ไปลองของบนดอยที่เค้าว่าผีดุ [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 30 กรกฎาคม 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    สวัสดีครับ วันนี้ผมมีประสบการณ์แปลกๆ จะมาเล่าให้ฟัง จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ดี

    กลุ่มผมจะมีด้วยกันทั้งหมด 4 คน มีมอส บี๋ แทน แล้วก็ผม ชื่ออั้ม

    จุดเริ่มต้นของเรื่องราว มันเกิดขึ้นเมื่อโรงเรียนของน้องชายไอ้มอส จัดเข้าค่ายคุณธรรมบนดอยแห่งหนึ่ง แล้วพอน้องมันกลับมา ก็มาเล่าเรื่องผีที่ได้ฟังมาจากพระอาจารย์ให้ไอ้มอสฟัง แล้วไอ้มอสก็เอามาเล่าให้พวกเราฟังอีกที

    พอได้ยินว่าดอยนั่นผีดุ พวกเรานั่งไม่ติดสิครับ ตามประสาวัยรุ่นผู้อยากรู้ อยากลอง ชอบความท้ายทาย มีเรื่องผีสางมาที มันก็ต้องลองของกันสักหน่อย

    (ต้องบอกก่อนว่า บ้านร้างที่ว่าเฮี้ยนแถวๆบ้าน พวกผมไปลองกันมาหมดแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีใครเจออะไรเลยสักครั้ง)

    พวกเราจัดการหาวันว่าง แล้วนัดหมายคนทั้งแก๊ง เพื่อไปขึ้นดอยตอนกลางคืน เหตุผลที่ต้องไปตอนกลางคืน ก็เพราะว่าดอยที่ว่ามันอยู่ต่างจังหวัดครับ พวกเราเลยจะยืมรถพ่อไอ้บี๋ไป ให้ไอ้บี๋ขับ(ตอนนั้นยังไม่มีใบขับขี่) แล้วพ่อมันต้องเอารถไปขายของตอน 10 โมง เราเลยต้องรีบไปรีบกลับ

    เรามาถึงประมาณเกือบจะตี 4 ทางขึ้นมืดสนิท ไม่มีไฟอะไรเลย แต่แถวนั้นมีร้านขายข้าวที่กำลังเตรียมของอยู่ ผมเลยถามป้าแกดู ป้าบอกว่าให้รอสักตี 5 จะดีกว่า ถ้าเริ่มเดินทางตอนตี 5 พระอาทิตย์จะไปขึ้นตอนเดินถึงกลางทางพอดี เพราะหลังจากที่เลยกลางเขาไปแล้ว ทางมันจะชัน คนไม่ชินทางอาจจะเกิดอันตรายได้

    แต่วัยรุ่นวัยคะนองอย่างพวกเรา ความอันตรายนี่ถือเป็นของหวานเลยล่ะครับ พวกเราจอดรถไว้ที่ร้านค้าร้านนั้น แล้วซื้อขนมเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะเริ่มเดินขึ้นบันไดขั้นแรกกันตอนตี 4

    .
    .
    .

    “เบื่อว่ะ” ไอ้บี๋เริ่มบ่น หลังจากเราเดินขึ้นบันไดกันมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง

    “ร้องเพลงมั้ย” ผมเสนอ

    “ไม่เอาอ่ะ ไม่ตื่นเต้น” มันตอบ

    “มืดๆแบบนี้ กูว่าเล่าเรื่องผีอ่ะตื่นเต้นสุด” ไอ้บี๋เสนอ

    “กูมีอีกเรื่องนึง” ไอ้มอสพูด “ที่กูไม่ได้เล่าตอนแรกเพราะคิดว่ามันก็งั้นๆ ไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่พอมาถึงที่แบบนี้แล้ว กูว่าบรรยากาศมันได้อยู่ คือตอนไอ้มาร์คมา เจ้าหน้าที่ที่นำทาง เค้าจะให้พวกมันนับจำนวนกันตลอดเวลาพักที่จุดแวะพัก แล้วทีนี้ มันมีจุดนึงที่เป็นศาลา เหมือนเป็นจุดชมวิว ตรงจุดนั้น เป็นจุดเดียวที่เจ้าหน้าที่ให้พวกมันขานจำนวนกัน 3 รอบ”

