งานใหม่ที่บริษัทส่งของ [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 4 มิถุนายน 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    สวัสดีครับ ผมชื่อเต้

    เรื่องของผมมันเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน

    ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 56 ผมที่ว่างงานมา 3 เดือนกว่า ได้ถูกเรียกไปสัมภาษณ์ที่บริษัทส่งของเปิดใหม่แห่งหนึ่ง และด้วยความที่ผมพอจะมีประสบการณ์มาบ้าง พวกเขาจึงรับผมเข้าทำงานทันที

    วันรุ่งขึ้น ผมรีบไปเข้างานแต่เช้าตรู่ หลังจากเช็คของ เช็คที่อยู่ ยกของขึ้นรถเสร็จสรรพ ผมก็รีบขับรถไปตามจีพีเอส เพื่อส่งของให้กับลูกค้ารายแรก

    บ้านที่ผมต้องไปส่งของครั้งนี้ เป็นบ้านแฝดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่อขับมาถึงบ้านที่ที่จ่าหน้าอยู่หน้ากล่อง ผมก็บีบแตรสั้นๆ 2 ครั้งส่งสัญญาณตามที่ถูกสอนงานมา

    แต่บีบอยู่นาน ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีคนออกมารับของ ประตูกระจกเปิดอยู่ แต่ประตูมุ้งลวดถูกปิดไว้ แถมม่านด้านในก็ยังเปิดแง้มไว้เพียงแค่ช่องเล็กๆเท่านั้น

    “ขอโทษครับ มีของมาส่งครับ” ผมตะโกนเสียงดังพอสมควร เพราะประตูรั้วไกลจากประตูบ้านค่อนข้างมาก “มีใครอยู่ไหมครับ”

    เรียกอยู่นานแต่ก็ยังเงียบสนิท จนผมถอดใจ เดินไปเปิดตู้ขนของหลังรถ เอาของขึ้นไปเก็บเพื่อที่จะไปส่งที่ถัดไป

    แต่เมื่อผมลงมาจากรถ แล้วดึงประตูปิด ผมก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังประตูตู้สินค้า ใกล้กับผมเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ผมสะดุ้งสุดตัวที่เธอมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง

    “เฮ้ย!” ผมตะโกนด้วยความตกใจ “ขอโทษครับ มีของมาส่งครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุด

    เธอพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่พูดอะไร ผมจึงเปิดตู้อีกครั้ง แล้วปีนขึ้นรถไปเอาของลงมาส่งให้เธอ

    ระหว่างที่เธอเซ็นรับของ ผมแอบมองใบหน้าขาวซีดที่มันดูไม่ค่อยจะสดใสนัก เธอดูเหมือนกำลังป่วยหนักอยู่ แต่จะให้ถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า ผมก็กลัวว่ามันจะเสียมารยาทไปมากกว่านี้ ผมจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้คนเดียว

    ผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีพัสดุที่ต้องไปส่งที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ เมื่อผมไปถึง ยังไม่ทันจะได้บีบแตร ผู้หญิงคนเดิมก็เดินออกมาจากบ้านพอดี

    ใบหน้าของเธอยังคงนิ่งเฉย แล้วก็ไม่พูดอะไร โดยปกติแล้วเวลาผมไปส่งของที่ไหน ก็มักจะได้รับรอยยิ้ม หรือไม่ก็คำขอบคุณ จริงๆผมก็ไม่ใช่คนซีเรียสว่าคนรับต้องทำเรื่องพวกนี้นะ เพียงแต่เธอแปลกมากจริงๆ ไม่สบตา ไม่พูดจา ไม่แสดงออกทางสีหน้าอะไรเลย

    ถัดจากวันนั้นไปตลอด 1 อาทิตย์ ผมก็มีโอกาสไปส่งของที่บ้านหลังนั้นอีก 3 ครั้ง แต่คนที่มารับพัสดุก็ยังเป็นคนเดิม ทำหน้าเหมือนเดิม ไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม

    จนกระทั่งเข้าสู่การทำงานเดือนที่ 2 ของผม ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งเช็คที่อยู่ ก็ปรากฎว่ามันมีพัสดุที่ส่งไปบ้านหลังนั้นอีกแล้ว

