ความรู้ทั่วไปเรื่องสิว การเกิดสิว และการรักษา

หัวข้อกระทู้ ใน 'คลังความรู้เรื่องความสวยความงามและสุขภาพ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 9 พฤษภาคม 2015.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    วันนี้เราจะมาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของสิว เรื่องที่คนมักจะพูดกันว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่พอเวลาหน้าเราเองเป็นสิวขึ้นมา เราก็ทนไม่ได้ ราวกลับถูกธรรมชาติลงโทษ ถึงจะโผล่มาให้เห็นแค่เม็ดสองเม็ด ก็ต้องรีบหาวิธีจัดการรักษา และป้องกันไม่ให้สิวบุกมาอีก

    ก่อนที่เราจะพูดถึงวิธีการรักษาสิว เราน่าจะมาทำความรู้จักกับ เรื่องราวของสิวบนใบหน้าหรือบนร่างกายของเราเสียก่อน จะได้รู้ที่มาของสิว รู้ว่าเราเป็นสิวแบบไหน จะได้หาทางแก้ไข รักษา และป้องกันอย่างไร ไม่ให้สิวกลับมาอีก

    สิวคืออะไรกันแน่
    สิวคือปัญหาที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง หรือโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่ใช่โรคร้ายแรงต่อร่างกาย แต่ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อความสวยความงาม สิวสามารถเกิดได้แทบทุกส่วนของร่างกาย ส่วนใหญ่สิวมักจะเกิดบริเวณใบหน้า หลัง และหน้าอก เกิดได้ทั้งชายและหญิง และจะพบมากในช่วงวัยรุ่น


    สิวมาจากไหน
    จุดกำเนิดของสิว เริ่มต้นมาจากใต้ผิวหนังของเรา มีต่อมไขมันที่คอยผลิตไขมันอยู่ตลอดเวลาบริเวณโคนขน ซึ่งจะปล่อยเป็นน้ำมันออกมาตามรูขุมขนเพื่อส่งความชุ่มชื้นมายังผิวหนัง ในระหว่างเส้นทางการส่งปล่อยไขมันไปยังผิวหนังนี้เอง ก็จะมีเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่อยู่บริเวณผนังท่อส่งไขมัน หลุดติดออกไปพร้อมกับไขมันด้วย ขณะเดียวกัน ก็จะมีแบคทีเรียตัวนึงที่ชื่อว่า P.Acnes (Propionibacterium Acnes) เข้ามากินไขมัน และปล่อยสารคอมิโดน (Comedone Code) ออกมา ตัวคอมิโดนนี้จะไปกระตุ้นผนังเซลล์ที่รูขุมขน ให้เซลล์หลุดออกมามากขึ้น พอมีจำนวนมากเข้า ก็จะทำให้เกิดการอุดตันบริเวณท่อส่งไขมัน ทำให้เกิดเป็นสิวขึ้นมานั่นเอง

    สิวเกิดขึ้นได้อย่างไร จากยูทูป



    ชนิดของสิว
    การเกิดสิว สามารถพบเจอได้ในหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่ไม่อักเสบ (ฝังตัวอยู่ใต้ผิวแบบเงียบๆ) และแบบอักเสบ ที่ปะทุปูดบวมแดงออกมาให้เห็นชัดๆ ซึ่งสิวแต่ละแบบก็มีชื่อเรียกแตกต่างกัน ตามลักษณะต่างๆ และก็มีวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไปด้วย

    ชนิดของสิว


    - สิวหัวปิด หรือสิวหัวขาว (White Head Comedones)
    สิวหัวปิด หรือสิวหัวขาว คือสิวที่มองไม่เห็นหัวสิว เพราะอยู่ใต้ผิวหนังอีกที ลักษณะภายนอกจะเห็นเป็นตุ่มนูนแดง ข้างในมีหัวสิวขาวขุ่นตรงกลาง สิวประเภทนี้มักจะขึ้นแถวคาง รอบริมฝีปาก ซอกจมูก อาจเป็นสิวที่ยังไม่เกิดการอักเสบ เวลาจับจึงยังไม่เจ็บ แต่ก็มีโอกาสกลายเป็นสิวอักเสบได้ตลอดเวลา


    - สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ (Black Head Comedones)
    สิวหัวเปิด สิวหัวดำ หรือสิวอุดตัน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขึ้นมาคล้ายสิวหัวขาว แต่จะหัวสิวโผล่ทะลุมาที่ผิวด้านนอกเป็นหัวดำๆ ซึ่งเกิดจากการอุดตันของไขมัน ตอนที่ไขมันมาถึงบริเวณปากรูขุมขน และเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนภายนอก ทำให้เกิดเป็นหัวดำขึ้น สิวประเภทนี้มักจะเกิดบริเวณใบหน้า จมูก


    - สิวอักเสบ
    สิวอักเสบ เป็นสิวที่เกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรีย P.Acne การติดเชื้อเกิดขึ้นภายใต้ผิวหนัง จึงทำให้สิวที่เกิดเป็นตุ่มนูน บวม แดง เป็นตุ่มหนองอยู่ใต้ผิวหนัง เมื่อจับหรือกดแล้วจะรู้สึกเจ็บ

    การกำจัดสิวอักเสบสูตรบ้านๆ



    - สิวหัวช้าง
    สิวหัวช้าง หรือ คือสิวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเหมือนสิวอักเสบ แต่เกิดรุกรามใหญ่โต จึงบวมแดง และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อาจมองเห็นหัวสิวไม่ชัด (คล้ายฝีไม่มีหัว) ภายในจะมีพวกหนองและเลือดปะปนอยู่มาก เมื่อรักษาหายแล้ว มักจะเกิดรอยดำของสิวอยู่


    - สิวซีสต์
    สิวซีสต์ เป็นสิวไม่มีหัว มีขนาดใหญ่ บวมแดง กินบริเวณกว้าง ผิวรอบๆ จะแดง สิวซีสต์มักจะเป็นเดี่ยวๆ มีลักษณะคล้ายๆ เป็นฝี บางครั้งมีอาการปวดตุบๆ ด้วย ข้างในสิวซีสต์จะประกอบไปด้วยของเหลวพวกหนองและก้อนไขมัน เป็นไต ก้อนแข็งๆ สิวซีสต์มักจะเกิดกับคนที่มีผิวมันมาก และมีรูขุมขนกว้าง

    การรักษาสิวซีสต์
    * ใช้การผ่าออก โดยไปหาหมอ แล้วหมอจะใช้วิธีเลาะเอาถุงซีสต์ออกมาจนหมด แต่ก็อาจทำให้เป็นแผลเป็น หรือเกิดเป็นหลุมสิวได้
    * ใช้เลเซอร์ เป็นการใช้เลเซอร์เปิดผิวพร้อมกำจัดถุงซีสต์ออกไป จากนั้นก็จะกดเอาพวกไขมันในถุงออกมาให้หมด ซึ่งก็ยังมีโอกาสที่เกิดเป็นหลุมสิวหลังการรักษาได้

    การรักษาสิวซีสต์ http://pantip.com/topic/32252672
    พูดคุยเรื่องสิวซีสต์ http://pantip.com/topic/31892819

    - สิวหิน หรือสิวข้าวสาร
    สิวหิน หรือสิวข้าวสาร เป็นสิวหัวปิด มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ มักเกิดทีหลายๆ ตุ่ม สีขาวๆ เหลืองๆ บีบออกได้ยาก มักเกิดแถวใต้ตา เปลือกตา