    “ทำไมวะ” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย

    “กูไม่แน่ใจเรื่องเหตุผล แต่ไอ้มาร์คเล่าว่า นับกัน 3 รอบ จำนวนไม่เคยตรงกันเลยสักครั้ง แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ดูแปลกใจอะไร”

    “ยังไงวะไอ้ที่ว่าไม่ตรงกัน” ผมยังสงสัยต่อ

    “คือเด็กมันมีทั้งหมด 50 คนมั้ง รอบแรกนับได้ 55 รอบ 2 เหลือ 53 แล้วรอบที่ 3 ถึงจะได้ 50”

    “คนนับมันตาถั่วป่ะวะ” ไอ้บี๋ขัด

    “ไม่นะมึง คือมันให้เด็กเรียงแถวแล้วนับเรียงกันเหมือนตอนมึงไปเข้าค่ายอ่ะ”

    “อ๋อ คือขานเลขต่อๆกันไปงี้” ผมพยักหน้าเข้าใจ “แล้วทำไมต้องนับตั้ง 3 รอบวะ แล้วอีก 5 คนที่เกินมารอบแรกมาจากไหน”

    “สัมภเวสี” ไอ้แทนบอก “ที่ต้องนับ ก็เพื่อให้เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยกันคุ้มครอง ก่อนถึงจุดชมวิว จะมีผาอันตราย ที่ตอนสร้างบันได มีคนงานตกลงไปตาย พวกนั้นจะตามกลุ่มคนที่เดินผ่านมา พอถึงจุดชมวิว เลยต้องขานจำนวนหลายครั้ง เพื่อคัดกรองให้เหลือแค่คนจริงๆ”

    “มึงรู้ได้ไงวะ” ไอ้มอสถาม

    “กูเดา ฮ่าๆๆๆ”

    ผมส่ายหัวให้กับการแต่งเรื่องเป็นตุเป็นตะของไอ้แทน เราเดินกันต่อมาอีกประมาณ 35 นาทีก็เจอจุดชมวิวที่เป็นศาลาไม้ ตัวศาลายื่นออกไปนอกหน้าผา


    “เฮ้ยไอ้มอส ตรงนี้รึเปล่าวะที่มึงเล่า” ไอ้บี๋ถามแล้วส่องไฟฉายเข้าไปในศาลา

    “ไม่รู้ว่ะ ลองมั้ยล่ะ” ไอ้มอสเสนอ

    และโดยที่ไม่มีใครต้องอธิบายอะไร พวกเราก็เดินแถวเรียง 1 เข้าไปยืนในศาลา แล้วพากันตะโกนนับจำนวน

    “หนึ่ง!” ไอ้บี๋ที่อยู่หัวแถวตะโกนคนแรกแล้วสะบัดหน้ามาที่ผม

    “สอง!” ผมทำบ้างแล้วสะบัดหน้าไปหาไอ้มอส

    “สาม!” ไอ้มอสนับแล้วสะบัดหน้าไปที่ไอ้แทน ที่ยืนอยู่คนสุดท้าย

    “สี่!!” ไอ้แทนตะโกนเสียงดังกว่าใคร จนไอ้บี๋ด่าว่าเดี๋ยวพระก็ตื่นมาเอาไม้เคาะระฆังตีหัวเอาหรอก พวกเราต่างหัวเราะขำกับสิ่งที่ไอ้บี๋พูด


    ....แต่แล้ว....

    มันก็มีเสียงบางอย่าง ดังแทรกเสียงหัวเราะของพวกเรา


    “...ห้า...”

    “...หก...”

    “...เจ็ด...”


