คุณเคยนอนละเมอกันไหมคะ [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 8 พฤษภาคม 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    คุณเคยนอนละเมอกันไหมคะ ฉันเป็นหนึ่งคนที่นอนละเมอ อาการของฉันคือ ตอนเข้านอนก็นอนอยู่บนเตียงดีๆ แต่ในตอนเช้า ฉันมักจะตื่นขึ้นมาในที่แปลกๆ

    อาการนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก จำได้แค่ว่า มีเช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นมา แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่ที่ปลายเตียง โดยที่ขาทั้ง 2 ข้างห้อยลงมาข้างเตียงแล้ว

    ฉันคิดว่าตัวเองคงทำงานหนักมากไป จึงทำให้สมองเบลอๆ เผลอสั่งการให้ร่างกายขยับ ทั้งๆที่กำลังหลับ

    หลังจากละเมอครั้งแรก ฉันก็ไม่มีอาการนั้นอีก จนกระทั่ง 2 อาทิตย์ต่อมา

    ครั้งที่ 2 นี้ ตื่นขึ้นมาที่พื้นหน้าตู้เสื้อผ้า รู้สึกร้าวระบมแปลกๆ ฉันจึงตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง

    แม่ฟังแล้วก็แค่หัวเราะ และบอกว่า สงสัยฉันจะคิดถึงเรื่องเสื้อผ้า ที่จะใส่ไปงานแต่งของเพื่อนมากเกินไป ฉันถึงได้เดินละเมอไปนอนหน้าตู้เสื้อผ้าแบบนั้น

    ฉันก็คิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้ เพราะคืนนั้นฉันเองก็ลองชุดนั้น ถอดชุดนี้ อยู่จนเกือบตี 4 มันจึงกลายเป็นเรื่องที่ฉันกับแม่ เอาไว้เล่าให้คนอื่นฟังขำๆ ว่าฉันเลือกชุดมากไปจนเก็บเอาไปฝัน

    ต่อมาไม่นาน มันก็เกิดเหตุการณ์ ที่ทำให้ฉันเริ่มจะไม่ตลก กับอาการละเมอนี้

    คืนนั้นฉันจำได้แม่น ว่าตัวเองเข้านอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม และไม่ได้ทำงานหนักติดต่อกันมาก่อนหน้านั้น เหมือนอย่างทุกครั้งที่ละเมอ

    แต่เมื่อตื่นขึ้นมา ฉันก็ปวดระบมไปทั้งตัว แถมยังมานอนอยู่ที่พื้นระเบียงห้องฝั่งหน้าต่าง ถัดจากฉันคือราวกั้น ทำจากเหล็กสูงประมาณอก ถัดจากราวเหล็กนั้นไปก็เป็นพื้นถนน ที่อยู่ต่ำลงไปเกือบร้อยเมตร เนื่องจากฉันอาศัยอยู่ที่ชั้น 27 ของคอนโด ถ้าฉันก้าวข้ามมันไปล่ะก็ ฉันคงไม่มีชีวิตอยู่ถึงตอนเช้าเป็นแน่

    เย็นวันนั้นฉันตัดสินใจลางานไปหาหมอ เพื่อบอกเล่าอาการดังกล่าวให้หมอฟัง ฉันต้องการที่จะรักษา เพราะฉันไม่รู้ว่าในอนาคต ฉันจะละเมอมากกว่านี้ แล้วทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บหนัก หรืออาจจะถึงแก่ชีวิตหรือเปล่า

    คุณหมอสอบถามอาการเบื้องต้น รวมไปถึงเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อวินิจฉัยว่าทำไมฉันจึงละเมอได้

    สุดท้ายแล้วเขาก็บอกว่าอาการของฉันไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เพราะไม่ได้ละเมอถี่จนผิดปกติ แต่กำชับให้ฉันเก็บของมีคมให้ห่างจากห้องนอน และล็อคประตูระเบียง ให้เรียบร้อยก่อนนอนทุกคืน