    การรักษาสิวหิน
    * ไปหาหมอ ให้หมอใช้เข็มสะกิดออก
    * ไปหาหมอ ใช้การรักษาด้วยเลเซอร์ เพื่อให้เกิดเป็นแผลตกสะเก็ดที่สิว แล้วสิวค่อยหลุดออกไป
    รีวิวการรักษาสิวหินด้วยเลเซอร์ พันทิป http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2012/09/Q12713283/Q12713283.html
    รีวิวการรักษาสิวหินด้วยเลเซอร์ http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=91037

    * การรักษาด้วยตัวเอง โดยการใช้วิธีแบบพื้นบ้าน คือแต้มด้วยปูนแดง แล้วสิวจะค่อยๆ หลุดลอกออกไปเอง แต่วิธีนี้อาจได้ผลช้ากว่าวิธีอื่นๆ
    รีวิวการรักษาสิวหินด้วยปูนแดง ด้วยตัวเอง พันทิป http://pantip.com/topic/31948905

    - สิวผด
    สิวผด มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ เหมือนเม็ดผดผื่น ขึ้นทั่วหน้า มักจะเป็นๆ หายๆ เป็นพักๆ ขึ้นเร็วยุบเร็ว เช่นตอนเช้าสิวยุบ พอช่วงบ่ายอากาศร้อน ก็เห่อขึ้นมาอีก

    - สิวเสี้ยน
    สิวเสี้ยน เชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของต่อมรูขุมขน ที่ผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ และเกิดการอุดตันขึ้น สิวเสี้ยนมีลักษณะเป็นสิวหัวเปิดเม็ดเล็กๆ คล้ายสิวอุดตันหัวดำ และมีกระจุกขนอ่อนอยู่ในรูขุมขน เวลาบีบแล้วจะเป็นเส้นขาวๆ ออกมา พบมากแถวปลายจมูก หน้าผาก ข้างแก้ม คาง

    การรักษาสิวเสี้ยน
    * การทายารักษาสิว
    ส่วนใหญ่ยาที่ใช้่รักษาสิวจะมีส่วนผสมของตัวยาที่ช่วยลดปริมาณไขมันที่ผิวหนัง ละลายสิ่งสกปรกที่อุดอยู่ตามรูขุมขน จึงช่วยลดการอุดตันของไขมันได้ ซึ่งมักจะเป็นตัวยาประเภท Benzoyl Peroxide, กรดวิตามินเอ (Retinoic Acid), Clindamycim, Saiicylic Acid อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งตัวยาเหล่านี้จะไปช่วยขจัดถึงต้นตอของสิว สามารถช่วยลดการเกิดสิวเสี้ยนได้ด้วย

    * การใช้ครีมลอกสิว หรือมาร์คลอกสิว
    การใช้ครีมลอกสิว เป็นวิธีการกำจัดสิวเสี้ยนที่หลายคนนิยม ออกแนวค่อนข้างโหดนิดนึง เพราะเป็นการใช้ครีมที่เป็นลักษณะเหมือนกาว มาพอกไว้ที่หน้า ทิ้งไว้ให้ครีมแห้ง จากนั้นค่อยๆ ลอกออกมา สิวเสี้ยน และขนอ่อนเล็กๆ ก็มักจะหลุดติดออกมาเวลาลอก

    ข้อดี - ข้อเสีย
    - การใช้ครีมลอกสิว เป็นการกำจัดสิวเสี้ยนออกชั่วคราว หลังทำแล้วควรต้องดูแลรักษาจนถึงต้นตอการเกิดสิวอีก เพราะการลอกสิวเสี้ยนออกไป สามารถทำให้สิวเสี้ยนกลับมาได้อีก
    - การใช้ครีมลอกสิว ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง อาจเกิดอาการแพ้กาวครีม หรือกลายเป็นการกระตุ้นการเกิดสิว ทำให้สิวเห่อขึ้นมาทีหลังได้
    - การลอกสิว ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวหน้าบอบบาง มีสิวอักเสบ หน้าแพ้แดด ผิวแพ้ง่าย ผิวติดสเตียรอยด์
    - เวลาทาครีม ควรเว้นบริเวณที่ผิวอ่อนๆ หรือบริเวณที่มีขน ผม เช่นข้างจมูก รอบดวงตา รอบริมฝีปาก หนวด เครา คิ้ว จอน ตีนผม และบริเวณที่เป็นแผลหรือสิวอักเสบ
    - ครีมลอกสิวที่มีความเหนียวมากๆ อาจจะทำให้เกิดบาดแผลกับใบหน้า หรือมีอาการแพ้ตัวกาวที่ใช้ลอกก็ได้ การใช้จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้ ไม่ควรเลือกสินค้าที่ไม่มี อย. หรือใช้ตามการบอกต่อ
    - การมาร์คหน้าหรือลอกสิวเสี้ยน อาจใช้วิธีแบบธรรมชาติได้ด้วย เช่น การใช้ไข่ขาว เจลลาติน เป็นต้น

    รีวิวการใช้ครีมลอกสิว http://pantip.com/topic/31557064

    การกำจัดสิวเสี้ยนด้วยไข่ขาว


    การลอกสิวด้วยเจลลาติน http://pantip.com/topic/30092228
  2. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    สิวเกิดการอักเสบขึ้นได้ยังไง
    โดยทั่วไปแล้ว สิว ก็เปรียบเหมือนกับภูเขาไฟที่ดับไม่สนิท รอการปะทุขึ้นมาอีกครั้ง สิวก็เหมือนกัน หากอุดตันอยู่แล้วเกิดมีเชื้อแบคทีเรียที่เคยอยู่ตามผิวหนัง ตามรูขุมขน หรืออาจมาจากสารเคมีจากพวกเครื่องสำอาง น้ำมัน สิ่งสกปรกต่างๆ เข้าไป เชื้อพวกนี้ยิ่งได้ใจเพราะไม่ชอบออกซิเจน เลยเกิดลูกหลาน แบ่งตัวกันมากมายจนกลายเป็นแผลอักเสบใต้ผิวหนัง เมื่อร่างกายมีการอักเสบเกิดขึ้นกับร่างกายเรา เจ้าชายเม็ดเลือดขาว ก็จะนำกองกำลังมาฆ่าเชื้อ รบรากันจนทำให้สิวบริเวณนั้นอักเสบ เกิดเป็นตุ่มแดง บวม เจ็บระบม เป็นหัวหนอง
    สาเหตุของการเกิดสิว
    หลายคนมักจะคิดว่าการเกิดสิว มาจากการรักษาความสะอาดไม่ดีพอ ซึ่งความจริงแล้ว การเกิดสิวมาจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งปัจจัยภายในร่างกายที่ไม่เหมือนกันในแต่ละคน และปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ส่งผลให้แต่ละคนเป็นสิวมากน้อยต่างกันด้วย

    ปัจจัยภายใน
    ปัจจัยภายใน คือสิ่งกระตุ้นให้เกิดสิวที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ได้แก่

    - กรรมพันธุ์
    หลายคนเชื่อว่าเป็นสิวแล้วรักษาไม่หายซะที น่าจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ ที่ติดมาจากพ่อแม่ ที่เคยเป็นสิวเยอะ ทำให้เราพลอยเป็นสิวไปด้วย แท้จริงแล้วการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์นั้น เป็นการสืบทอดในเรื่องของปริมาณฮอร์โมน ลักษณะผิว เช่นผิวมัน หรือผิวแห้ง เหมือนพ่อแม่ รวมถึงเรื่องการสืบทอดปริมาณต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน และการทำงานของต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน ซึ่งก็ทำให้เรามีโอกาสเกิดสิวได้ง่ายกว่าคนอื่น แต่ต้นเหตุของการเกิดสิวที่แท้จริงๆ นั้น ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกอื่นๆ ด้วย เช่นการดูแลรักษาผิวหน้า ดูแลสุขภาพ การใช้เครื่องสำอาง การรักษาความสะอาด สิ่งแวดล้อม เป็นต้น