    ในทุกๆวันที่เจอเธอ ผมอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเธอมีเรื่องกลุ้มใจอะไรรึเปล่า และวันนี้แหละ ที่ผมคิดว่าจะลองชวนเธอคุยดู

    เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ผมก็เห็นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนที่สวน ผมหยิบของลงจากรถไป แล้วส่งยิ้มให้เธอ

    “จดหมายเต็มตู้เลยนะครับ” เป็นความโชคดีที่ผมเหลือบไปเห็นซองจดหมายมากมายที่ตู้หน้าบ้านเธอ จึงทำให้ผมพอจะมีเรื่องที่ถามเธอได้โดยไม่ดูเสียมารยาท “ให้ผมหยิบให้ไหม”

    “ไม่ต้องหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าช้าๆ น้ำเสียงแหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน “ไม่มีใครอยู่”

    ผมกลับมาขึ้นรถแล้วยิ้มดีใจ ในที่สุดเธอก็พูดกับผม ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าทำไมถึงอยากคุยกับเธอนัก แต่มาส่งของบ่อยขนาดนี้ ถ้าไม่ได้พูดจาอะไรกันสักคำ ผมรู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้

    2 วันต่อมา ก็มีพัสดุที่ต้องไปส่งที่บ้านเธออีก แล้วคราวนี้ เหมือนว่าเธอจะเริ่มรู้ว่าผมจะมาเวลาไหน เพราะพักหลังๆ ผมเห็นเธอมาเดินวนเวียนอยู่ที่หน้าประตูตลอด

    “สั่งของบ่อยจังนะครับ” ผมพูดยิ้มๆ

    “ค่ะ” น้ำเสียงเธอวันนี้ ฟังดูแหบแห้งกว่าวันนั้นมากเหลือเกิน อีกทั้งหน้าตายังดูโทรมจนเห็นได้ชัด

    “ขอโทษนะครับ น้องไม่สบายรึเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

    เธอไม่ตอบ แต่ก้มหน้าเซ็นรับพัสดุเงียบๆ ผมเองก็ไม่กล้าเซ้าซี้มาก หลังจากที่เธอเซ็นเสร็จ เธอก็ส่งคืนมาให้ผม ผมก้มมองกระดาษเพื่อตรวจดูลายเซ็นตามหน้าที่

    “............” เธอพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงนั้นเบาจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง

    “อะไรนะครับ” ผมถามทั้งๆที่ตายังมองอยู่ที่กระดาษในมือ

    “....พี่เคยเห็นผีไหม....”

    ผมสะดุ้งเล็กน้อยกับคำถามของเธอ ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย เธอสบตากับผมครั้งแรก ริมฝีปากซีดค่อยๆยกยิ้ม แล้วก็หันหลังเดินเข้าบ้านไป

    อยู่ๆผมก็รู้สึกว่าอากาศข้างหลังผมมันเย็นลงผิดปกติ ทั้งๆที่แดดจ้าขนาดนี้ แต่ทำไมขนแขนผมมันถึงพร้อมใจกันลุกซู่ก็ไม่รู้

    ผมรีบเก็บใบเซ็นรับของลงกระเป๋า แล้ววิ่งไปขึ้นรถ ผมออกตัวอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่หันกลับไปมองที่บ้านหลังนั้นอีก

    คืนนั้นทั้งคืน ผมเอาแต่คิดวกวนอยู่เกี่ยวกับเรื่องของเธอ จะว่าไปพฤติกรรมของเธอก็ไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไป แถมยังคำพูดคำจาแปลกๆที่ผ่านมาอีก

    หรือว่าผมจะโดนเข้าแล้ว

    ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็ไม่เคยเจอของที่จ่าหน้าถึงบ้านเธออีกเลย จน 1 อาทิตย์ผ่านไป ผมมีของที่ต้องไปส่งที่หมู่บ้านของเธอ แต่คนละซอย การขับรถเข้าหมู่บ้านเธอ มันยิ่งทำให้ผมเกิดความสงสัย ว่าที่ผ่านมาผมเจอผีจริงๆน่ะหรอ