    คืนนั้นฉันกลับมาถึงบ้าน 2 ทุ่ม ฉันจัดการทำทุกอย่างตามที่คุณหมอแนะนำ แล้วเข้านอนตอน 3 ทุ่ม

    แต่แล้วฉันก็ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะอากาศที่หนาวเย็นจนผิดปกติ พอลืมตาขึ้นมา ฉันก็ต้องตกใจ เมื่อพบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบในห้องน้ำ แถมยังมีน้ำนองพื้นเต็มไปหมด

    ฉันละเมออีกแล้ว แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนที่ผ่านมา ฉันไม่ได้เดินมานอนเฉยๆ แต่ฉันหยิบฝักบัวมาวางที่พื้น เอาผ้ามาอุดฝาท่อ เปิดน้ำจนนอง แล้วก็ลงไปนอนที่พื้น

    ฉันรีบค้นหาอาการดั่งกล่าวตามอินเตอร์เน็ต เพื่อดูว่ามีใครเคยเป็นแบบฉันบ้าง และมันอันตรายมากไหม ฉันต้องทำอย่างไรต่อไปกับอาการนี้ แต่ไม่ว่าจะหาสักเท่าไหร่ ฉันก็ไม่เจอใครที่ละเมอแปลกเท่าฉันเลย

    วันรุ่งขึ้นฉันลางานอีกครั้ง และคราวนี้ฉันเลือกไปพบหมอที่เฉพาะทางมากกว่าเมื่อวาน ฉันเล่าอาการละเมอตั้งแต่ครั้งแรกให้หมอฟัง หมอท่านนี้ก็ยังยืนยันเหมือนหมอท่านก่อน ว่ามันไม่ได้ถือว่าผิดปกติอะไร แต่ถ้าฉันจะรักษา ตอนนี้หมอแนะนำได้แค่ว่า ต้องพยายามพักผ่อนให้เพียงพอ ทำตัวเองให้ผ่อนคลายก่อนที่จะนอน และงดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

    ฉันพยายามทำตามคำแนะนำของหมอทุกอย่าง หลังจากวันนั้น 2 อาทิตย์ ฉันก็ไม่มีอาการละเมออีก

    จนกระทั่งเข้าสู่อาทิตย์ที่ 3

    ฉันตื่นขึ้นมาที่นอกระเบียงอีกครั้ง ทั้งๆที่ก่อนนอน ฉันมั่นใจว่าฉันล็อคประตูระเบียงแล้วแน่ๆ ถึงอาการละเมอของฉันมันจะไม่ได้เข้าขั้นผิดปกติ แต่สถานที่ที่ฉันเดินมาตอนละเมอนี่สิ มันอันตรายสุดๆไปเลย นอกจากจะตื่นมาในที่แปลกๆแล้ว เนื้อตัวของฉันยังมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ ตามแขนขาอีกด้วย

    หลังจากเลิกงานวันนั้น ฉันแวะไปที่ห้าง หาซื้อกล้องดิจิตอลถูกๆสักตัว มาใช้อัดช่วงเวลาที่ฉันนอน เพื่อเอาไปให้หมอวิเคราะห์ดูว่า ฉันจะจัดการกับอาการพวกนี้ได้ยังไงบ้าง

    ฉันเลือกตั้งกล้องไว้ที่มุมห้องฝั่งซ้ายของหัวเตียง เพราะมุมนี้จะมองเห็นได้หมด ทั้งเตียง ตู้เสื้อผ้า ประตูระเบียง และประตูห้องน้ำ

    หลังจากนั้น 3 วัน ฉันก็มาเปิดดูสิ่งที่ตัวเองอัดไว้ในกล้อง

    คืนแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    คืนที่ 2 เหมือนว่าฉันจะแค่พลิกตัวไปมาแค่นั้น

    คืนที่ 3 เป็นคืนที่อาการภูมิแพ้ของฉันกำเริบ ฉันจึงกินยาแก้แพ้เข้าไป

    และคืนนั้นเอง ที่เป็นคืนที่ทำให้ฉันลืมไม่ลง


    เวลา 21:46 เป็นเวลาที่ฉันกินยาแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง

    เวลา 22:24 เหมือนมีเงาอะไรบางอย่างผ่านไปมาที่ปลายตียง ฉันคิดเอาเองว่ามันอาจจะเป็นแสงจากไฟด้านนอก

    เวลา 23:12 ผ้าห่มที่ปลายเท้าของฉันถูกเลิกขึ้นมาจนเห็นเท้าฉัน


    ฉันพยายามเพ่งมองว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่จุดนั้น ทำไมอยู่ๆผ้าห่มมันถึงพับขึ้นมาได้ ทั้งๆที่ในห้องฉันไม่มีลมพัดเลยสักนิด

    ในขณะที่ฉันกำลังซูมดูที่ปลายเตียงนั้นเอง จู่ๆตัวฉันในวีดีโอก็ขยับลงมาที่กลางเตียงอย่างแรง ฉันกดซูมออกแล้วกรอดูเหตุการณ์เมื่อครู่อีกครั้ง

    ตอนที่ผ้าห่มถูกดึงขึ้นไปจนขาฉันโผล่ออกมา ไม่ถึงนาทีขาข้างนั้นก็เหมือนถูกกระชากอย่างแรงจากบางอย่างที่มองไม่เห็น แรงกระชากนั้นทำให้หัวฉันที่นอนอยู่บนหมอน ถูกลากลงมาอยู่ที่กลางเตียง

    ฉันช็อคกับสิ่งที่ได้เห็น นี่มันไม่ใช่ละเมอแล้ว ฉันไม่ได้ลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่เหมือนมีบางอย่างพยายามดึงฉันลงจากเตียง

    ฉันไม่กล้าที่จะดูต่อคนเดียว บ่ายวันนั้นฉันเข้าไปลางาน เก็บกล้องใส่กระเป๋า แล้วกลับไปหาแม่ที่บ้านทันที

    แม่ของฉันเกิดและโตที่หมู่บ้านในชนบท ทันทีที่ฉันเล่าเรื่องที่เห็นมาให้แม่ฟัง แม่ก็บอกให้ฉันรีบขับรถพาแกไปที่บ้านยายโดยด่วน

    ตลอดทางที่ฉันขับรถอยู่ แม่ก็โทรหาคนนั้นคนนี้วุ่นวายไปหมด สุดท้ายแล้วแม่ก็ให้ฉันขับรถเลยบ้านยายไป 20 กว่ากิโล เพื่อหาเพื่อนของยายคนหนึ่ง

    ทันทีที่ไปถึง เพื่อนของยายก็บอกให้เรารีบเข้าบ้าน และยังไม่ทันที่ฉันจะได้อ้าปากเล่าอะไร แกก็ทักสวนขึ้นมาว่า ไปปากดีทักอะไรมาใช่ไหม ทำไมปากหาเรื่องแบบนี้

    ฉันมองหน้าแกอย่างไม่เข้าใจ “หนูปากดีอะไรคะ หนูไม่เคยพูดอะไร”

    “มึงพูด เค้าบอกกู” เพื่อนยายบอก แล้วมองมาที่ฉันอย่างโกรธๆ

    “ใครบอกคะ” ตอนนั้นฉันเองก็เริ่มอารมณ์เสีย ยังไม่ทันจะฟังอะไรเลยก็ด่าเอาๆ

    “คนที่เค้าตามมึงมา”


    ตอนนั้นเองที่อยู่ๆฉันก็รู้สึกขนลุกซู่ แล้วก็มีภาพอุบัติเหตุบางอย่างแว๊บเข้ามาในหัว


    2 เดือนก่อน ขณะที่ฉันขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางฉันเห็นรถเก๋งสีดำคันหนึ่งพังยับอยู่ในคูน้ำข้างทาง ทั้งรถพยาบาลและปอเต็กตึ๊งจอดเรียงรายไม่ต่ำกว่า 4 คัน

    “พังยับเลย ตายไหมน่ะ” ฉันพูดกับตัวเองเบาๆ

    “พวกเมาแล้วขับ ทั้งรถทั้งคน ขาด 2 ท่อนเลย” ฉันได้ยินเสียงอาสาสมัครคนหนึ่งพูดขึ้น

    ‘ตายซะก็ดี คนแบบนี้’ นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดในใจในตอนนั้น