    พวกเราต่างนิ่งเงียบพร้อมกัน เสียงนับจำนวนเบาๆที่เกินมา ทำให้เราเริ่มมองหน้ากัน เสียงนั้นไม่ได้ชัดเจนจนพอจะบอกได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่สิ่งที่มันชัดเจน คือผมสัมผัสได้ว่ามันดังอยู่รอบตัวพวกเรา

    “ไม่มีไรหรอกมึง” ไอ้บี๋พูดขึ้นคนแรกแล้วเดินออกจากศาลา “เชี่ยมอสแม่งแกล้งอ่ะดิ เรื่องผีที่เล่ามันก็คงแต่งมา เพื่อรอที่จะเล่นมุกนี้ใช่มั้ยไอ้ห่ามอส”

    “เฮ้ย กูเปล่านะโว้ย ไอ้มาร์คมันเล่ามาจริงๆ”

    “นับอีก” อยู่ๆไอ้แทนก็พูดขึ้น

    “อะไรมึง” บี๋บ่น

    “ตำนานที่กูรู้มา ถ้าพวกมึงไม่นับจนกว่าจะได้จำนวนคนที่มาจริงๆ ขากลับจะลงมาได้ไม่ครบ แล้วคนจะขาดไปตามจำนวนคนที่นับเกินเมื่อกี้”

    “ไร้สาระ” ไอ้บี๋โบกมืออย่างรำคาญ “ไปเหอะ ตรงไหนนะที่ว่าเฮี้ยนอ่ะ รีบขึ้นให้ถึงแล้วรีบกลับ กูต้องเอารถไปคืนพ่ออีก”

    “กูเตือนแล้วนะ” ไอ้แทนบอก

    “นับหน่อยมั้ยมึง” ผมเสนอ

    “ไหนคุณอั้มบอกกูว่ามึงไม่กลัวผีไงครับ” ไอ้บี๋หันมาหาผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก

    “กูก็แค่ถาม ถ้าไม่นับก็ไปต่อแค่นั้น”

    “มึงบอกว่าจำนวนที่เกินมา คือผีคนงานที่ตายใช่มั้ยไอ้แทน” บี๋หันไปพูดกับแทน

    “เค้าว่ากันว่างั้น”

    “ไหนมึงบอกเดา” ไอ้มอสถาม

    “เดาไม่เดาก็ช่างแม่งเหอะ” ไอ้บี๋ขัด “เอาหน่อยมั้ยล่ะ ยังไงเราก็มาเพื่อเจอผีกันอยู่แล้ว”

    “ป่าเขาแบบนี้ เจ้าที่แรงนะมึง” ไอ้แทนเตือน

    “มาล่าท้าผีกัน แต่จะมาเดินขึ้นดอยลงดอยธรรมดาเหมือนเด็กมาเข้าค่ายเนี่ยนะ แล้วจะให้กูขับรถมาให้เปลืองน้ำมันทำไมวะ” ไอ้บี๋ยังคงหงุดหงิดต่อเนื่อง “เอาไง ถ้าไม่ทำก็ลง ขึ้นไปถึงยอดก็เสียเวลาเปล่า”

    “ทำดิวะ” ผมกับไอ้มอสพูดขึ้นพร้อมกัน

    พวกเราเชื่อว่าไม่มีผีที่ไหนทำร้ายคนได้ ก็เลยมีนิสัยชอบท้าทายกันแบบนี้แหละครับ

    เรายืนเรียงแถวหน้ากระดาน หันหลังไปทางศาลา เพื่อที่พอก้มหน้าลอดหว่างขาแล้ว เราจะได้มองเห็นข้างในศาลาพอดี

    “ใครไม่ทำ ก็นั่งรอรถทัวร์กลับบ้านเอาเองนะมึง กูไม่ให้ขึ้นรถ” ไอ้บี๋ยังไม่วายขู่ทิ้งไว้อีก “หนึ่ง!...สอง!....สาม!...”

    เรา 4 คนต่างก้มลงมองลอดหว่างขา ไฟฉายในมือก็ส่องไปในศาลากันอย่างพร้อมเพรียง

    ศาลาไม้เก่าๆ รูปร่าง 6 เหลี่ยม ภายในศาลาว่างเปล่า ไม่มีเจ้าของเสียงนับแบบที่เราหวังกัน

    “ไม่เห็นมีห่า....” ไอ้บี๋พูดขึ้น

    แต่ยังพูดไม่ทันจบ เราก็ได้ยินเสียงคนย่ำใบไม้ ดังออกมาจากทางข้างศาลา

    “ใคร!” ไอ้มอสตะโกนถาม

    “ใครวะ!” ไอ้บี๋สมทบ

    “พระรึเปล่ามึง” ผมออกความเห็น เพราะถัดขึ้นไปจากทางที่เราจะขึ้นไป มันมีวัดตั้งอยู่ด้วย

