เรื่องในมอ (มหาวิทยาลัย) ที่ฉันต้องจำไปจนตาย [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 10 เมษายน 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจอย เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก ที่มหาลัยมีกฎอยู่ว่า นักศึกษาปี 1 ทุกคนจะต้องอยู่หอใน และอยู่กับรูมเมทที่มหาวิทยาลัยสุ่มมาให้เท่านั้น

    รูมเมทของฉันชื่อแพร เธอมาจากโรงเรียนผู้ดีอันดับต้นๆของจังหวัด แพรเป็นคนสวย ออกแนวลูกคุณหนู นิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจ แพรมีแฟนเป็นรุ่นพี่ปี 2 ต่างมหาลัย และมักจะมีเรื่องทะเลาะกันเป็นประจำ

    เมื่อไหร่ที่แพรทะเลาะกับแฟนมา ข้าวของในห้องก็จะกระจุยกระจายเสียหาย ตามแบบฉบับคุณหนูขี้โวยวาย เมื่อมีอะไรไม่ได้ดั่งใจ เดือดร้อนฉันที่จะต้องเป็นคนคอยตามเก็บทุกครั้งไป

    และวันนี้ก็เป็นอีกวัน ที่แพรทะเลาะกับแฟนมาอีกเช่นเดิม

    “อะไรของพี่! ก็บอกแล้วไงว่ามีรับน้อง!!” ฉันกลอกตาทันที ที่ได้ยินเสียงแพรตะคอกใส่มือถือดังมาจากประตูหน้าห้อง แพรเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้ามาแล้วเดินตรงมาหาฉัน “จอย แกช่วยบอกพี่เค้าทีว่าวันนี้เรามีรับน้อง”

    “ใช่ค่ะ วันนี้มีรับน้อง เลิก 2 ทุ่ม” ฉันพูดเสียงดังพอที่จะให้คนปลายสายได้ยิน

    “เออ แล้วจะให้ทำไง ทำไมไม่เคยเชื่อใจกันเลยวะพี่ เห็นหนูเป็นคนยังไง ไม่ไว้ใจกันแบบนี้ก็เลิกไปเหอะว่ะ”

    ฉันถอนหายใจ ลอบมองแพรอย่างปลงๆ เมื่อแพรเปิดประตูหลังห้อง เดินออกไปคุยโทรศัพท์นอกระเบียง ฉันพอจะเดาอนาคตของฉันคืนนี้ได้เลย ทุกครั้งที่ 2 คนนั้นทะเลาะกัน มันก็จะตามมาด้วยแพรท้าเลิก พี่เค้าไม่ง้อ แพรอาละวาดทำลายข้าวของ แล้วก็จบที่นอนร้องไห้ทั้งคืน

    ฉันเบื่อเต็มทนกับการกระทำของรูมเมทคนนี้ เคยยื่นเรื่องขอย้ายห้อง แต่ผลปรากฎว่าไม่มีใครอยากจะสลับห้องกับฉัน เพื่อมาอยู่กับยัยคุณหนูขี้พาลนี่สักคน มันเลยกลายเป็นเวรกรรมที่ฉันต้องชดใช้ไปจนกว่าจะเรียนจบปี 1

    แพรเปิดประตูกลับเข้ามาด้วยสีหน้าพร้อมวีนทุกเมื่อ ตลอดเทอมครึ่งที่ผ่านมาฉันได้เรียนรู้แล้วว่า ในเวลาแบบนี้ ห้ามเป็นคนเริ่มถามก่อนเด็ดขาด ปล่อยให้นางพูดออกมาเอง ไม่เช่นนั้นหอแตกแน่ๆ

    “มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว”

    “แบบไหน” ฉันปิดหนังสือแล้วหันไปมองแพรที่เดินเข้ามาหา ฝืนทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวของพัง

    “มันไม่ง้ออีกแล้ว” แพรเดินมานั่งที่เตียงข้างฉันด้วยน้ำตานองหน้า “ฮึก มันบอกว่า ครั้งนี้หวังว่าจะเลิกจริงๆสักทีนะ ฮึก ฮือออ”

    ฉันปล่อยให้แพรกอดคอร้องไห้อยู่แบบนั้น จะว่ารำคาญก็รำคาญ แต่มันก็ยังมีความสงสารปนอยู่บ้าง เพราะฉันรู้ฉันเห็นทุกอย่าง ว่าแพรทุ่มเทแค่ไหนกับแฟนคนนี้

