รณรงค์อุบัติเหตุ [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 30 กรกฎาคม 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    เรื่องมันเกิดขึ้นสมัยที่ผมเป็นดีเจคลื่นวิทยุของมหาวิทยาลัยครับ ตอนนั้นทางมหาลัยมีนโนบายรณรงค์เรื่องอุบัติเหตุ โดยบังคับให้ชมรมเรา ใช้วิธีใดก็ได้ ที่จะช่วยกระจายข่าว เพื่อให้นักศึกษาตระหนักถึงการใช้รถ ใช้ท้องถนนกันมากขึ้น

    พวกผมประชุมกันอยู่นาน ว่าทำยังไงถึงจะพูดเรื่องการขับขี่อย่างปลอดภัย ให้ผู้ฟังไม่เบื่อจนเปลี่ยนคลื่นหนี ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า ทางชมรมจะให้นักศึกษาที่เคยประสบอุบัติเหตุ มานั่งเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้น แทนการโฆษณารณรงค์

    2 วันผ่านไป ตอนที่เรากำลังประชุมกันอยู่ น้องคนนึงในชมรมก็วิ่งมาหาผมด้วยสีหน้าดีใจ

    “พี่ หนูได้คนที่จะมาเล่าเรื่องอุบัติเหตุให้เราแล้ว”

    “ใคร”

    “หนูก็ไม่รู้จัก แต่เขามานั่งรอหนูใต้ตึกคณะ ถามว่ายังรับคนที่จะเล่าประสบการณ์อุบัติเหตุอยู่ไหม หนูก็เลยพามาหาพี่”

    “ชื่ออะไรครับ” ผมถามนักศึกษาหญิงอีกคน ที่น้องในชมรมพามา

    “บีมค่ะ”

    พอเราได้ฟังเรื่องคร่าวๆจากบีม ทุกคนก็ลงความเห็นว่าน่าจะได้รับความสนใจดี

    เรานัดบีมให้มาเจอกันอีกครั้ง เวลา 4 ทุ่มของคืนวันพุธ เพื่อที่จะมาเล่าประสบการณ์โดยละเอียดอีกครั้ง ให้เราและผู้ฟังทางบ้านได้ฟังไปพร้อมๆกัน

    “เอาล่ะครับคุณผู้ฟัง นี่ก็เป็นเวลา 22 นาฬิกา 13 นาทีแล้ว เรามาเข้าสู่ช่วงใหม่ของเรากัน นั่นก็คือ ช่วงอุบัติเหตุใกล้ตัวกว่าที่คิด ช่วงนี้นะครับ เราจะให้ผู้ฟังทางบ้าน มานั่งเล่าประสบการณ์ที่เคยเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นกับตัวท่านเอง หรือตามท้องถนนที่ท่านเคยเจอมาก็ได้ เพื่อที่จะเป็รอุทาหรณ์ให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่นๆ ได้ระมัดระวังกันมากขึ้น”

    ผมพูดนำเข้ารายการ ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้ทีมงานพาบีมเข้ามา

    “แล้วในวันแรกนี้ ผมก็ได้รับเกียรติจากสาวสวยน่ารักคนหนึ่ง เธอมีเรื่องราวเฉียดตายที่จะมาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน ก่อนอื่น รบกวนแขกรับเชิญแนะนำตัวหน่อยครับ”

    “สวัสดีค่ะ ชื่อบีม อยู่ปี 3 คณะนิเทศค่ะ”

    “เอาล่ะน้องบีม ไหนลองเล่าให้เราฟังหน่อย ว่าวันนั้น มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

    “คืนนั้นเป็นคืนก่อนงานลอยกระทงค่ะ หนูกับเพื่อนอีกคนนึง ต้องช่วยเพื่อนที่ชื่อจอย เย็บชุดที่จะใส่ประกวดนางนพมาศ กว่าจะเสร็จก็ดึกมากแล้ว แฟนของจอยเลยอาสาไปส่งพวกเราที่หอ ตอนนั้นในรถมีด้วยกัน 4 คน คือหนู จอย แฟนจอย แล้วก็เกด พี่รู้ตำนานเรื่องผีของมอเราไหมคะ”

    “เรื่องผีหรอ” ผมนั่งนึก “พอจะรู้อยู่ 3-4 เรื่องครับ ทำไมหรอ”