    คำอธิบายเรื่องการเกิดสิวจากกรรมพันธุ์จริงหรือ จากคุณหมอชัยวุฒิ


    - ฮอร์โมนในร่างกาย
    เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า การผลิตฮอร์โมนในแต่ละวัยมีระดับไม่เท่ากัน พอเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนออกมามาก โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน ที่มาเพิ่มการกระตุ้นต่อมไขมัน ให้ผลิตไขมันมากขึ้น พอไขมันออกมามากและระบายออกไปไม่ทัน ก็เกิดการอุดตันตามเส้นรูขุมขน ทำให้เป็นสิวได้ง่ายขึ้น

    ปัจจัยภายนอก
    ปัจจัยภายนอก คือสิ่งกระตุ้นที่มาจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา และรวมถึงการดูแลรักษาความสะอาด สุขภาพอนามัย สิ่งของเครื่องใช้ที่อาจส่งผลให้เกิดสิวขึ้นได้ ได้แก่

    - ยา ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอาง
    การใช้ยา ครีมบำรุงผิว และเครื่องสำอางต่างๆ ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวเลยก็ว่าได้ เพราะในผลิตภัณฑ์ที่เรานำมาใช้กับใบหน้า มีสารเคมีหลากหลายชนิดผสมอยู่ ซึ่งสารเคมีบางตัว อาจไปกระตุ้น หรือสร้างการระคายเคืองให้กับผิว การที่เราจะใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ กับใบหน้า จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และควรทดสอบการแพ้สารนั้นๆ เสียก่อน

    - ลักษณะนิสัยส่วนตัว
    ลักษณะนิสัยส่วนตัวบางคนส่งผลให้เกิดสิวได้ง่าย เช่นคนที่ชอบสัมผัส จับ หรือเกาหน้าบ่อยๆ มีโอกาสเกิดสิวได้ง่าย เพราะการจับ หรือถูหน้าบ่อยๆ เป็นการไปกระตุ้นให้ผิวหน้าเร่งสร้างผิวที่หนาและเหนียว ทำให้ช่องระบายไขมันตีบตันลง การระบายน้ำมันออกมาที่ผิวทำได้ช้าลง และการถูใบหน้าแรงๆ ก็เป็นการกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ให้ทำงานมากขึ้น ซึ่งก็มีโอกาสที่จะทำให้ไขมันจับเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง จนกลายเป็นสิวได้ง่ายขึ้น

    - อาหาร
    ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการวิจัยอย่างแน่ชัดว่า อาหารจำพวกนม เนย ครีม เค้ก ช็อคโกแล็ต จะเป็นสาเหตุให้เกิดสิว แต่สำหรับผิวของชาวเอเชียบางคน เมื่อกินอาหารประเภทนี้ ก็มีโอกาสเกิดสิวได้มากกว่าคนอื่นๆ หรือแม้แต่พวกของมัน ของทอด ของหวาน อาหารรสจัด อาหารทะเล และแอลกอฮอล์ บางคนกินแล้วก็ทำให้เกิดสิวได้

    - อากาศ
    การเปลี่ยนแปลงของอากาศก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดขึ้นสิวได้เช่นกัน เช่นในช่วงหน้าร้อน ร่างกายขับเหงื่อและของเสียออกมามาก อาจจะเกิดเป็นสิวผด ส่วนในหน้าหนาว เมื่ออากาศแห้ง ความชุ่มชื้นที่ผิวน้อยลง ผิวก็จะเร่งผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิว ก็สามารถทำให้เกิดสิวได้อีกเช่นกัน

    - การรักษาความสะอาด
    การรักษาความสะอาดของสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เช่นผ้าห่ม ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน จะช่วยไม่ให้เกิดการสะสมของฝุ่นและเชื้อโรค ซี่งอาจมีผลให้ฝุ่นจับกับน้ำมันบนใบหน้า แล้วเกิดเป็นสิวได้

    - ช่วงก่อนมีประจำเดือน
    สาวๆ ส่วนใหญ่มักจะเป็นสิวในช่วงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ต่อมไขมันมีการสร้างไขมันมากกว่าปกติ ก็ทำให้เกิดเป็นสิวได้

    - การนอนดึก
    การนอนดึกหรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ มีผลให้ร่างกายเกิดความเครียด ภูมิต้านทานในร่างกายต่ำลง ร่างกายอ่อนแอ จึงทำให้มีการซ่อมแซม และฟื้นฟูสภาพผิวได้ไม่ดีพอ มีผลให้เกิดสิว ริ้วรอย หน้าโทรม ใต้ตาคล้ำ เปลือกตาและเบ้าตาดูช้ำ การเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม - เที่ยงคืน และพักผ่อนให้ได้ครบ 6-8 ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายผลิตเซลผิวใหม่ได้ดีขึ้น

    พูดคุยเรื่องการนอนดึก กับการเกิดสิว http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2012/05/Q12101926/Q12101926.html

    - ความเครียด
    เมื่ออยู่ในภาวะเครียด ระดับฮอร์โมนในร่างกายจะไม่ปกติ การไหลเวียนของเลือดไม่ดี ระบบประสาทอัตโนมัติเสียสมดุล ก็ทำให้ต่อมไขมันทำงานไม่เป็นปกติตามไปด้วย การผลิตน้ำมันที่ผิวหน้าและเส้นผมก็มากขึ้น เมื่อมีน้ำมันส่วนเกินหลั่งออกมามาก ก็มีโอกาสเกิดสิว และมีการอุดตันที่รูขุมขนได้มากขึ้นด้วย

    - สุขอนามัย
    สุขภาพร่างกายสามารถส่งผลถึงการเป็นสิวได้ด้วยเช่นกัน เช่นคนที่ท้องผูกบ่อยๆ ก็อาจจะทำให้เกิดสิวได้ เพราะของเสียที่ควรจะต้องระบายออกไปจากร่างกาย ไปสะสมหรือถูกดูดซึมกลับเข้าไปสู่ระบบ ทำให้สมดุลร่างกายเปลี่ยนไป
  3. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    การรักษาสิว
    การเป็นสิว ก็เหมือนกับการเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ต่างกับการเป็นหวัดทั่วไป ที่หากเราวินิจฉัยโรคได้ตรง ใช้การรักษาที่ถูกต้องกับโรคแล้ว สิวก็น่าจะหายได้ภายในเวลาไม่นานนัก การรักษาสิวที่ถูกต้องนั้น อาจต้องใช้การรักษาหลายแบบควบคู่กันไป และต้องใช้ความอดทนในการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะสิวอาจไม่หายได้ภายในข้ามคืน รวมถึงการดูแลตัวเองหลังจากที่สิวเก่าหายแล้ว ก็มีส่วนทำให้การเกิดสิวใหม่ลดลงด้วย