    เมื่อผมส่งของเสร็จ ผมจึงคิดว่าจะวนรถไปขับผ่านหน้าบ้านเธอสักหน่อย

    แต่เมื่อผมมาถึงซอยบ้านเธอ ผมก็เห็นคนมากมายยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง แล้วยังมีรถมูลนิธิจอดปิดซอยอยู่หลายคัน ผมจึงจอดรถแล้วเดินเข้าไปดู

    ผู้คนเหล่านั้น ยืนมุงอยู่ที่หน้าบ้านของเธอ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังกั้นสถานที่เกิดเหตุอยู่ ผมกลืนน้ำลงคออย่างยากลำบาก เมื่อผู้ชาย 2 คนที่ใส่เสื้อมูลนิธิ ช่วยกันแบกห่อผ้าสีขาวออกมา

    หัวใจผมเต้นระรัว ห่อผ้านั้นใครเห็นก็คงรู้ดี ว่าสิ่งที่ผ้าห่ออยู่ คือร่างของคนที่ไร้วิญญาณ ตอนนั้นผมยังพยายามมองโลกในแง่ดี ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นก็ได้

    “ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่เด็กผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวก็แบบนี้ คงเครียดสินะ ไม่น่าเลยออยเอ้ย” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งแถวนั้นพูดขึ้น

    ผมหันขวับไปมอง พลางครุ่นริดถึงสิ่งที่เขาพูด

    ผู้ตายเป็นเด็กผู้หญิง

    บ้านหลังนี้มีคนอยู่คนเดียว

    ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน

    ศพนั้นคงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเด็กผู้หญิงผิวขาวซีดที่ผมเจอทุกครั้งที่มาส่งของ เสียงแหบๆของเธอดังขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง คำพูดสุดท้ายที่เธอถามว่า’พี่เคยเจอผีไหม’ รอยยิ้มนั้นที่ทำให้ผมขนลุก

    “แต่อยู่คนเดียวมาได้ตั้งนานแล้วนะ ทำไมถึงมาคิดเอาป่านนี้” ป้าอีกคนพูดต่อ

    “ฉันได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่าตายมาเกือบอาทิตย์แล้วนะ” ป้าคนแรกบอก

    เกือบอาทิตย์?

    แปลว่าครั้งสุดท้ายที่ผมพบเธอ เธอก็ยังไม่ตายน่ะสิ

    ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เพ้อเจ้อจริงๆเลยเรา ผีที่ไหนจะมาเซ็นรับของได้เกือบทุกวัน ผมมองไปที่ท้ายรถกระบะ ที่ด้านในมีร่างไร้วิญญาณของน้องออยนอนอยู่ ผมยิ้มให้เธอ แล้วหลับตาลง สวดมนต์ขอให้เธอไปสู่สุขคติ

    ผมเลิกคิดมาก แล้วเลี้ยวรถออกมาจากหมู่บ้านของเธอ ขับรถไปตามจีพีเอส เพื่อไปส่งของให้ที่อยู่ต่อไป

    โครม!

    ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆก็มีเสียงดังมาจากตู้เก็บสินค้าหลังรถ ผมชะลอความเร็วลง เผื่อว่ากล่องที่ผมเรียงไว้ข้างหลังมันอาจจะล้มลงมา แต่ก็ยังขับรถต่อไปช้าๆ เพราะคิดว่าเดี๋ยวถึงปลายทางค่อยลงไปเรียงใหม่

    ปึงๆ!