    “มันจะมีตำนานนึง ที่เขาจะห้ามขับรถวนวงเวียนแบบย้อนสอน”

    “อ๋อๆ พี่นึกออก ที่เค้าบอกให้วนแต่ข้างขวา ถ้าวนซ้ายมันเหมือนวนรอบเมรุตอนเผาศพ แล้วเราอาจจะเจอบางสิ่งบางอย่าง ที่อยู่คนละโลกกันใช่มั้ย”

    “ใช่ค่ะ แฟนจอยเป็นเด็กต่างมหาลัย พอจอยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาเลยอยากลองของ ตอนที่วนรอบแรกก็ไม่มีอะไรค่ะ แต่พอรอบ 2 เราก็รู้สึกเหมือนโดนทุบที่ด้านหลังรถเสียงดังมาก แฟนจอยบอกว่า คงเป็นเศษหินกระเด็นมาโดน เขากลัวรถเป็นรอย เลยรีบวนจนครบ 3 รอบ แล้วก็ขับรถออกจากมอกัน”

    “แล้วเห็นอะไรแปลกๆมั้ยครับ” ผมถามย้ำอีกทีเพื่อเพิ่มความตื่นเต้น

    “ก็ยังนะคะ”

    “โธ่” ผมร้องด้วยความเสียดาย

    “มันดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอพ้นประตูมอไป ตามประสาคนขับรถ ก็ต้องคอยมองกระจกหลังอยู่เรื่อยๆใช่ไหมคะ อยู่ๆแฟนจอยก็มองกระจกบ่อยมาก ทั้งที่ข้างรถ แล้วก็กระจกข้างบน ยิ่งมอง เขาก็ยิ่งเร่งคันเร่งอ่ะค่ะ ตอนนั้นเขาเหยียบประมาณ 150 ได้”

    “มันอันตรายมากเลยนะครับน่ะ เขาเห็นอะไรเขาได้บอกไหม”

    “ใช่ค่ะ จอยก็ด่าว่าทำไมขับรถเร็วแบบนี้ เขาก็ไม่ตอบ แต่ยิ่งเหยียบเร็วขึ้นไปอีก คือรถเขาเป็นรถแต่งอ่ะค่ะพี่ ตอนนั้นเขาเหยียบไปถึง 180 แล้ว จอยทนไม่ไหว เลยทั้งตบทั้งตี ถามว่าเป็นบ้าอะไร 2 คนนั้นก็ทะเลาะกันอยู่พักนึง หนูกับเกดก็เริ่มมองหน้ากัน ว่าคิดผิดแล้วมั้งที่กลับมากับพวกนี้ จนแฟนจอยค่อยๆผ่อนคันเร่งลง แต่ก็ยังอยู่ที่ร้อยกว่าอยู่ดี เขาคอยมองกระจกหลังตลอด พวกหนูก็หันไปมอง เพราะนึกว่าเขาโดนคู่อริตามรึเปล่า แต่ก็ไม่มี”

    “พอเลยสี่แยกไป เขาถึงเริ่มขับช้าลง แล้วถึงยอมบอกเราว่า เมื่อกี้มีผู้หญิงแก่ๆ เกาะหลังรถมาด้วย ... ตอนนั้นพวกหนูก็กลัวกัน เริ่มสวดมนต์กันบ้าง พยายามขอโทษบ้าง แต่มันก็ยังไม่จบแค่นั้น”

    “มันก็มีเสียงตึงตังบนหลังคารถ เหมือนมีคนขึ้นไปยืนแล้วกระโดดๆ หนูกับเกดกอดกันแน่นมาก แฟนจอยก็เร่งคันเร่งรถอีก พอเสียงมันเงียบไป หนูก็นึกว่าจะจบแล้ว ปรากฎว่า อยู่ๆแฟนจอยก็ร้องขึ้นมาเสียงดัง หักหลบเข้าเลนส์ซ้ายทั้งๆที่ไม่ได้มีอะไรขวางทาง แล้วตอนนั้นมันดันมีมอร์ไซค์ที่ย้อนศรมาพอดี แฟนจอยก็เลยหักกลับมาที่เลนส์ขวาอีก แต่ทีนี้รถมันเสียหลัก เลยพลิกตะแคง แล้วก็ไถลไปจนเสยขึ้นฟุตบาทฝั่งตรงข้าม ก่อนจะชนเข้ากับกำแพงของตึกแถวนั้นเสียงดังสนั่น รถด้านหน้าถูกบี้เข้ามาจนถึงอกหนู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจอยกับแฟนตายคาที ส่วนเกด มือข้างนึงยังจับกับหนูอยู่ เราบีบมือกันอยู่ตลอด เหมือนคอยให้กำลังใจกัน”