    เมื่อเราเป็นสิว ควรเริ่มที่การสำรวจหาสาเหตุการเกิดก่อน ว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง แล้วแก้ไขตามสาเหตุที่เกิด เช่น เป็นสิวช่วงที่อ่านหนังสือสอบดึก ก็มาจากเรื่องของสุขภาพร่างกายและความเครียด หรือเป็นสิวหลังจากใช้เครื่องสำอางตัวใหม่ แล้วสิวเห่อ ก็น่าจะสันนิษฐานได้ว่าเราอาจแพ้เครื่องสำอางตัวนั้นๆ ก็ควรหยุดใช้ทันที

    การเกิดสิวเพียงเล็กน้อย เราอาจหาซื้อยามาทาได้เอง แต่หากใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น มีอาการอักเสบ บวมแดง หรือเป็นมากขึ้น ก็ไม่ควรปล่อยไว้ ควรรีบไปพบแพทย์ผิวหนัง
    เพื่อรักษาให้หาย ไม่ควรปล่อยไว้นานๆ เพราะอาจทำให้เกิดเป็นหลุมสิว และรอยแผลเป็นได้

    การใช้ยาในการรักษาสิวนั้น มียาอยู่หลายประเภท เช่น ยากิน ยาทา ยาฉีด ซึ่งยาแต่ละประเภทก็มีข้อดี ข้อเสีย และมีผลข้างเคียงที่ต่างกัน

    1. ยากิน
    การกินยาเพื่อรักษาสิว ควรต้องปรึกษา และอยู่ในความควบคุมของแพทย์ เพราะยาแต่ละประเภทอาจมีผลข้างเคียงกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    - ยาคุมกำเนิด
    การกินยาคุม เป็นการรักษาสิวที่ไม่ตรงจุดนัก แต่ก็มีสาวๆ หลายคนนิยมซื้อมากินเพื่อช่วยในการรักษาสิว ช่วยควบคุมเรื่องฮอร์โมน ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว

    พูดคุยเรื่องการกินยาคุมกับการรักษาสิว http://pantip.com/topic/30552165

    - ยาปฏิชีวนะ
    ยาปฏิชีวนะ ช่วยฆ่าเชื้อโรค เมื่อเป็นสิวอักเสบมากๆ หากกินนานๆ จะทำให้เชื้อโรคดื้อยา แล้วต่อไปเมื่อเกิดการติดเชื้อจะทำให้รุนแรงขึ้น ยาปฏิชีวนะจึงควรให้แพทย์สั่ง

    - กรดวิตามินเอ
    เป็นยาที่ใช้ในการรักษาสิวโดยตรง และมีประสิทธิภาพดีกับการรักษาสิวแทบทุกประเภท แต่ก็มีความเสี่ยงสูง ต่อการเกิดผลข้างเคียง จึงเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องให้แพทย์สั่ง และต้องใช้อย่างระมัดระวัง

    ยารักษาสิวที่เป็นอนุพันธ์กรดวิตามินเอ มีชื่อสามัญทางยาว่า ไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือเรติโนอิก แอซิด (Retinoic Acid) มีชื่อทางการค้าหลากหลายเช่น โรแอคคิวเทน (Roaccutane), แอคโนติน (Acnotin), โซเตรท (Sortret), ไอโซเทน (Isotane) เป็นต้น

    กรดวิตามินเอนี้จะไปช่วยลดความมัน เพราะเป็นตัวยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตไขมันลดลง เมื่อกินแล้วคนหน้ามันมากๆ ก็จะแห้งขึ้น ทั้งยังไปลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย (P.acnes) จึงมักจะใช้รักษาสิวอักเสบ สิวพุพอง และสิวหัวช้างได้ดี

    ผลข้างเคียง
    - อาจทำให้ผิวหนังแห้ง ลอก ผิวไวต่อแสง
    - ทำให้ปากแห้ง ตาแห้ง คอแห้ง ผมแห้ง ผมร่วงง่าย
    - ใครที่กำลังวางแผนจะมีบุตร สตรีมีครรภ์ หรือช่วงให้นมบุตร ไม่ควรใช้ยานี้เด็ดขาด เพราะยาจะไปมีผลกับการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกพิการได้
    - ช่วงที่กินยากลุ่มนี้ ไม่ควรบริจาคเลือด
    - ทำให้ตับ และไต ทำงานหนัก จึงมีผลให้เป็นพิษต่อตับ และไตได้
    - อาจเกิดผลทางจิต เช่น ซึมเศร้า จิตผิดปกติ จึงควรระมัดระวังการใช้ยากับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดผลรุนแรง
    - เป็นยาที่ไม่เหมาะกับเด็ก เพราะยามีผลทำให้แผ่นกระดูกปิด ทำให้ไปหยุดความสูงของเด็ก

    2. ยาทา
    การใช้ยาทาสิวแต่ละชนิด อาจให้ผลที่แตกต่างกันตามสภาพผิวของแต่ละคน บางคน อาจจะเกิดอาการระคายเคือง แดง ลอก ได้ คนที่เริ่มใช้ควรเริ่มใช้จากยาที่มีความเข้มข้นต่ำๆ ก่อน (ดูจากเปอร์เซ็นต์ข้างกล่อง) และใช้ในปริมาณน้อยๆ

    ยากลุ่มกรดวิตามินเอ
    กรดวิตามินเอ ก็คืออนุพันธ์ของวิตามินเอ ที่ถูกสกัดจากวิตามินเอ ทำให้มีสูตรโครงสร้าง และคุณสมบัติแตกต่างจากวิตามินเอ การทำงานมีผลช่วยในเรื่องของผิวหนังคือ ช่วยรักษาสิว เพราะเป็นตัวช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก หรือลอกผิวด้านบนออกไป และยังช่วยเรื่องริ้วรอย จุดด่างดำได้ด้วย แต่การใช้ยาในกลุ่มของกรดวิตามินเอนี้ การใช้ให้ผลค่อนข้างรุนแรง และต้องระวังเป็นอย่างมากสำหรับคนที่วางแผนตั้งครรภ์ และคนที่กำลังตั้งครรภ์

    - เรติน-เอ (Retin-a)
    เรติน-เอ เป็นชื่อทางการค้าในกลุ่มกรดวิตามินเอ เป็นยี่ห้อที่เป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มคนเป็นสิว หรือที่หลายคนเรียกว่า "ยาละลายสิวอุดตัน" ถึงแม้ว่าเรติน-เอ จะดูเป็นยาที่ให้ผลค่อนข้างรุนแรง และมีผลข้างเคียงเยอะ แต่ก็ใช้ในการรักษาสิวได้ชะงัด

    เรติน-เอ มีชื่อสามัญว่า Tretinoin ลักษณะยามี 2 แบบคือ
    1. แบบเนื้อเจล มีความเข้มข้น 0.01%, 0.025% แบบเจลจะเหมาะกับคนที่ผิวแพ้ง่าย เพราะมีตัวที่มีความเข้มข้นน้อยที่สุด คือ 0.01% และตัวยายังซึมลงผิวหนังได้รวดเร็วกว่าแบบเนื้อครีม ไม่ทิ้งคราบขาวๆ ไว้หลังทา
    2. แบบเนื้อครีม มีความเข้มข้น 0.025%, 0.05%, 0.1% ส่วนใหญ่ตามท้องตลาดจะขายที่ความเข้มข้น 0.025% และ 0.05% ส่วนแบบแรงกว่านี้อาจต้องให้หมอสั่ง หรือหาซื้อค่อนข้างยาก แบบเนื้อครีมนี้จะมีความแรงกว่าแบบเจล เวลาใช้ ไม่ต้องใช้เยอะ เพราะถ้ายามากไป จะเห็นเป็นคราบขาวๆ