    “เค้าจะเอามึงไปอยู่ด้วย!” ฉันสะดุ้งเมื่อเพื่อนยายตะโกนขึ้นมา

    “ไปทำอะไรมา” แม่หันมาถามฉันด้วยสีหน้าจะร้องไห้

    ตอนนั้นฉันได้แต่ส่ายหัวไม่ยอมรับ ฉันไม่เคยเจอผี แต่ก็ไม่เคยลบหลู่ว่าผีไม่มีจริง รวมทั้งสิ่งที่ฉันเห็นในคลิปของตัวเอง มันก็เหมือนจะช่วยยืนยันได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่าง กำลังพยายามทำร้ายฉันอยู่จริงๆ

    แต่ที่ฉันไม่ยอมรับ เพราะฉันคิดว่าเรื่องมันก็นานมาแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ตาย มันอาจจะเป็นเพราะฉันจำเรื่องที่พูดตอนนั้นไม่ได้ ฉันกลัวว่าถ้ายอมรับออกไป มันจะทำให้วิญญาณดวงนั้นทำร้ายฉันได้ง่ายขึ้น

    “มึงอยากเห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับมึง” ยายคนนั้นพูดแล้วแบมือมาทางฉัน

    ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าแกสื่อถึงอะไร แต่อยู่ๆฉันก็เปิดกระเป๋า แล้วล้วงเอากล้องดิจิตอลออกมายื่นให้โดยไม่รู้ตัว

    เพื่อนยายกำกล้องไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วหลับตาสวดพึมพำอะไรบางอย่าง

    “เปิดดูใหม่”

    ฉันรับกล้องคืนมา แล้วเปิดเครื่องดูวีดีโอที่อัดไว้อีกครั้ง

    ภาพในกล้องฉายสิ่งที่ฉันเคยดูไปก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้ภาพที่เห็น มันไม่เหมือนกับครั้งแรกที่ฉันดู ฉันไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง ภาพเงาดำที่ปลายเตียงก่อนหน้านั้น ปรากฎเป็นภาพคนที่มีเพียงร่างกายส่วนบนชัดเจน เขาใช้มือเดินแทนเท้า ลากร่างที่แหลกเกือบละเอียดของตัวเองวนเวียนไปมาที่ปลายเตียงของฉัน

    ก่อนที่เขาจะเปิดผ้าห่มฉันออกอย่างแรง มือที่ถูกบางอย่างบดจนเละเทะนั่น จับหมับเข้าที่ข้อเท้าฉัน แล้วออกแรงกระชากจนตัวฉันไหลลงมาอยู่ที่กลางเตียง

    ภาพต่อจากนั้นคือสิ่งที่ฉันยังไม่ได้ดู มือข้างนั้นเปลี่ยนจากขา มาจับที่มือฉันแล้วกระชากอีกครั้ง และแรงดึงคราวนี้ทำให้ฉันตกลงไปอยู่ที่ข้างเตียง

    ร่างนั้นใช้มือลากร่างตัวเองไปที่ประตูระเบียง เอื้อมมือที่ผิดรูปผิดร่างไปปลดล็อคมัน แล้วเปิดออกด้วยความยากลำบาก ก่อนจะคลานกลับมาที่ฉัน แล้วจิกหัวฉัน ลากไปตามพื้น จนออกไปนอกระเบียง

    เขาพยายามจะจับตัวให้ขึ้นไปพาดกับราวเหล็ก แต่ทำเท่าไหร่ ฉันก็หล่นลงมานอนอยู่ที่พื้นทุกครั้ง นี่คงเป็นที่มาของรอยเขียวช้ำต่างๆตามตัวฉัน เขาคงอยากจะจับร่างของฉัน โยนข้ามราวเหล็กนั่นให้ตกลงไปตายแน่ๆ