    พวกเราต่างพากันส่องไฟฉายไปที่ที่คิดว่าเป็นต้นเสียง ต้นไม้บริเวณนั้นขยับไหวไปมา ทั้งๆที่ไม่มีลมพัด เสียงคนเหยียบกิ่งไม้ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสิ่งนั้นมันใกล้เราเข้ามา

    “เฮ้ย ไม่พูดกูปาหินใส่นะ”

    “เดี๋ยวไอ้บี๋ อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวก็ได้” ผมรีบห้ามแล้วคว้าแขนไอ้บี๋ไว้”

    “ถ้าเป็นคนก็ออกมาดิวะ” ไอ้บี๋ยังคงกร่างไม่หยุด

    “ไม่ออกกูปาหัวแตกไม่รู้ด้วยนะ”

    เสียงนั้นดังอยู่อีกสักพักก็เงียบไป เรามองหน้ากันไปมา ผมเริ่มคิดว่าหรือมันอาจจะเป็นสัตว์ป่า แต่ในตอนนั้นเอง ที่พุ่มไม้เดิมที่หยุดสั่นไปเมื่อกี้ มันถูกเขย่าอย่างแรงจนใบไม้ร่วงเต็มไปหมด

    แสงจากไฟฉายของพวกเรายังคงส่องไปที่มัน พุ่มไม้สั่นเบาๆแล้วเงียบไป ตอนที่ผมกำลังคิดว่าคงไม่มีอะไร อยู่ๆมันก็มีมือคนโผล่พรวดออกมาจากพุ่มไม้ พวกเราสะดุ้งกันเป็นแถว นี่หรอผีที่เค้าว่ากัน

    ต้นไม้สั่นอีกครั้ง มันค่อยๆแหวกออกจากกัน ผมบีบมือคนข้างๆแน่น ใจเต้นแรงกว่าครั้งไหนๆที่ไปท้าทายมา พวกเราลดไฟฉายลงอย่างพร้อมเพรียง แล้วกำลังจะออกวิ่ง

    “มึงขึ้นมาทำอะไรกันป่านนี้!” เสียงผู้ชายคนหนึ่งตะคอกใส่เรา

    ไอ้มอสดึงพวกเราไว้ แล้วหันไฟฉายไปส่องอีกครั้ง ที่ตรงนั้น มีผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่ง ใส่ชุดเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ “โถพี่ ผมตกใจหมด” ไอ้มอสลดไฟฉายลงจากหน้าพี่เค้าแล้วถอนหายใจ

    “พวกมึงขึ้นมากันทำไมป่านนี้ แล้วนี่มากี่คน พ่อแม่ไปไหน”

    “ผมมากันเองครับ มาแค่นี้แหละพี่” ผมตอบ

    “ดีนะที่ยังไม่เดินไปต่อ ไม่งั้นกูได้เก็บศพพวกมึงแน่ มืดจะตายห่า เสือกเดินกันขึ้นมาทำไม”

    พวกเราขอโทษขอโพยพี่เจ้าหน้าที่อยู่นาน แต่พี่เค้าก็ไล่พวกเราให้ลงจากดอยท่าเดียว บอกว่าถ้าไปต่อมันจะอันตราย แต่พวกเราเดินกันมาเกือบ 2 ชั่งโมงแล้ว ผีก็ไม่เจอ อีกไม่ไกลก็น่าจะถึงยอด เลยขอร้องให้พี่เค้าพาไปต่อ อย่างน้อยขึ้นไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นก็ยังดี

    ในที่สุดพี่เค้าก็ยอมใจอ่อนเพราะคำขอร้องของไอ้แทน พวกเราขึ้นมาถึงยอดกันในเวลาไม่นาน เพราะมีคนชำนาญทางพามา พี่เค้าพาเรามาทางป่า มันจึงค่อนข้างลำบาก แต่ก็ใช้เวลาเร็วกว่าทางเดินของนักท่องเที่ยวเกือบ 2 ชั่วโมง