    เสียงปริศนาดังขึ้นอีก แต่คราวนี้มันแปลกไปจากครั้งแรก และมาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือน เหมือนกับมีคนทุบจากด้านในตู้

    ผมรีบเปิดไฟเลี้ยวแล้วหาที่จอดรถข้างทาง บางทีตอนที่ผมเปิดประตูตู้ทิ้งไว้ อาจจะมีเด็ก หรือแมวเข้าไปอยู่ในนั้น

    ผมรีบวิ่งลงรถไปเปิดตู้ดู เพ่งมองไปในความมืดเพื่อหาที่มาของเสียง ผมกวาดตาดูคร่าวๆ ยืนรอเผื่อว่ามันจะมีเสียงออกมาอีก แต่รออยู่พักใหญ่ก็ไม่มีอะไรขยับ ผมจึงถอยออกมาจากรถแล้วเอื้อมมือไปจับประตู เพื่อจะดึงมาปิด

    แต่ในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตุเห็นเงาสีดำๆ ลักษณะคล้ายเท้าคน ขยับยุกยิกอยู่หลังกล่องด้านในสุด เหมือนกำลังพยายามแอบผมอยู่

    “ไอ้หนู ขึ้นมาทำไม” ผมพูดออกไปเพราะคิดว่ายังไงก็ต้องเป็นเด็กแน่ๆ “ถ้าไม่ออกมาจะขังไว้ในนี้นะ”

    ผมทั้งยืนรอ ทั้งเรียกอย่างใจเย็นอยู่นานจนเริ่มโมโห จึงปีนขึ้นรถไปแล้วเปิดไฟฉายส่องไปที่ช่องหว่างระหว่างกล่อง ที่เห็นเงาของเด็กเจ้าปัญหานั่นแอบอยู่

    แต่เมื่อผมสาดไฟเข้าไป ที่ตรงนั้นกลับไม่มีอะไรอยู่เลย ผมใช้เท้าดันกล่องให้เลื่อนไปชิดกัน เผื่อว่าเด็กอาจจะหนีไปแอบที่อื่น แต่ดันจนชิดกันทุกกล่องแล้ว ก็ไม่มีเด็กหรือสัตว์อะไรวิ่งออกมาเลยสักอย่าง

    แล้วเสียงมาจากไหนกัน

    ทันทีที่คิดถึงตรงนี้ ภาพใบหน้าซีดเซียวของน้องออยก็ผุดขึ้นในหัวผม บรรยากาศในตู้ขนของก็แสนจะมืดสลัว ผมรีบกระโดดออกมาจากหลังรถ ปิดประตู แล้วขึ้นไปนั่งข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

    แสงสว่างจากแดดยามสาย พอให้ผมคลายความหวาดระแวงของตัวเองลงไปได้บ้าง ผมค่อยๆออกรถแล้วขับต่อไปยังบ้านหลังที่ 2

    ในขณะที่ผมกำลังมองทางไป ดูจีพีเอสไปอยู่นั้นเอง ผมก็รู้สึกว่าอากาศในรถมันเย็นจัดผิดปกติ จะว่าแอร์ผิดปกติก็ไม่น่าใช่ เพราะมันเย็นที่ร่างกายซีกซ้ายแค่ข้างเดียว

    ผมรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ว่าเบาะข้างตัวผม มันไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่ควรจะเป็น หางตาผมพอจะมองเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่าง รูปร่างคล้ายคนนั่งอยู่ตรงนั้น เสื้อผ้าที่เห็นเลือนลางนั่นก็แสนจะคุ้นตา

    .....ออยตามผมมา.....

    .....แต่เพราะอะไร....

    ผมกำพวงมาลัยแน่น ปากพึมพำสวดมนต์ทุกบทเท่าที่จะนึกออก ตามด้วยแผ่เมตตาอีกหลายรอบ ท่องซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งอาการขนลุกที่แขนซ้ายกลับมาเป็นปกติ

    เมื่อความเย็นยะเยือกหายไป ผมก็หันไปมองเบาะด้านข้างเต็มตาเป็นครั้งแรก เช็คให้แน่ใจว่าออยไปแล้วจริงๆ พอเห็นว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

    “.....พี่เคยเห็นผีไหม....”

    น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นทำให้ใจผมกระตุกวูบ ผมหันกลับมามองทางเพราะกลัวอุบัติเหตุ

    “เฮ้ยยยย!!!!!!!!”