    ฉันปิดกล้องด้วยมืออันสั่นเทา ถ้าเป็นในหนัง ฉันคงจะกรี๊ดแล้วเป็นลมไป แต่นี่คือความจริง ฉันกรี๊ดไม่ออก ไม่มีแม้แต่เสียงที่จะเอ่ยอะไรออกมา มีเพียงแค่น้ำตาที่มันไหลลงมาจนอาบแก้ม

    ฉันไม่ได้ละเมอ แต่ฉันถูกวิญญาณที่อาฆาตตามฆ่ามาตลอด สมองขาวโพลนไปหมด คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะทำยังไง ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นของแม่ที่นั่งดูวีดีโออยู่ด้วยกัน แม่เอาแต่ขอร้องให้คุณยายคนนั้นช่วยฉันที

    ยายดึงกล้องออกไปจากมือฉัน บอกให้ฉันตั้งสติ แล้วสวดตามแก ยายใช้ให้เด็กผู้ชาย 2 คนไปหาดอกบัว ธูปเทียนมาให้ พวกเขาจับฉันลงนอน เอาสิ่งของเหล่านั้นมาให้ฉันถือ แล้วพนมมือไว้ ก่อนที่จะใช้สายสิญจน์พันมือฉันโยงไปที่เท้า เหมือนมัดตราสัง

    ในตอนนั้นเองที่ฉันมองสิ่งที่พวกเขาทำกับฉัน หางตาก็เหลือบไปเห็นภาพของผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีร่างกายแค่ท่อนบนอยู่ที่ปลายเท้าไม่ไกล ใบหน้าซีกซ้ายถูกครูดจนเห็นแต่เนื้อแดงๆ ลูกตาห้อยระโยงระยาง แขนบิดเบี้ยวจนมองเห็นกระดูกหักที่ทะลุผิวหนังออกมา เขาจ้องมาที่ฉันด้วยดวงตาข้างเดียวที่เหลืออยู่ ในแววตามีความอาฆาตอย่างเห็นได้ชัด

    เขาพยายามจะคลานมาหาฉันที่นอนอยู่ ฉันอยากจะหนีไปจากตรงนี้ แต่ทำได้แค่สวดมนต์ให้ดังขึ้น เพราะรู้ว่าเพื่อนของยายกำลังช่วยฉันอยู่

    เขายังจ้องมาที่ฉันไม่วางตา และทั้งๆที่เขาไม่ได้อ้าปาก แต่ฉันได้ยินเสียงผู้ชายพูดว่า

    “ปากดีนักนะมึง”

    ฉันหลับตาปี๋ แผ่เมตตาจนสุดเสียง ในใจพูดแต่’หนูขอโทษ’ซ้ำไปซ้ำมา

    จนกระทั่งเสียงของยายเงียบลง

    ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น ก็ไม่เจอผู้ชายคนนั้นแล้ว แม่เข้ามาประคองฉันให้ลุกขึ้นนั่ง หลายชายของยาย 2 คน เข้ามาช่วยกันแก้มัดตราสังออกให้

    “ดีที่ยังมีบุญมากพอที่เขาจะยอมรับไป แล้วยกโทษให้” ยายคนนั้นพูด “หลังจากนี้ก็ทำบุญเยอะๆ แผ่เมตตาให้เขา แล้วที่สำคัญ ห้ามไปปากดีแบบนั้นที่ไหนอีก”

    ฉันพยักหน้ารับทั้งน้ำตา เหตุการณ์ในวั้นนั้นคือเหตุการณ์ที่ฉันจะจำไปจนวันตายอย่างแน่นอน

    หลังจากวันนั้นฉันก็หมั่นเข้าวัด ทำบุญทุกครั้งที่มีโอกาส แผ่เมตตาให้ทั้งผู้ชายคนนั้น และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เวลาขับรถไปเจออุบัติเหตุที่ไหนอีก ฉันก็ไม่แม้แต่จะมองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ได้แต่สวดแผ่เมตตาอยู่ในใจ ไม่ว่าอุบัติเหตุนั้นจะมีคนตายหรือไม่ก็ตาม

แบ่งปันหน้านี้