    เวลาตี 5 ครึ่ง พวกเราก็ขึ้นมาถึงยอดกันตามที่ต้องการ แวะถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นกันนิดหน่อย แล้วก็เริ่มเดินลงกันตอน 6 โมงเช้า

    “เดินลงไปตามทางเดินนะ พอถึงแยกก็เลี้ยวขวา อย่าเสือกลงทางป่าที่ปีนขึ้นมาล่ะ ตกไปตายห่ากูไม่มาเก็บนะ แล้วก็อย่าเลี้ยวซ้ายด้วย สะพานมันเก่าแล้ว ทางนั้นก็มีสิทธิ์ตาย เลี้ยวขวาแล้วลงไปทางบันได พอถึงวัดก็เลี้ยวซ้าย แล้วมันจะไปถึงศาลาที่พวกมึงเจอกูตอนแรก ทีนี้ก็ตรงอย่างเดียวก็ถึงตีนเขา”

    พี่เจ้าหน้าที่มาส่งเราที่จุดพักจุดหนึ่ง ก่อนจะอธิบายเส้นทางลงของนักท่องเที่ยวให้เรา แล้วขอตัวเข้าไปเก็บของป่า

    พวกเราเดินมาตามถนนที่พี่แกบอก จนมาเจอทางแยกแรกที่พี่แกห้ามเลี้ยวซ้าย

    “กูอยากไปตรงสะพานว่ะ” ไอ้มอสหาเรื่องขึ้น

    “มึงอยากตายรึไง” ไอ้แทนด่า

    “มึงเอาไงบี๋” มอสหันไปถามไอ้บี๋

    “เดี๋ยวกูตกไปตาย พ่อกูไม่ได้รถคืน มีหวังตามไปด่ากูในนรกแน่” มันพูดติดตลก

    “มึงอ่ะอั้ม” ผมส่ายหน้าทันที

    “ป๊อดว่ะแม่ง กูไปคนเดียวก็ได้”

    “เชิญ” ไอ้บี๋ผายมือให้ “จากเหตุการณ์ระทึกเมื่อคืน กูบอกเลยว่าพ่อกูตอนโมโหน่ากลัวกว่า กูจะรีบกลับบ้านเอารถไปคืนพ่อ พวกมึงจะทำไรกันก็ทำ แต่ให้ไว”

    สรุปมีไอ้มอสไปกับไอ้แทน ที่จะเดินไปสำรวจทางซ้าย จริงๆไอ้แทนมันไม่ได้อยากไปหรอกครับ แต่ไอ้มอสมันบังคับ เหลือแค่ผมกับไอ้บี๋ นั่งรอพวกมันอยู่ตรงโขดหิน เพราะมันบอกจะไปแค่ดูทางเฉยๆ ถ้าตรงไหนสะพานดูจะไม่ไหว มันก็จะเลี้ยวกลับมา เพราะมันยังไม่อยากตายเหมือนกัน
  2. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    เรารอกันอยู่เกือบชั่วโมงเห็นจะได้ แต่ไอ้มอสกับไอ้แทนก็ยังไม่มาสักที ผมหยิบมือถือขึ้นมาจะโทรหา ถึงได้รู้ว่ามันไม่มีสัญญาณ

    “กูจะลงแล้วนะ” ไอ้บี๋บอก

    “เดี๋ยวดิมึง แล้วมัน 2 คนอ่ะ”

    “ไปนานขนาดนี้มันคงเดินลงไปถึงข้างล่างแล้ว มึงกับกูก็รีบไปเหอะ กว่าจะขับรถกลับบ้านอีก เดี๋ยวพ่อกูด่า”

    ผมพยายามคำนวนเวลาและเส้นทางในหัว ว่าไอ้มอสกับไอ้แทนมันจะลงไปถึงข้างล่างแล้วจริงรึเปล่า แต่สุดท้ายก็ต้องตามไอ้บี๋ไปอีกทาง เพราะมันเร่งผมยิกๆ

    เราใช้เวลาเดินลงเขากันอีกเกือบชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงบันไดทางลง ผมเห็นไอ้แทนโบกมือยิกๆให้เราอยู่ที่ตีนบันได