    “ใจเย็นๆนะครับ มันผ่านมาแล้ว” ผมถือวิสาสะกุมมือบีมเบาๆ เพราะเสียงเธอเริ่มสั่น “ตอนนั้นบีมเป็นยังไงบ้างครับ”

    “หนูรู้สึกว่าหัวแตกค่ะ เลือดไหลไม่หยุด ที่หน้าก็เหมือนจะขูดกับถนน ขาถูกเบาะคนขับทับจนชาไปหมด แขนข้างนึงหลุดออกไปนอกตัวรถ เหมือนจะหักหรือขาดไปแล้วก็ไม่รู้ หนูขยับได้แต่ลูกตา ร้องไม่ออก ไม่มีเสียง ไม่มีแรงขยับส่วนอื่นเลยนอกจากมือที่บีบเกดอยู่ แทบจะไม่มีแรงหายใจ ความรู้สึกมันเหมือน จะตายตลอดเวลา แล้วไม่นาน มือเกดที่บีบกับมือหนูอยู่ก็หยุดบีบไป ตอนนั้นเลยรู้ว่าเกดก็คงไม่รอดแล้ว”

    “โห ถือเป็นอุบัติเหตุที่รุนแรงแล้วก็น่ากลัวมากเลยนะครับ เรื่องมันเกิดขึ้นตอนไหนพอจะบอกได้ไหม พักรักษาตัวนานแค่ไหน” ผมพยายามถามเข้าสคริปที่จะโยงเข้าเรื่องความปลอดภัย

    “ประมาณ 5 ปีที่แล้วค่ะ”

    “ห๊ะ” ผมอุทานเสียงหลง ลืมสิ่งที่ต้องถามต่อไปชั่วขณะ “โทษนะครับ ตอนแนะนำตัวบีมบอกว่าอยู่ปีอะไรนะ”

    “3 ค่ะ”

    “เดี๋ยวนะ ถ้าตอนนี้อยู่ปี 3 แล้วตอนเกิดเรื่องคือ 5 ปีที่แล้ว โอ้โห นี่บีมพักรักษาตัวนานมากจริงๆนะ”

    “เรื่องมันหนักมากจริงๆค่ะ เพราะเพื่อนบีมตายหมด”

    “เสียใจด้วยนะครับ”

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ บีมก็ยังรู้สึกว่า พวกเขาไม่ได้จากบีมไปไหน เรายังอยู่ใกล้ๆกันตลอดเวลา ไปไหนเราก็มักจะไปด้วยกัน ไม่เคยทิ้งกันเลย”

    “แล้ววันนั้นน้องบีมรอดมาได้ไงครับ แบบว่า เราเซฟตัวเองยังไง คาดเข็มขัดใช่ไหม หรือพยายามตั้งสติหาทางหาคนช่วย”

    ตอนนั้นเองที่ทีมงานที่อยู่อีกฝั่งของกระจกใส ที่กั้นระหว่างห้องออนแอร์ กับห้องควบคุมเสียง ทำท่าทำทางแปลกๆ โบกไม้โบกมือกันยกใหญ่ เหมือนจะบอกอะไรผมสักอย่าง ผมทำท่าขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แล้วน้องคนนึงก็เขียนข้อความใส่กระดาษ ชูขึ้นมาให้ผมอ่าน


    ‘ รีบออกมาจากห้อง อย่าหันไปมอง ‘



    “หนู.....”


    “อะไรนะครับ พี่ไม่ได้ยิน” ผมถามบีมซ้ำเพราะไม่ทันได้ฟัง ตาก็มองไปที่น้องๆอย่างไม่เข้าใจ อย่าหันไปมองอะไร พวกนั้นพยายามจะบอกอะไร


    “หนู....ไม่ได้รอดหรอกค่ะพี่....”