    เรติน-เอ ทั้งแบบเจล และครีม สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา ร้านบู๊ทส์ วัตสัน ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและปริมาณยาของผลิตภัณฑ์ เช่น แบบครีมที่ความเข้มข้น 0.025% ราคาประมาณ 110-130 บาท/10 กรัม, 0.05% ราคาประมาณ 140-150 บาท

    สรรพคุณยา
    เรติน-เอ มีคุณสมบัติโดยตรงกับการแก้ไขปัญหาเรื่องสิว เพราะไปช่วยควบคุมการผลิตไขมันของต่อมไขมัน ทำให้หน้าแห้ง ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป ทำให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา ช่วยลดการอุดตันของเซลล์ผิวเก่า

    เหมาะกับการใช้กับสิวอุดตัน และสิวแบบไม่มีหัว สิวเสี้ยน สิวที่ไม่อักเสบ สิวที่ไม่เป็นหนอง นอกจากนี้เรติน-เอ ยังช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยในเรื่องริ้วรอยสิว และทำให้จุดด่างดำดูจางลง

    วิธีการใช้
    - ใช้ทาก่อนนอน ตอนกลางคืนเพียงครั้งเดียว
    - ตอนเย็น หลังล้างหน้าแล้วรอให้หน้าแห้งสนิทก่อนทายา (ประมาณ 20 นาทีหลังล้างหน้า)
    - ถ้าใช้ยาชนิดครีม ให้บีบยาออกมาเพียงนิดหน่อย เม็ดเล็กๆ ขนาดประมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว แต้มยาที่หน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง และคาง
    - การใช้ยาในครั้งแรก ควรใช้ในปริมาณที่น้อยที่สุดก่อน เพื่อดูผลของยากับสภาพผิวของเรา
    - เกลี่ยยาให้ทั่ว โดยเฉพาะในบริเวณที่มีสิวอุดตัน ควรเว้นบริเวณที่เป็นผิวอ่อนๆ เช่นรอบปาก ซอกจมูก รอบดวงตา หากมีคราบขาวๆ อยู่แสดงว่ายามากไป ให้ปาดออก
    - เข้านอน และทิ้งไว้ทั้งคืน โดยไม่ต้องทาครีมบำรุงอื่นๆ ตอนเช้าจึงล้างออก
    - สำหรับคนที่เริ่มใช้ แล้วกลัวสิวเห่อ หรือกลัวความระคายเคือง ก่อนนอนอาจทาทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออก เมื่อผิวหน้าเริ่มคุ้นเคยกับยาแล้ว จึงค่อยทาทิ้งไว้ทั้งคืน
    - หลังใช้อาจมีสิวเห่อเพ่ิมขึ้น หากใช้ต่อไปภายใน 2-3 สัปดาห์ สิวจะค่อยๆ หายไป

    ข้อแนะนำ
    - เป็นยาที่ค่อนข้างแรง มีความระคายเคืองสูง จึงไม่ควรใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ
    - สำหรับคนที่มีผิวบาง อาจรู้สึกระคายเคือง ผิวหน้าแดง แพ้แดดได้ง่าย
    - สำหรับบางคนที่มีสิวอุดตันซ่อนอยู่เยอะ อาจทำให้สิวปะทุออกมา ทำให้สิวเห่อได้
    - เป็นยาที่อาจทำให้หน้าแห้งมากขึ้น (เหมาะกับคนผิวมัน) และอาจเกิดการลอกเป็นขุย เช่นบริเวณมุมปาก ซอกข้างจมูก ปากแห้ง ตาแห้ง
    - ไม่ควรใช้กับคนที่มีผิวบาง ผิวแพ้แดด ผิวแห้งมาก ผิวไหม้จากแสงแดด
    - ไม่ควรทาเรติน-เอ ในตอนกลางวัน (ทาเพียงครั้งเดียว ก่อนนอน) เพราะหน้าจะไวต่อแสง ทำให้หน้าแดงเวลาโดนแสง
    - เรติน-เอ ทำให้หน้าบาง ไวต่อแสงแดด คล้ำง่าย จึงควรทากันแดดที่ SPF 30++
    - ไม่ควรใช้กับคนที่ตั้งครรภ์ วางแผนในการตั้งครรภ์ หรือระยะให้นมบุตร
    - การใช้เรติน-เอ อาจให้ผลกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนใช้แล้วทำให้สิวเห่อ หรือหน้าไหม้ได้ หากเริ่มใช้ ควรใช้ที่ความเข้มข้นต่ำสุด และใช้ในปริมาณน้อยๆ ก่อน
    - สำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย กลัวแสบ ลอก อาจเริ่มใช้ยาแบบเจล 0.01% ก่อน ซึ่งยาจะซึมเร็วไม่เป็นคราบ มีความแรงน้อยกว่าแบบครีม หรือจะเริ่มใช้แบบครีมที่ความเข้มข้น 0.025% ก่อนก็ได้
    - ก่อนทาเรติน-เอา ควรรอให้หน้าแห้งสนิทดีก่อน อย่ารีบทาหลังล้างหน้าทันที
    - ควรทายาตอนก่อนเข้านอน หน้าจะได้ไม่โดนแสงไฟ หรือแสงจากคอมพิวเตอร์หลังทายา
    - ไม่ควรทาเรติน-เอ ลงบนบริเวณหัวสิวอักเสบที่บวมแดงอยู่แล้วโดยตรง เพราะจะยิ่งทำให้แสบ
    - ไม่ควรใช้เรติน-เอ ร่วมกับยาในกลุ่ม Benzoyl Peroxide (BP) เช่นยาเบนแซค และยากลุ่ม Salicylic Acid หรือยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
    - ช่วงที่ใช้เรติน-เอ ไม่ควรใช้ครีมลอกหน้าพวก AHA, BHA โทนเนอร์หรือเครื่องสำอางค์ที่ผสมแอลกอฮอล์
    - ช่วงที่ใช้เรติน-เอ ไม่ควรใช้โฟมล้างหน้าแบบสครับ ขัดหน้า หรือลอกหน้า เพราะจะยิ่งทำให้หน้าบางลง

    พูดคุยเรื่องการใช้เรติน-เอ http://pantip.com/topic/31111629
    ประสบการณ์การใช้ เรติน-เอ http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2009/12/Q8623548/Q8623548.html
    รีวิวการใช้เรติน-เอ http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=169486
    เรติน-เอ http://pantip.com/topic/30265955
    ผลการใช้เรติน-เอ http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=5041

    - ดิฟเฟอริน เจล (Differin Gel)
    ดิฟเฟอรีน เจล เป็นยารักษาสิวอีกตัวหนึ่ง ที่อยู่ในกลุ่มของกรดวิตามินเอ แต่มีพัฒนาให้มีความรุนแรงน้อยกว่าเรติน-เอ จึงใช้ได้ง่าย และมีผลข้างเคียงน้อยกว่าตัวเรติน-เอ
    ดิฟเฟอรีน เจล สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ราคาประมาณ 300-400 บาท (15กรัม) และ 550-650 บาท (30 กรัม)

    สรรพคุณ
    ดิฟเฟอริน เป็นยาในกลุ่มของ Retinoids ในรูปของ Adapalene ที่ความเข้มข้น 0.1% เนื้อยาเป็นแบบเจล ไม่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ และตัวทำให้เกิดสิว มีคุณสมบัติเหมือนกับเรติน-เอ คือผลัดเซลล์ผิว แต่มีความระคายเคืองน้อยกว่า เหมาะสำหรับการรักษาสิวอุดตัน สิวเสี้ยน