    แต่กลับเจอออยที่นั่งอยู่บนพวงมาลัย ใบหน้าซีดเผือนของเธอ ก้มลงมาจนแทบจะชิดหน้าผม

    ผมแหกปากสุดเสียง หักพวงมาลัยไปมาเพราะกลัวว่าจะชนเข้ากับรถคันหน้า ออยยังคงนั่งจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน เธอยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่

    “ออยพี่ขอโทษ พี่ไม่รู้ว่าพี่ไปทำอะไรให้ออย แต่พี่ขอโทษ อย่ามาหลอกมาหลอนพี่เลย ปล่อยพี่ไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะทำบุญไปให้” ผมละล่ำละลักพูดออกไปยาวเหยียด จะหลับตาก็กลัวว่ารถจะตกลงข้างทาง ได้แต่พยายามมองไปทางอื่น แล้วสวดแผ่เมตตาให้ออยอยู่แบบนั้น

    “พี่ไม่ต้องกลัวหนูหรอกค่ะ” เธอบอกพร้อมกับยิ้มให้

    “พี่กลัวพ่อแม่หนู

    ที่เกาะอยู่ที่ตู้หลังรถพี่ดีกว่า”

    ปึงๆๆๆ!!!!!

    ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อแรงกระแทกจากตู้ด้านหลัง มันสะเทือนมาถึงเบาะที่ผมนั่ง


    นี่มันเกิดอะไรขึ้น


    ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของออยก็เริ่มเปลี่ยนเป็นโกรธจัด ขมับสีขาวซีดของเธอมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เธอยกมือจากพวงมาลัยขึ้นมาบีบที่คอผม

    “พี่ฆ่าพ่อแม่หนู!”

    ปึงๆๆๆๆ!!!!!!

    “พี่ทำให้หนูต้องอยู่คนเดียว!”

    ปึงๆๆๆๆ!!!!!!!!!

    “พี่ทำให้หนูต้องฆ่าตัวตาย!”

    ปึงๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    “มึงฆ่าพ่อแม่กู!!!!”

    เอี๊ยดดดดดด!!!! โครม!!!!!!

    รถของผมขนเข้ากับท้ายของรถบรรทุกอย่างแรง

    ส่งผลให้รถกระเด็นลงข้างทาง แล้วกลิ้งลงเนินไปอีกหลายตลบ

    ผมรู้สึกชาที่ขาทั้ง 2 ข้าง ที่หัวก็มีเลือดไหลอาบจนตาแทบจะมองไม่เห็นอะไร

    แต่ก่อนที่ความรู้สึกนึกคิดของผมจะดับวูบลง ผมมองออกไปที่นอกตัวรถ เห็นออยเดินเข้าไปหาหญิงชายวัยกลางคนคู่หนึ่ง ออยกอดและยิ้มให้พวกเขา ก่อนที่ทั้ง 3 คนหันมามองที่ผม

    แล้วก็หายวับไป

    .

    .

    .

    .

    .

    .


    2 เดือนหลังจากนั้น ผมก็ได้ออกจากโรงพยาบาล หมอไม่สามารถรักษาขาของผมเอาไว้ได้ ผมกลายเป็นคนพิการ ขาไม่มีทั้ง 2 ข้าง ตาข้างซ้ายก็เริ่มจะมองไม่ค่อยเห็นเต็มที

    นี่คงเป็นกรรมที่ผมเคยก่อเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน

    ในคืนวันฝนตกคืนหนึ่ง ตอนที่ผมยังส่งของอยู่กับที่ทำงานเก่า ผมขับรถฝ่าไฟแดง ไปชนเข้ากับมอร์เตอร์ไซด์ของ 2 สามีภรรยาเข้า รถของผมพลิกคว่ำไปทับร่างของ 2 คนนั้น

    ....พวกเขาเสียชีวิตคาที่....

    ใครเลยจะรู้ ว่าหลายเดือนต่อมา ทั้งๆที่ผมมาสมัครงานกับบริษัทแห่งใหม่ แต่บริษัทเปิดใหม่แห่งนี้ ดันประหยัดงบการผลิตรถของบริษัท โดยการซื้อตู้ขนสินค้ามือ 2 มาจากอู่ซ่อมรถ จนทำให้ผม ได้มาพบกับเจ้ากรรมนายเวรของผมอีกครั้ง...

แบ่งปันหน้านี้