    ตกดึกคืนนั้นฉันนอนพลิกตัวไปมาจนตี 3 แพรยังคงร้องไห้ไม่หยุด เตียงนอนของเราเป็นแบบเตียง 2 ชั้น ฉันนอนข้างล่าง แพรนอนข้างบน

    “ฮึก จอย แกนอนรึยัง”

    “มีไร” ฉันลอบถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ร้องไห้ดังซะขนาดนั้น ใครมันจะไปหลับลง

    “ขอทิชชู่หน่อยดิ”

    ฉันเปิดโคมไฟเล็กที่โต๊ะข้างเตียงแล้วควานหาทิชชู่ ยื่นให้แพรที่ยื่นมือลงมาจากเตียงชั้น 2 รออยู่แล้ว

    คืนนั้นฉันพยายามข่มตาให้หลับ ท่ามกลางเสียงสะอื้นและเสียงพลิกตัวไปมาของแพร

    เช้าวันรุ่งขึ้นฉันตื่นไปเรียนตามปกติ แต่ตื่นมาก็ไม่เจอแพรที่ห้องแล้ว มีแต่จดหมายวางไว้บนโต๊ะหนังสือของฉัน

    ‘วันนี้ฉันโดดรับน้องนะแก จะไปเคลียร์กับพี่เค้า’

    ฉันส่ายหน้าระอา ความรักนี่มันช่างวุ่นวายจริงๆ

    คืนนั้นฉันกลับมาถึงหอเวลา 4 ทุ่มกว่า กิจกรรมรับน้องปล่อยช้ากว่าเวลาที่แจ้งไป 2 ชั่วโมง ดีแล้วที่แพรไม่ไปเข้ากิจกรรม ไม่งั้นคืนนี้ฉันคงต้องนอนฟังเสียงร้องไห้อีกคืน ฉันไขห้องด้วยอาการเหนื่อยล้า ได้แต่ลุ้นว่าจะเปิดไปเจอแพรที่อารมณ์ดีแล้ว หรือห้องที่เละเทะกันแน่

    แต่มันกลับผิดคาดทั้ง 2 อย่าง ฉันเปิดห้องไปพบแค่เพียงความว่างเปล่า...

    แพรยังคงไม่กลับมา ข้าวของทุกอย่างยังเหมือนเดิมที่ฉันเห็นตอนเช้า จึงได้แน่ใจว่าแพรไม่ได้เข้ามาเก็บของเพื่อออกไปค้างข้างนอก

    ฉันส่งข้อความบอกแพรว่าฉันเหนื่อยมาก ต้องการที่จะพักผ่อน ถ้าแพรกลับมาให้ไขประตูเข้ามาได้เลยไม่ต้องเคาะ

    หลังจากทำการบ้านและธุระส่วนตัวเสร็จ ฉันก็มาล้มตัวลงนอน และหลับไปอย่างง่ายดายเพราะความเมื่อยล้า


    “ฮึก ฮือ ฮืออ”


    ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในความมืด เสียงสะอื้นจากเตียงชั้นบนทำให้ฉันรู้ว่าแพรกลับมาแล้ว “แพร เป็นไงมั่ง” ฉันถามออกไปด้วยความเป็นห่วง


    “ฮือออ ฮึก ฮึก”


    “แกเอาทิชชู่ไหม” เสียงขยับตัวและมือที่ยื่นลงมาทำให้ฉันคิดว่านั่นคงเป็นคำตอบ ฉันเปิดไฟหัวเตียงแล้วหาทิชชู่ยื่นให้แพร “รับดิแก”

    มือขาวที่ฉันเห็นจากแสงสลัวของโคมไฟห้อยนิ่งอยู่แบบนั้น ฉันทั้งเขี่ยทั้งสะกิดเป็นเชิงบอกว่ายื่นทิชชู่ให้แล้ว แต่แพรก็ยังไม่ยอมรับมันไป

    “เฮ้ย เป็นไรป่ะวะ”

    “ฮึก ฮือออ” เสียงร้องไห้เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมั่นใจว่าแพรยังไม่หลับ หรือหมดสติ

    “แก นี่ไงทิชชู่”


    ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากมือข้างนั้น มีเพียงเสียงสะอื้นที่ยังดังต่อเนื่องไม่ขาด


    “ฉันไม่มีเวลามาเล่นด้วยนะแก” ฉันดุด้วยความรำคาญ “จะเอาก็ลงมาหยิบเองแล้วกัน”

    ฉันปิดไฟ วางทิชชู่ไว้ที่โต๊ะข้างเตียงเหมือนเดิมแล้วหลับตาลง ในตอนที่ฉันกำลังเคลิ้มจะหลับนั้น เสียงขยับตัวของแพรก็ทำให้ฉันลืมตาอีกครั้ง

    “เป็นไงมั่งแก” ฉันถามอีกครั้ง


    ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงมือที่ยื่นลงมาให้เห็นมากขึ้น กับเส้นผมที่ค่อยๆห้อยลงมาจากเตียงชั้น 2

    “แพร! แกลงมาเอาดีๆ ทำแบบนี้มันน่ากลัวนะโว้ย” ฉันแวดใส่เพราะรู้สึกว่าแพรกำลังแกล้งฉัน


    ยังคงไม่มีคำพูดใดใดออกจากปากแพร นอกจากเสียงสะอื้น และเส้นผมที่หย่อนลงมายาวขึ้น แต่กลับไม่เห็นหน้าของแพรสักที


    ก๊อกๆๆ


    เสียงเคาะประตู ทำให้ฉันควานหามือถือขึ้นมาดูนาฬิกา ตอนนี้ตี 3 กว่าแล้ว มีแจ้งเตือน 1 สายไม่ได้รับจากแพรตอนตี 3

    “อ้าว วันนี้แกโทรมาเหรอวะ ละนี่ใครมาป่านนี้ แกนัดแฟนมาที่ห้องป่ะ”

    แสงสว่างวาบจากมือถือ ทำให้ฉันก้มมองมันอีกครั้ง หน้าจอปรากฎสายเรียกเข้าจากแพร

    ฉันหงุดหงิดที่แพรไม่ตอบคำถาม แต่กลับโทรเข้ามาเหมือนจงใจกวนประสาท ในขณะที่ฉันเงยหน้าขึ้นไปจะต่อว่า มือกับผมของแพรก็หายไปจากขอบเตียงด้านบนแล้ว เสียงขยับตัวที่ยังคงได้ยินอยู่ ทำให้ฉันเริ่มโมโห

    “แกเล่นบ้าอะไรวะ ฉันเหนื่อยนะ แกมีปัญหากับแฟน เคลียร์กันไม่ได้แกก็ไปลงกับแฟนแกดิ มางี่เง่าใส่ฉันทำไม” ฉันพูดอย่างคนหมดความอดทน


    ก๊อกๆๆๆ


    เสียงเคาะประตูกับสายเรียกเข้าซ้ำๆจากแพรทำให้ฉันจะเป็นบ้า นี่กำลังเล่นบ้าอะไรกัน

    “โอ๊ย! เป็นบ้าอะไรของแก!!” ฉันกดรับสายแล้วตะโกนอย่างโมโห

    “เปิดประตูให้หน่อย ฉันลืมเอากุญแจไป” เสียงแพรที่ตอบมาจากในสายทำให้ฉันขนลุกสู่ เพราะเสียงร้องไห้กับเสียงขยับตัว ยังคงดังมาจากเตียงข้างบนอย่างไม่ขาดสาย


    นี่มันหมายความยังไง


    “แกอยู่ไหนนะ” ฉันถามออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พยายามเงี่ยหูฟังว่าเสียงแพรจะดังมาจากเตียงข้างบนรึเปล่า

    “หน้าห้องเนี่ย เคาะตั้งนานแล้วแกไม่ได้ยินหรอ”


    ไม่มี


    ไม่มีเสียงแพรพูดอยู่ข้างบนนั้น แพรอยู่หน้าห้องจริงๆ กำลังเคาะประตูรอให้ฉันไปเปิด แล้วมือกับผมใครที่ห้อยลงมาก่อนหน้านี้ เสียงใครที่พลิกตัวอยู่ข้างบนนั่นจนถึงตอนนี้


    “.. เอ่อ .. แพร .. แกไม่ได้ให้ใครมานอนที่ห้องใช่ไหม” ฉันเช็คอีกทีเพื่อความแน่ใจ

    "เปล่าโว้ย แกก็รู้ว่าหอแม่งเข้มงวดจะตาย จะให้คนนอกเข้ามาได้ยังไง ทำไมอ่ะ"