    วิธีการใช้
    - ใช้ทาก่อนนอน หลังล้างหน้าและซับหน้าให้แห้งสนิทแล้ว
    - บีบยาออกมาเพียงเล็กน้อย เกลี่ยให้ทั่วหน้า โดยเว้นรอบริมฝีปาก ดวงตา และซอกจมูก

    ข้อแนะนำ
    - ดิฟเฟอรินมีราคาสูงกว่าตัวเรติน-เอ
    - ถ้าใช้ดิฟเฟอริน ไม่ควรใช้ร่วมกับเรติน-เอ เพราะมีคุณสมบัติเหมือนกัน
    - ดิฟเฟอริน มีความระคายเคือง
    - การใช้ยาดิฟเฟอริน เจล อาจจะใช้เวลารักษานานกว่าตัวเรติน-เอ
    - ผิวหน้ามีการไวแสงน้อยกว่าตัวเรติน-เอ แต่ก็ยังคงต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และควรทากันแดดที่ SPF 30++
    - ไม่ควรใช้ยากับคนที่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  4. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    ยาผลัดเซลล์ผิว

    - เบนแซค (Benzac AC)
    ยา เบนแซค เป็นยารักษาสิวที่เป็นตัวยอดฮิต หรือที่คนเป็นสิวควรเลือกหยิบมาใช้เป็นตัวแรกๆ ซึ่งเบนแซค มีชื่อสามัญยาว่า Benzoyl Peroxide หรือ BP
    สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา ร้านวัตสัน ราคาขึ้นอยู่กับปริมาณยา เช่น ความเข้มข้น 2.5% ราคา 280-300 บาท/60 กรัม
    ความเข้มข้น 5% ราคาประมาณ 120-150 บาท/15 กรัม, 280-350 บาท/60 กรัม

    สรรพคุณยา
    เบน แซค ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.Acne ที่เป็นต้นเหตุของสิว และยังช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการเกิดสิวอุดตัน จึงสามารถใช้ได้กับสิวแทบทุกชนิด และสามารถใช้ได้เรื่อยๆ โดยไม่มีการดื้อยา เบนแซคไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะอยู่ในรูปแบบของ Water Base Gel จึงมีความอ่อนโยน และระคายเคืองน้อยกว่าผลิตภัณฑ์อื่นที่อยู่ในรูปแบบของ Alchol Base

    ยาเบนแซคมีความเข้มข้นให้เลือก 4 ตัว คือ 2.5%, 4%, 5% และ 10% ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้กัน และหาซื้อง่ายคือ 2.5% และ 5%

    วิธีการใช้
    - ใช้วันละ 1-2 ครั้ง เป็นการทาทิ้งไว้ก่อนล้างหน้า ถ้าใครไม่มีเวลาตอนเช้า หรือกลัวแพ้ จะใช้วันละ 1 ครั้ง เฉพาะตอนเย็นก็ได้
    - ให้ทาบางๆ ทั่วใบหน้า หรือบริเวณที่เป็นสิว ก่อนล้างหน้า ควรเว้นรอบริมฝีปาก รอบดวงตา และร่องจมูก
    - ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยยาล้างหน้าแบบอ่อนโยน หากคนที่เริ่มใช้ กลัวแพ้ หรือคนที่หน้าบอบบาง อาจทาทิ้งไว้เพียง 5-10 นาทีแล้วล้างออก
    - อาจใช้น้ำเปล่าล้างหน้าก่อน หรือถ้าใครแต่งหน้าอยู่ก่อน จะเช็ดออกด้วยตัวเช็ดเครื่องสำอางก่อน แล้วค่อยทาเบนแซค ทิ้งไว้ แล้วค่อยล้างหน้าอีกที

    รีวิวการทาเบนแซค


    ข้อแนะนำ
    - เบนเซค มีหลายความเข้มข้น สำหรับคนที่มีผิวบอบบาง กลัวแพ้ ระคายเคือง ควรเริ่มใช้ตัวที่มีความเข้มข้นน้อยๆ ก่อน หากใช้แล้วไม่ระคายเคืองมาก แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นตัวที่มีความเข้มข้นสูงขึ้น
    - ไม่ควรทาทิ้งไว้ข้ามคืน เพราะอาจทำให้หน้าไหม้ได้
    - หากกลัวแพ้ หรือระคายเคือง ควรทาทิ้งไว้แค่ 5-10 นาที แล้วล้างออก ถ้าผิวหน้าเริ่มรับได้ค่อยทิ้งไว้นานขึ้น หรือจะใช้แค่วันเว้นวันก็ได้
    - เบนแซคสามารถช่วยให้หน้าเราขาวขึ้นด้วย แต่ก็อาจทำให้หน้าแห้ง และบางลงได้ จึงควรใช้ควบคู่กับยากันแดด
    - ระวังอย่างให้โดนเสื้อผ้า เพราะทำให้เสื้อผ้าด่างได้
    - ไม่ควรใช้เบนแซค ร่วมกับยากลุ่มกรดวิตามินเอแรงๆ อย่างเรติน-เอ (Ratin-A) แต่กับดิฟเฟอริน สามารถใช้ร่วมกันได้

    รีวิวการใช้เบนแซค http://pantip.com/topic/30632634

    ยาทาสิวอักเสบ
    - คลินดา เอ็ม / คลินดา เจล (Clinda M / Clindalin gel)
    คลิ นดาเอ็ม และคลินดา เจล ถือว่าพระเอกในเรื่องการจัดการกับสิวอักเสบ ที่คนนิยมใช้กันมาก มีตัวยารักษาสิวอักเสบโดยเฉพาะ ยามีให้เลือก 2 แบบ คือ
    1. แบบน้ำ ใช้ชื่อว่า คลินดา เอ็ม ตัวนี้มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ มีประสิทธิภาพในการซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว
    2. แบบเจล ใช้ชื่อคลินดาลิน เจล ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบาง ผิวแพ้สารแอลกอแอลกอฮอล์

    สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป บู๊ทส์ วัตสัน ซึ่งแบบน้ำราคาประมาณ 60 บาท แบบเจลประมาณ 70-100 บาท (5 กรัม)

    สรรพคุณยา
    คลิ นดาเอ็ม และคลินดา เจล เป็นยาปฏิชีวนะในตระกูล Clindamycin ที่ช่วยเข้าไปกำจัดเชื้อแบคทีเรีย P.Acne ไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ลดการอักเสบของสิว หัวหนอง จึงเหมาะกับสิวอักเสบ สิวหนอง สิวหัวช้าง สิวที่มีหัวแดงๆ

    วิธีการใช้
    - ใช้วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
    - หลังล้างหน้าสะอาดแล้ว ใช้ยาแต้มบริเวณหัวสิวอักเสบ เป็นจุดๆ ไป
    - หากจะต้องลงครีมบำรุงอื่นๆ ควรลงหลังแต้มยาแต้มสิวแล้ว
    - อาจใช้มากกว่า 2 ครั้ง ใช้ระหว่างวันได้

    ข้อแนะนำ
    - เป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อย บางคนอาจรู้สึกแสบคัน หรือระคายเคืองบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อย
    - ยาจะช่วยให้สิวยุบ การอักเสบลดลง แต่ก็ไม่ได้กำจัดไปถึงต้นตอของสิว หากให้ได้ผลดี ควรใช้ร่วมกับยาเบนแซค (Benzac) เพื่อให้กำจัดสิวให้หมดไปเร็วขึ้น
    - การใช้ยามักจะได้ผลดีในช่วงแรกๆ หากใช้ไปนานๆ อาจดื้อยาได้

