรูปแบบคล้าย ๆ กัน เช่น การเน้นคำ การเว้นช่วงประโยค เป็นต้น แต่สำเนียงของแต่ละประเทศจะยังคงต่างกันอยู่ดี)
    Last edited: 20 มิถุนายน 2014
  2. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    ขอสรุป คำแนะนำตามนี้แล้วกันนะ

    การเรียนรู้คำศัพท์ด้วยตนเอง
    - เรียนรู้คำศัพท์ เล่นเกมส์ หรือ อ่านการ์ตูน ภาษาอังกฤษ (การ์ตูนที่เราเคยอ่านแล้วในภาษาไทย จะง่ายกว่า เพราะเดาคำแปลได้เลย เช่น ลองอ่าน ดราก้อนบอล / นารุโตะ ตั้งแต่เล่มแรก)
    * เล่นเกมส์ RPG ง่าย ๆ จะไม่หงุดหงิด เพราะมีคำศัพท์อยู่ไม่มาก ทำให้ไม่เบื่อที่จะแปล

    การฝึก Grammar ด้วยตนเอง
    - ซื้อหนังสือมาอ่าน (เล่มที่แนะนำก็ได้ หรือ ลองไปอ่าน ๆ ดูตามร้านหนังสือดู ว่าอ่านแล้วเข้าใจหรือเปล่า ถ้าอ่านแล้วโอเค ก็ซื้อไปเหอะ หนังสือเล่มนึง ยังถูกกว่ากินข้าวในห้างมื้อนึงเลย)
    - ลองหาดูเพิ่มเติม ใน Youtube ด้วยก็ได้

    การฝึกฟังภาษาอังกฤษ ด้วยตนเอง
    - หาดูการ์ตูน อนิเมชั่น ใน version ภาษาอังกฤษ แนะนำให้ดูเรื่องที่เรารู้เนื้อเรื่องอยู่บ้างแล้ว จะทำให้เราเดาความหมายได้ ซึ่งการ์ตูน จะเป็นเสียงคนพากย์เข้าไป ทำให้เสียงดัง ฟังชัด (ฟังง่ายกว่าการดูหนัง)
    - นั่งฟังข่าวทุกวัน ๆ วันละครึ่งชั่วโมง ดูมั่งหลับมั่งก็ดูเข้าไป (แต่พยายามมีสมาธิกับข่าวที่ดูให้มากที่สุด ฝึกออกเสียงตามไปด้วยก็ได้)

    การฝึกพูด สนทนาโต้ตอบ
    - อันนี้ฝึกเองยาก เพราะไม่มีคนโต้ตอบด้วย (นอกจากจะหาเพื่อนฝรั่งที่คุยกันผ่านเน็ตได้ .. แต่ถ้าเราคุยไม่รู้เรื่อง เค้าจะคุยกับเรามั้ยเนี่ย)
    - แนะนำว่า ลองฝึกออกเสียง ตามคลิปใน Youtube ไปก่อน พออะไรหลาย ๆ อย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็ค่อยไปลงคอร์สเรียน (ถึงตอนนั้นก็อยู่ เลเวลสูงขึ้นมาหน่อยแล้ว คงได้พูดในคลาสเยอะขึ้น)
    Last edited: 20 มิถุนายน 2014

แบ่งปันหน้านี้