    “ไอ้ห่าแทน ลงมาแล้วก็ไม่เสือกโทรบอกพวกกู กูขอเตะปากแม่งสักคนละทีเหอะว่ะ”

    “โทรศัพท์เราไม่มีคลื่น” ผมบอกเมื่อเห็นไอ้บี๋เริ่มโมโห

    “ยังไงก็ต้องเตะอยู่ดี ข้อหาที่ลงมาไม่บอก”

    ไอ้บี๋วิ่งลงบันไดไปไล่เตะไอ้แทน ตอนนั้นนักท่องเที่ยวคนอื่นก็เริ่มทยอยกันขึ้นเขาบ้างแล้ว ผมเดินลงมาจนถึงตีนบันได นั่งพักเหนื่อยดูไอ้ 2 คนนั้นมันไล่เตะกัน

    แต่ ทำไมมีกันแค่ 2 คนล่ะ รวมผมก็เป็นแค่ 3

    “พวกมึง” ผมตะโกนเรียก “ไอ้มอสอ่ะ”

    “เออ แม่งไปไหนวะ” เหมือนไอ้บี๋ก็เพิ่งจะนึกได้ เลยหยุดเตะไอ้แทนแล้วถามมัน

    “กูจะไปรู้หรอไอ้ห่า พวกมึงแม่งทิ้งกูไปขึ้นเขากัน 3 คน กูแวะไปเยี่ยวแป๊บเดียว ออกมาป้าเค้าก็บอกมึงขึ้นไปกันแล้ว กูจะตามขึ้นไป แต่ป้าแกก็ห้ามไว้”

    ผมกับไอ้บี๋มองหน้ากัน นี่ล้อกันเล่นใช่มั้ย

    “เชี่ยแทน เอาดีๆ ไอ้มอสอยู่ไหน ไปตามมา จะได้กลับ เดี๋ยวพ่อกูด่า”

    “กูไม่รู้จริงๆ ก็มันขึ้นไปกับพวกมึงไม่ใช่หรอ”

    “แล้วมึงอ่ะ” ผมถาม

    “กูนอนรออยู่ที่ร้านป้าเนี่ย ร้อนก็ร้อน ยุงก็กัด โทรหาพวกมึงก็ไม่ติด ไม่เชื่อมึงไปถามป้าดูดิ ผัวป้าเพิ่งมาเมื่อเช้า กูเกือบโดนเค้ากระทืบแล้วเนี่ยที่อยู่กับเมียเค้าทั้งคืน”

    ตอนนั้นเองที่มีข้อความเข้ามาที่โทรศัพท์ของผม เป็นแจ้งเตือนว่าไอ้แทนโทรหาผม 26 สาย

    “มึง มันโทรมาจริงๆ” ผมยื่นมือถือให้ไอ้บี๋ดู ไอ้บี๋เองก็กำลังกดดูของมันเหมือนกัน

    “เชี่ย แล้วไอ้มอสไปกับใครวะ”

    ผมกับไอ้บี๋รีบวิ่งไปที่ร้านป้า เพื่อถามหาเจ้าหน้าที่ที่พอจะช่วยได้ พวกเราเล่าเรื่องทั้งหมดให้ป้าฟังต่อหน้าไอ้แทน ป้ากับลุงยืนยันกันอีกเสียงว่าไอ้แทนอยู่กับพวกเขาจริงๆ

    พวกเราเริ่มกระวนกระวายใจ ไม่รู้จะทำยังไง จะขึ้นไปตามกันเอง ป้ากับลุงก็ห้ามไว้ ป้าเองก็ช่วยโทรหาเจ้าหน้าที่ที่รู้จัก กับพระในวัดบนเขาให้

    เวลาผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีดี ไอ้แทนก็วิ่งมาหาพวกเราแล้วตะโกนบอกว่าเจอไอ้มอสแล้ว มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งหามมันลงมา