    รีวิวการใช้คลินดา เอ็ม http://pantip.com/topic/31763035

    รีวิวความแตกต่างระหว่างคลินดา เอ็ม และคลินดา เจล


    รีวิวการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายๆ ตัว



    3. ยาล้างหน้า
    ช่วง ที่เป็นสิว นอกจากต้องหายารักษาสิวมาทาแล้ว ยาล้างหน้าก็ควรจะใช้ตัวที่เหมาะกับช่วงที่ผิวอ่อนแอ บอบบางด้วย ในท้องตลาดจึงมียาล้างหน้าที่เหมาะกับคนที่รักษาสิว เป็นสิวง่าย ยาล้างหน้าที่แนะนำกันมามีหลายชนิด เช่น

    - เซตาฟิล (Cetaphil)
    เซ ตาฟิล เป็นยาล้างหน้าที่คนเป็นสิวต้องนึกถึงเป็นอันดับแรก และคุณหมอสิวก็มักจะแนะนำให้ใช้ เหมาะกับคนเป็นสิวทุกประเภท เพราะอ่อนโยนต่อผิว ไม่ทำให้ลอก แสบ

    สรรพคุณ
    เป็น ยาล้างหน้าที่ไม่มีฤทธิ์เป็นด่าง จึงไม่ระคายเคืองผิว ปราศจากสาร SLS (ตัวที่ทำให้เกิดฟอง) ไม่มีน้ำหอม ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว เหมาะกับผิวที่บอบบาง แพ้ง่าย ผิวติดสเตียรอยด์

    เซ ตาฟิลมีให้เลือก 2 สูตร คือ สำหรับผิวบอบบาง (Gentle Skin) กับผิวมัน (Oily Skin) สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา บู๊ทส์ วัตสัน ราคาประมาณ 300 - 500 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดผลิตภัณฑ์)

    วิธีการใช้
    - ใช้ล้างหน้าแทนโฟมล้างหน้าทั่วไป วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
    - เวลาใช้เซตาฟิล จะไม่ค่อยมีฟองเหมือนโฟมทั่วไป
    - สามารถใช้เช็ดหน้าแทนน้ำได้ (โดยไม่ต้องล้างน้ำออก)

    ข้อแนะนำ
    - เป็นยาล้างหน้าที่มีผลข้างเคียงน้อยมาก
    - เป็นยาล้างหน้าที่เหมาะกับคนผิวแห้ง และผิวผสม หากคนผิวมันใช้ก็จะเหมือนล้างความมันออกไม่หมด อาจต้องล้าง 2 ครั้ง
    - สามารถใช้กับส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้เหมือนสบู่
    - สามารถทำความสะอาดผิวเด็กและทารกได้
    - หากแต่งหน้าควรเช็ดเครื่องสำอางด้วยน้ำยาเช็ดเครื่องสำอางออกก่อน เพราะเซตาฟิลไม่สามารถล้างเครื่องสำอางแบบกันน้ำได้หมดจด

    รีวิวการใช้เซนตาฟิล http://pantip.com/topic/30209155

    - ฟิสิโอเจล (Phisiogel)
    เป็น ยาล้างหน้าอีกตัวหนึ่งที่เหมาะสำหรับคนเป็นสิว และกำลังรักษาสิว เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน เหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย ผิวอ่อนแอ ระคายเคือง ผิวติดสเตียรอยด์
    สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา บู๊ทส์ วัตสัน ราคาประมาณ 100 บาท

    วิธีการใช้
    - ใช้ล้างหน้าแทนโฟมล้างหน้า วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
    รีวิวฟิสิโอเจล http://pantip.com/topic/31265885

    - เอคเน่ เอด (Acne-Aid)
    เอ คเน่ เอด เป็นยาล้างหน้าอีกตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับคนเป็นสิว เพราะมีความอ่อนโยนต่อผิวในช่วงที่ผิวกำลังบอบบาง และช่วยลดการเกิดสิว

    เอคเน่ เอด สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา ซึ่งมี 3 แบบ คือ
    1. แบบเหลว กล่องมีลวดลายสีแดง (Liquid Cleanser) สำหรับผิวมัน เหมาะกับคนที่มีผิวมัน ผิวผสม และคนที่กำลังรักษาสิว
    2. แบบเหลว กล่องมีลวดลายสีฟ้า (Gentle Cleanser) สำหรับผิวอ่อนโยน เหมาะกับคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ผิวติดสเตียรอยด์
    3. แบบสบู่ก้อน เหมาะกับการใช้กับลำตัว โดยเฉพาะกับสิวที่หลัง

    เอคเน่ เอด สามารถหาซื้อได้ง่าย ตามร้านขายยา ร้านวัตสัน ร้านบู๊ทส์ ราคาประมาณ 140-200 บาท


    สรรพคุณ
    เป็นยาล้างหน้าที่รักษาสภาพความเป็นกรดด่างของผิว (pH 4.5 - 6.5) ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ปราศจากสาร SLS (ตัวทำให้เกิดฟอง)

    วิธีการใช้
    - ล้างหน้าให้เปียกแล้วเทเอคเน่ เอดลงฝ่ามือ
    - ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
    - ใช้ได้ทุกวัน แทนโฟมล้างหน้าทั่วไป วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

    ข้อแนะนำ
    - บางคนชอบใช้แอคเน่ เอด ทำให้หน้าตึงๆ และรู้สึกสะอาดกว่าใช้เซตาฟิล
    - เป็นยาล้างหน้าที่มีฟองไม่เยอะมาก ล้างออกง่าย
    - สำหรับบางคนอาจรู้สึกว่าใช้ตัวเอคเน่ เอด แล้วทำให้เป็นสิวเพิ่มขึ้น

    รีวิวการใช้แอคเน่ เอด http://pantip.com/topic/31346457
    เอคเน่เอดแบบไหนดีกว่ากัน http://pantip.com/topic/31188349
    ความคิดเห็นในการใช้เซตาฟิลและแอคเน่ เอด http://pantip.com/topic/30128290

    เปรียบเทียบผลของยาล้างหน้าแต่ละชนิด http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2010/07/Q9500552/Q9500552.html

    เปรียบเทียบยาล้างหน้าแต่ละชนิด http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sasiseesom&month=06-2010&date=07&group=2&gblog=17
  5. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    4. การกดสิว (Comedo extraction)
    ขั้นตอนการกดสิว ก็ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาสิวด้วยเหมือนกัน เพราะหากเราใช้ยาให้หัวสิวหลุดออกมาแล้ว แต่ใช้มือบีบเค้น ก็อาจทำให้ผิวหน้าบริเวณใกล้เคียงเกิดการบอบช้ำ อักเสบได้ ดังนั้นเมื่อเป็นสิว รักษาสิว และมีสิวอุดตันออกมา เราก็ควรหาวิธีเขี่ยเอาหัวสิวออกไป

    การกดสิว คือการเขี่ยเอาไขมันที่อุดตันอยู่ใต้ผิวหนังออกมา สิวที่สามารถกดเอาออกมาได้คือสิวหัวดำ และสิวหัวขาว การกดสิวหัวขาว จะช่วยป้องกันการเกิดสิวอักเสบ หากมีสิวเพียงไม่มากจะซื้ออุปกรณ์กดสิวมาใช้ที่บ้านก็ได้ แต่หากเป็นสิวเยอะๆ ก็สามารถไปคลินิกเพื่อให้หมอ หรือผู้ที่มีความชำนาญกดออกมา และปัจจุบันนี้ก็มีเทคโนโลยีที่ใช้เลเซอร์ช่วยในการเปิดหัวสิว ทำให้กดสิวได้ง่ายขึ้น ไม่เป็นการบีบเค้นให้หน้าบอบช้ำอีกด้วย เช่น ใช้เครื่อง V-Beam หรือ CO2 ช่วยเปิดหัวสิว ทำให้กดสิวออกได้ง่าย ผิวหน้าไม่บอบช้ำ และทำให้สิวแห้งเร็ว