    ".. นี่แก.." ฉันพูดเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ "..ฉัน..รู้สึก..ว่า... เหมือนมีใคร..นอนอยู่บนเตียงแกไม่รู้"

    "ห๊ะ! มันจะเป็นไปได้ไง ทำไมแกคิดงั้น"

    "... ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ แล้วก็เสียงพลิกตัวข้างบนนั้น... ตอนนี้ก็ยังได้ยินอยู่เลย" เสียงของฉันเริ่มสั่น

    "เฮ้ย ใครวะ มันไม่ได้ทำอะไรแกใช่ไหม แกออกมาได้ไหม รีบออกมาเลย ฉันจะไปแจ้งผู้คุมหอ"

    "แก ฉันไม่กล้า"

    "แกต้องออกมานะจอย เผื่อมันเป็นขโมย เดี๋ยวมันจะทำร้ายแก นับ 1-3 ในใจแล้ววิ่งสุดชีวิตเลย!"


    ฉันกำโทรศัพท์แน่นแล้วพยายามรวบรวมความกล้า ความคิดในหัวสมองตีกันมั่วไปหมด ฉันไม่รู้ว่าบนเตียงชั้น 2 นั้นจะเป็นผีหรือคน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าอย่างไหนมันน่ากลัวมากกว่ากัน

    รู้แต่ตอนนี้

    ฉันต้องออกไปจากที่นี่

    หนึ่ง!

    สอง!!

    สาม!! ฉันกระโดดออกจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ประตูห้องอย่างเร็วที่สุดโดยที่ไม่หันกลับไปมอง ฉันเปิดประตูออกไปกอดแพรแน่น น้ำตามากมายไหลออกมาจากไหนก็ไม่รู้ ฉันไม่เคยรู้สึกกลัวขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

    “มันทำอะไรแกไหม” ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ ตัวฉันที่สั่นไม่หยุด ทำให้แพรไม่คิดจะซักไซร้อะไรเพิ่มอีก “ใจเย็นๆแก แกปลอดภัยแล้ว ไปบอกอาจารย์กัน”

    หลังจากได้รับแจ้ง อาจารย์ก็ให้ยาม 2 คนขึ้นไปที่ห้องของฉัน ส่วนฉันกับแพรก็มานั่งดูกล้องวงจรปิดด้วยกัน

    7:36 แพรออกจากห้อง

    9:25 ฉันออกจากห้อง

    22:23 ฉันกลับเข้ามา แล้วเข้าห้องไป

    02:58 แพรกลับเข้ามา แล้วยืนเคาะประตูอยู่เกือบ 20 นาที

    ไม่มีคนแปลกหน้าเข้าห้องของเรา และจนตอนนี้เวลา 04:12 ก็ยังไม่มีคนแปลกหน้าออกมา จะมีก็แต่ยาม ที่เดินเข้าเดินออก


    “ไอ้พวกนั้นมันยืนยันแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น ที่ระเบียงก็ออกไปดูให้แล้ว ห้องชั้น 7 ไม่น่าจะมีคนเข้ามาทางหน้าต่างได้”

    “แต่หนูเห็นจริงๆนะคะ” ฉันยืนยันหนักแน่น

    “ก็หาแล้วไม่เจอ จะให้ทำยังไง” อาจารย์คุมหอเท้าเอวมองพวกเราอย่างไม่พอใจ “แล้วนี่กลับมาป่านนี้คืออะไร เธอไปไหนมา”

    เรา 2 คนยอมนั่งให้อาจารย์ด่าจนกว่าจะพอใจ เพราะไม่มีใครกล้ากลับเข้าไปในห้อง ทันทีที่เช้าฉันกับแพรก็พากันไปทำบุญ พร้อมทั้งหาพระมาห้อยคอกันยกใหญ่


    หลังจากวั้นนั้นถึงแม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก และถึงจะไม่มีคำตอบให้กับเรื่องคืนนั้น แต่ฉันยังจำภาพ และความรู้สึกเสียวสันหลัง ที่เกิดขึ้นวันนั้นได้อย่างแม่นยำ

    แล้วก็คงจะไม่มีวันลืมเป็นแน่

แบ่งปันหน้านี้