    ด้วยสัญชาตญาณ ผมหันขวับไปที่บีมทันที ตอนนั้นสิ่งที่ผมเห็น คือนักศึกษาสาว 2 คน และชายอีก 1 คน เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดกับบาดแผลเหวอะหวะ ยืนอยู่หลังเก้าอี้ที่บีมนั่ง

    ส่วนบีม จากคนที่เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน กลายเป็นเลอะสีแดงไปทั้งตัว เพราะเลือดจากหัวที่ไหลจนอาบ ผิวหนังใบหน้าซีกซ้ายถูกขรูดออกไปจนเห็นกระดูก ขากรรไกรล่างห้อยลงมาเกือบถึงอก แต่ก็ยังไม่หลุดออกจากกะโหลก

    “เฮ้ยยยยยยยย!!!!!!!”

    ผมแหกปากสุดเสียง แล้วลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตู พยายามออกจากห้องนั้นให้ไวที่สุด แต่ประตูมันดันเปิดไม่ออก

    ปังๆๆๆๆ

    “พากูออกไป เอากูออกไป! ออกไปจากที่นี่! ไม่อยู่แล้ว เอากูออกไป!”

    ผมทั้งตะโกน ทั้งทุบประตูเหมือนคนบ้า หมดสภาพความเป็นประธารชมรมผู้น่านับถือ ได้ยินเสียงน้องๆอยู่อีกฝั่งของประตู ถามหากุญแจที่จะมาไขพาผมออกไป

    “พวกเราไม่มีใครคาดเข็มขัดเลยสักคน” เสียงบีมยังคงพูดอยู่ น้ำเสียงฟังดูเหมือนคนปกติ แต่ผมรู้ว่ามันไม่ปกติ “ถ้ารถคันนั้นไม่ย้อนศรมา พวกเราก็คงจะไม่ตาย รู้ไหมคะ ว่ากว่าจะตาย มันทรมานมากแค่ไหน”

    “ปล่อยผมออกไป ผมขอร้องเราไม่เคยรู้จักกัน ผมไม่เคยทำอะไรคุณ ปล่อยผมไป” ผมทรุดลงยกมือไหว้อย่างหมดทางหนี

    “ถึงคุณจะไม่ใช่คนขี่ย้อนศรที่เราเจอคืนนั้น แต่สักวัน คุณก็คงฆ่าใครสักคน เพราะความมักง่ายชอบย้อนศรของคุณ” เสียงผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่บีมพูดกับผม

    “แล้วคนย้อนศรอย่างพวกมึงกลับไม่ตาย! มันยุติธรรมแล้วหรอ!!” ผู้หญิงอีกคนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

    “ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ปล่อยผมไป”

    ประตูก็ยังเปิดไม่ได้ เสียงหัวเราะของคนพวกนั้นก็ยังดังอยู่รอบตัวไม่ไปไหน ผมได้แต่หลับตา สวดมนต์พึมพำเพื่อหวังว่าจะรอด

    “จำเอาไว้” คราวนี้เป็นเสียงผู้ชาย มากระซิบที่ข้างหู ผมปิดหูแน่น กลัวจนตัวสั่น “ถ้าไม่อยากตาย อย่าให้กูเห็นมึงย้อนศรผ่านแยกนั้นอีก”

    .
    .
    .

    วันรุ่งขึ้นเรานิมนต์พระมาสวดที่ห้องชมรม อะไรที่ว่ากันผีได้ ผมขอให้หลวงพ่อติดจนทั่วไปหมด ช่วงบ่ายเราก็พากันไปทำบุญที่วัด อุทิศผลบุญครั้งนี้ ให้กับบีมและเพื่อนๆ

    เราตั้งใจทำโครงการนี้ต่อไป โดยเน้นเรื่องการห้ามย้อนศรเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้ใครมาโชคร้ายแบบกลุ่มของบีมอีก ถึงในใจผมก็ยังอยากจะด่ากลับไปว่า ก็พวกบีมไม่ใช่หรอที่ขับรถเร็วเอง มันถึงได้หลบไม่ทันน่ะ แต่ก็นั่นแหละครับ ผมป๊อด เจอขนาดนั้นใครจะไปกล้า

แบ่งปันหน้านี้