มารู้จักกับตัวไรฝุ่น ภัยเงียบในห้องนอน ต้นเหตุภูมิแพ้และวิธีป้องกัน

หัวข้อกระทู้ ใน 'คลังความรู้เรื่องความสวยความงามและสุขภาพ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 6 ตุลาคม 2014.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    aa.jpg

    ไรฝุ่นเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับ หิด แมงมุม ตรงที่มี 8 ขาเหมือนกัน แต่ตัวเล็กกว่ามาก ตัวมันมีขนาดประมาณ 0.1-0.3 มิลลิเมตร มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า บางทีก็จะอยู่ปะปนกับฝุ่นภายในบ้าน ตัวไรฝุ่นถึงจะดูน่ากลัว แต่ไม่กัด ไม่ต่อย อาจทำให้คัน หรือจาม เพราะสูดเอามูลของตัวไรเข้าไป ไรฝุ่นมักจะอาศัยอยู่ในที่มีอุณหภูมิต่ำ และมีความชื้นสูง ไม่ชอบแสงสว่าง ที่พบได้มากในบ้านคือในห้องนอน ไรฝุ่นจะอาศัยอยู่ตามที่นอน หมอน ผ้าห่ม พรม ผ้าม่าน ตุ๊กตาที่่บรรจุด้วยเส้นใย และเติบโตได้ด้วยการกินขี้ไคล เศษผิวหนัง และรังแคของคน

    คนที่มีอาการแพ้ไรฝุ่น เกิดจากตัวไรฝุ่นขับถ่ายมูลออกมา มูลนี้สามารถระเหยเข้าจมูก ทำให้เกิดอาการระคายเคือง คัน ไอจาม น้ำมูกไหล และอาจจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น คันตา แสบตา น้ำตาไหล และทำให้เกิดโรคหืดหอบตามมาได้

    ไรฝุ่น ยูทูป




    วิธีป้องกัน และกำจัดตัวไรฝุ่น
    อย่าเพิ่งเกลียดกลัวตัวไรฝุ่น หากเราหมั่นดูแลทำความสะอาดอย่างถูกวิธีแล้วละก็ ตัวไรฝุ่นก็จะไม่มารบกวน วิธีป้องกันและกำจัดตัวไรฝุ่นมีได้หลายวิธีคือ

    1. ใช้ความร้อน
    ตัวไรฝุ่น จะตายที่ความร้อนที่มากกว่า 50-60 องศาเซลเซียสขึ้นไป (เป็นอุณหภูมิที่มือแตะได้ โดยไม่ลวกมือ) ควรนำผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ไปต้มประมาณ 30 นาที เพื่อฆ่าตัวไรฝุ่น หรือใช้ความร้อนจากเตารีด รีดปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน วิธีนี้อาจค่อนข้างยุ่งยากแต่ก็สามารถฆ่าไรฝุ่นได้ ส่วนฟูกหรือที่นอนที่ไม่สามารถนำไปต้มได้ ควรหมั่นนำตากแดดบ่อยๆ แสงแดดไม่สามารถฆ่าตัวไรฝุ่นได้ แต่ช่วยให้ความอับชื้นในที่นอนลดลง ตากที่นอนไว้นานๆ เป็นการช่วยลดการเกิดฟักไข่ของไรฝุ่นได้ด้วย

    2. ใช้ความเย็น
    ไรฝุ่นสามารถถูกกำจัดได้โดยการใช้ความเย็น ที่อุณหภูมิเย็นจัด -196 องศาเซลเซียส ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องทดลอง ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะความเย็นไม่เพียงพอ สำหรับตู้เย็นตามบ้าน มีอุณหภูมิประมาณ -10 องศาเซลเซียส อาจต้องทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง แต่ก็เป็นวิธีที่ไม่ค่อยได้ผลเท่ากับการใช้ความร้อน