    สำหรับคนที่ซื้อที่กดสิวมาใช้เอง ควรใช้แบบที่มีขอบรูแบนกว้าง ไม่ใช้ชนิดขอบคมหรือเป็นห่วง ถ้าหัวสิวปิดหรือรูมีขนาดเล็ก อาจต้องใช้เข็มช่วยเปิดรูสิวก่อนก็ได้
    ค่าใช้จ่ายในการกดสิวแต่ละคลินิกอาจไม่เท่ากัน บางแห่งคิดเป็นจุด เช่น 5 จุดแรก 350 บาท จุดต่อไปจุดละ 10 บาท บางแห่งจะเหมาทั้งหน้าประมาณ 100 - 300 บาท (บางแห่งหลังกดแล้วทายาฆ่าเชื้อ และครีมบำรุงให้ด้วย)

    ข้อแนะนำ
    - สำหรับคนที่ซื้อที่กดสิวมากดสิวเอง ควรใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้ออุปกรณ์ก่อนใช้ ล้างมือให้สะอาด หรือจะสวมถุงมือก็ได้ ระวังเรื่องการติดเชื้อ ด้วยการเช็ดหน้าให้สะอาด (อาจใช้น้ำเกลือเช็ดหน้าก่อน) อาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นอังหน้าเพื่อให้รูขุมขนเปิดก่อน แล้วจึงกด การกดสิวควรเลือกกดเฉพาะสิวอุดตันที่กดออกได้ และกดตามแนวขน เมื่อกดออกแล้ว ควรทายาฆ่าเชื้อ แล้วใช้ผ้าเย็น หรือน้ำแข็งลูบใบหน้าเพื่อปิดรูขุมขน

    พูดคุยเรื่องการกดสิว


    - หลังการกดสิว ควรดูแลใบหน้าด้วยความอ่อนโยน ทายาฆ่าเชื้อ เช่นคลินด้าไมซิน และมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อให้ผิวแข็งแรง

    การดูแลหลังการกดสิว


    พูดคุยเรื่องการกดสิว http://pantip.com/topic/30992555

    รีวิวการกดสิว



    5. ยาฉีดสิว
    การฉีดสิว ถือเป็นการรักษาสิวแบบเร่งด่วน และไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาสิว เป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุ แค่ระงับการอักเสบของสิวไม่ให้ลุกลาม การฉีดสิวควรทำที่คลินิก โดยแพทย์ผู้ชำนาญ เนื่องจากเป็นการฉีดสารสเตียรอยด์ (หรือบางครั้งก็ผสมกับยาชาเพื่อลดการเจ็บไปด้วย) เข้าไปที่สิวโดยตรง สารสเตียรอยด์ที่ฉีดเข้าไป มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ บวมแดง โดยไปหยุดการทำงานของเชื้อแบคทีเรียข้างใน ไม่ให้เจริญเติบโต แต่ยาไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไม่ได้ช่วยลดการติดเชื้อได้

    หลังการฉีดสิวแล้ว ส่วนใหญ่สิวจะยุบไปภายในไม่กี่ชั่วโมง เราจึงมักเข้าใจผิดว่า เมื่อหมอฉีดสิวให้แล้ว สิวหายแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีก
    ในที่สุดเมื่อปล่อยไว้ สิวก็จะกลับขึ้นมาได้อีก หลังการฉีดสิว เมื่อหายอักเสบ ต้องทำการกดเอาหัวสิวออก ทายาฆ่าเชื้อ และทำการรักษาสิวให้หายขาดด้วย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นสิวแบบรักษาไม่หาย ทำให้ใต้ผิวหนังเป็นพังผืด เป็นไตแข็งๆ และเกิดเป็นหลุมสิว

    ค่าใช้จ่ายในการฉีดสิว อยู่ที่ประมาณเม็ดละ 60 - 100 บาท

    ข้อดี - ข้อเสีย
    - การฉีดสิวทำให้สิวยุบได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เป็นการกำจัดสิวอย่างเร่งด่วน สำหรับคนที่ต้องไปงานสำคัญๆ หรือคนที่ต้องใช้หน้าตาในการทำงาน เช่น พริตตี้ ดารา พิธีกร
    - การฉีดสิว เหมาะกับการจัดการกับสิวขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง สิวอักเสบ สิวที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 มิลลิเมตร หรือสิวเม็ดใหญ่ที่หายช้า การฉีดสิวจะทำให้สิวยุบเร็ว ลดการบวมแดง และเจ็บน้อยลง
    - การฉีดสิว ลดความเสี่ยงต่อการเกิดหลุมสิว เพราะขณะที่เป็นสิวอักเสบนานๆ ผิวบริเวณนั้นก็จะถูกทำลายนานขึ้น ทำให้เกิดหลุมสิวขนาดใหญ่ได้ในภายหลัง
    - การฉีดสิว เป็นการรักษาสิวที่ปลายเหตุ ตัวยาที่เป็นสารสเตียรอยด์จะแค่ไปช่วยระงับการอักเสบเท่านั้น แต่ไม่ได้ช่วยให้ต้นเหตุของสิวหมดไป
    - การฉีดสารสเตียรอยด์ ไม่ได้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว เพียงแค่หยุดการทำงานของแบคทีเรีย เพราะฉะนั้นสิวก็จะกลับมาขึ้นใหม่ในที่เดิมได้ตลอดเวลา
    - การฉีดสเตียรอยด์ มีโอกาสที่จะจะทำให้ผิวบริเวณนั้นบางลง
    - ฉีดสิวแล้ว ก็ยังมีโอกาสทำให้เป็นสิวในที่เดิม หรือบริเวณอื่นๆ ได้อยู่
    - การให้หมอฉีดสิวให้บ่อยๆ มีโอกาสทำให้หน้าติดสารสเตียรอยด์ได้
    - หากฉีดกับหมอ หรือพยาบาลที่ไม่มีความชำนาญพอ หรือใช้ยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสมกับขนาดของสิว ก็อาจทำให้เกิดเป็นหลุมสิวได้
    - มีโอกาสติดเชื้อเพิ่ม หากใช้เข็ม หรือขั้นตอนการฉีดไม่สะอาดพอ

    หากใครคิดว่าจำเป็นต้องไปฉีดสิวแล้วละก็ ควรพิจารณาถึงข้อดี ข้อเสีย และผลที่จะตามมา หากจำเป็นที่จะต้องฉีดสิวเป็นการเฉพาะกิจจริงๆ ควรฉีดเฉพาะสิวที่มีขนาดใหญ่จริงๆ หลังจากฉีดแล้ว ควรใส่ยาฆ่าเชื้อ และทำการรักษาสิวบริเวณนั้นต่อไป ไม่ควรไปฉีดสิวบ่อยๆ เพราะอาจทำให้ติดสเตียรอยด์ได้

    รีวิวพูดคุยเรื่องการฉีดสิว http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=169961
    รีวิวพูดคุยเรื่องการฉีดสิว พันทิป http://pantip.com/topic/30719085

แบ่งปันหน้านี้