    3. ใช้การซักล้าง
    ควรหมั่นซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน หรือแม้แต่ตัวตุ๊กตาของลูกน้อย (ตัวที่สามารถซักได้) การซักล้างไม่ทำให้ตัวไรฝุ่นตาย แต่ช่วยชำระล้างให้มูลของไรฝุ่นหลุดออกไปได้ง่าย ควรใช้น้ำผสมผงซักฟอก หรือใช้น้ำร้อนในการซักด้วยยิ่งดี

    4. การจัดห้องนอนให้ถูกสุขลักษณะ
    หากจัดห้องนอนให้ถูกสุขลักษณะก็สามารถช่วยลดการเกิดไรฝุ่นได้ ห้องนอนที่ดีควรมีแสงแดด หรือแสงสว่างส่องถึง ควรจัดห้องนอนให้โล่ง ไม่รก มีเฟอร์นิเจอร์ไม่มากชิ้นนัก พื้นห้องควรเป็นพื้นไม้ กระเบื้อง หรือกระเบื้องยาง ไม่ควรใช้พรมปูพื้น เพราะเป็นแหล่งสะสมฝุ่น หากมีหนังสือ หรือเสื้อผ้า ควรเก็บใส่ในตู้หรือกล่องให้มิดชิด ห้องที่มีเด็ก ไม่ควรมีของเล่น หรือตุ๊กตาที่ยัดด้วยนุ่น ใยสังเคราะห์ หรือตุ๊กตาที่เป็นขนปุกปุย ควรหมั่นทำความสะอาดห้องนอน ด้วยการดูดฝุ่น หรือใช้ผ้าหมาดๆ ถูพื้น

    การจัดห้องห่างไกลไรฝุ่น


    5. ใช้ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น
    สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ไรฝุ่น อาจใช้ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน หรือผ้าคลุมที่นอน ชนิดพิเศษที่ช่วยป้องกันไรฝุ่นได้ ผ้าที่ใช้เป็นผ้าทอเนื้อแน่นชนิดพิเศษ พวกไมโครไฟเบอร์ ที่มีตารางการทอผ้าเล็กมากจนมูลของไรฝุ่นไม่สามารถทะลุขึ้นมาจนทำให้เกิดอาการแพ้ได้ การใช้ผ้าปูที่นอนไรฝุ่นนี้ ยังคงต้องทำความสะอาด โดยนำผ้าปูไปซักอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และควรนำหมอน และที่นอนออกตากอย่างสม่ำเสมอ
    ข้อดีของการใช้ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่นคือ ช่วยลดการฟุ้งกระจายของมูลไรฝุ่น ไม่ให้สัมผัสโดยตรง โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคแพ้ฝุ่นอยู่แล้ว แต่การใช้ผ้าปูนี้ไม่สามารถฆ่าตัวไรฝุ่นได้
    ราคาผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่นอยู่ที่ประมาณ 1,800 - 2,800 บาท/ชิ้น หรือ 3,000 - 5,000 บาท/ชุด (ปลอกหมอน + ผ้าปูที่นอน)

    6. การใช้สเปรย์สมุนไพร
    มีสมุนไพรบางชนิดที่สามารถกำจัดตัวไรฝุ่นได้ เช่น น้ำมันหอมระเหยจากขมิ้นชัน ไพล ตะไคร้หอม จากการค้นคว้าวิจัยพบว่า สมุนไพรที่กำจัดไรฝุ่นได้ผลมีประสิทธิภาพที่สุด คือสมุนไพรที่สกัดจากอบเชย (Cinnamon) และกานพลู (Clove) ตัวอบเชยจะช่วยลดสารก่อภูมิแพ้ ส่วนตัวกานพลูจะเป็นตัวกำจัดไรฝุ่น ซึ่งสเปรย์สมุนไพร เป็นสารสกัดที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพราะสกัดจากพืชสมุนไพร

    วิธีใช้คือฉีดลงบนฟูก ที่นอน หรือโซฟา โดยตรง ก่อนฉีดบนที่นอนควรเอาผ้าปูที่นอนออกก่อน เพื่อให้น้ำยาสัมผัสที่นอนโดยตรง แล้วใช้ผ้าห่ม ผ้าหนาๆ หรือผ้าพลาสติกคลุมไว้ไม่ให้น้ำยาระเหยออกไป และเพื่อไม่ให้ไรฝุ่นหนีลงไปยังชั้นล่างของที่นอน ทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง หรืออาจจะนานกว่านั้นก็ได้ จะทำให้ตัวไรฝุ่นตาย จากนั้นก็นำที่นอนไปปัด เอาผ้าปูที่นอนไปซัก แรกๆ ควรฉีดอาทิตย์เว้นอาทิตย์ แล้วค่อยห่างออกไปเป็นเดือนละครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวไรฝุ่นกลับมา สเปรย์สามารถใช้กับที่นอนของเด็กทั่วๆ ไปได้ (ไม่ควรใช้กับที่นอนทารกที่อายุต่ำกว่า 1 เดือน)
    สเปร์ย์สมุนไพรที่กำจัดไรฝุ่นที่พบได้ตามท้องตลาดมีให้เลือกหลายยี่ห้อ เช่น ไมท์ เฟีย, ไมท์คลีน, คลูโอ, เซ้นต์แคร์ ราคาอยู่ที่ 200 - 500 บาท/กระป๋อง

    สเปรย์สมุนไพรไรฝุ่น




    7. การใช้สารเคมี
    สำหรับคนที่แพ้ฝุ่น หรือไรฝุ่น ควรหลีกเลี่ยงการใช้พรมภายในบ้าน หากมี ก็ควรทำความสะอาดบ้าง เพราะพรมถือเป็นแหล่งสะสมไรฝุ่นแหล่งใหญ่เหมือนกัน การทำความสะอาดพรมอาจจะดูยุ่งยากหน่อย จะซักเหมือนผ้าห่มหรือผ้าปูที่นอนธรรมดาทั่วไปคงไม่ได้ โดยทั่วไปมักจะ ใช้วิธีการซักแห้ง ซึ่งกำจัดไรฝุ่นได้บางส่วน หรือใช้ยาฆ่าไร (Acaricide) เทไวบนพรม ทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วค่อยดูดออกด้วยเครื่องดูดฝุ่น หรือส่งซักกับบริษัทที่ซักพรมที่ใช้ระบบไอน้ำความร้อนสูง

    8. ใช้บริการบริษัททำความสะอาด
    สำหรับคนที่คิดว่าการกำจัดไรฝุ่น ควรเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ ก็สามารถใช้บริการจากบริษัทที่รับทำความสะอาดที่นอน ฆ่าเชื้อโรค และกำจัดไรฝุ่นในที่นอน ซึ่งสามารถกำจัดพวกไรฝุ่นได้แบบสะอาดหมดจด และลดปัญหาการเป็นโรคภูมิแพ้ได้
    ขั้นตอนของการทำความสะอาดของบริษัทนั้น จะเทสให้เราดูก่อนว่า ระดับไรฝุ่นในที่นอนของเรามีปริมาณเท่าไหร่ โดยใช้ผงทดสอบเป็นตัววัดความหนาแน่นของไรฝุ่น หลังจากนั้นก็ใช้เครื่องมือทำความสะอาดที่คล้ายเครื่องดูดฝุ่นแบบมือถือ ไถไปบนที่นอนเพื่อทำความสะอาด เครื่องมือนี้ใช้ระบบคลื่นความถี่สูง (Sanitizing System) แยกอนุภาคฝุ่นและสิ่งสกปรก รวมถึงพวกไรต่างๆ ให้หลุดออกมา ในขณะเดียวกันก็จะมีรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตเข้มข้น ฆ่าเชื้อโรคจำพวก แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราที่ฝังตัวอยู่ในที่นอน จากนั้นก็จะฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อที่หมอนและที่นอนเราอีกครั้ง

    รีวิว การใช้บริษัททำความสะอาด http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bowy06&month=02-2012&date=08&group=8&gblog=5

    ตัวอย่างบริษัทฆ่าเชื้อโรค

แบ่งปันหน้านี้