    ไอ้มอสชัก ไม่รู้จากสาเหตุอะไร เพราะมันไม่ใช่คนมีโรคประจำตัว

    นักท่องเที่ยวกลุ่มที่เจอมัน บอกว่าเห็นมันนอนสลบอยู่ที่โขดหินใกล้หน้าผา อีกไม่กี่ก้าวมันก็จะตกลงไปแล้ว ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นศพ เลยไปบอกพระที่วัดให้มาช่วยดู พอพระมา ไอ้มอสก็เกร็งกระตุก แล้วชักไม่หยุด

    เย็นวันนั้น พ่อแม่ของพวกเรา มาหาพวกเราที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดที่เราไปขึ้นดอย ก็โดนด่าไปตามระเบียบแหละครับ ไอ้มอสก็ต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีก 2 วัน สาเหตุเพราะอาการช็อคของมัน

    หลังจากนั้นไอ้มอสก็กลับมาเรียนตามปกติ ด้วยอาการที่ไม่ปกติ มันตกใจเสียงดังง่ายมาก หวาดระแวงต้นไม้ใบหญ้า และกลัวไอ้แทนมาก

    เป็นเวลาเกือบเดือน กว่าไอ้มอสจะกลับมาเป็นผู้เป็นคน มันเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังว่า ทางที่มันไปเป็นสะพานไม้ 2 แผ่น ตอกติดอยู่กับหน้าผา ตลอดทางไม่สามารถเดินสวนกันได้ มันเลยเดินนำไปก่อนแล้วให้ไอ้แทน(ที่ไม่ใช่ไอ้แทน)เดินตาม

    พอไปถึงครึ่งทาง มันดูแล้วว่าไม้ข้างหน้าผุมากอย่างเห็นได้ชัด ไม่น่าเดินไปต่อได้แน่ๆ มันเลยจะกลับ แต่ไอ้แทนก็ดันให้มันไปต่อ ดันจนมันโมโห เลยหันกลับไปด่า

    แต่ปรากฎว่า คนที่มันคิดว่าเป็นไอ้แทนมาตลอด กลับไม่ใช่ไอ้แทน คนที่เดินอยู่ด้านหลังมัน กลายเป็นผู้ชายผิวไหม้แดด ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนงาน แต่เสื้อผ้าขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี

    และที่สำคัญ ไม่ได้มีแค่คนเดียว

    คนที่เดินตามไอ้มอสอยู่ มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แต่งตัวคล้ายกัน เดินเรียงกันอยู่ 3 คน ทุกคนเนื้อตัวมีแต่รอยแผล ใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนคนใจดี แต่คนเหล่านั้นกำลังผลักดัน ให้มันเดินไปข้างหน้า ตรงทางที่สะพานใกล้จะพัง

    มันทั้งไหว้ ทั้งขอร้อง ทั้งขอโทษ แต่ก็ไม่มีใครฟังมัน แต่แล้วอยู่ๆ มันก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่คนที่พาเราขึ้นไปยอดดอยเรียกชื่อมัน แล้วตะโกนไล่ผีพวกนั้น ตอนนั้นมันก็ใจชื้น ว่าอย่างน้อยก็มีคนมาช่วย แต่สิ่งที่มันเอะใจก็คือ เสียงเจ้าหน้าที่คนนั้น ดังอยู่บนหัวมัน

    พอไอ้มอสเงยหน้าขึ้นไป มันก็เห็นเจ้าหน้าที่คนนั้น ห้อยหัวลงมาจากบนกำแพงผา ไอ้มอสตะโกนลั่นป่า แล้วมันก็รู้สึกว่าตัวมันร่วงลงจากสะพาน ตื่นมาอีกทีมันก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว มันจำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้อีก

    เรื่องราวครั้งนั้น ทำให้แก๊งเราไม่กล้าที่จะไปท้าทายอะไรที่ไหนอีก ถ้าไม่มีผีเจ้าหน้าที่คนนั้น ไอ้มอสอาจจะตายไปแล้ว แต่เท่าที่ฟัง ผมก็ไม่แน่ใจอีกนั่นแหละ ว่าพี่เค้ามาช่วยชีวิตมันไว้ หรือมาช่วยผีคนงานฆ่ามันกันแน่

    แต่ก็คงจะช่วยชีวิตมันนั่นแหละครับ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงตายกันหมด เพราะตามตำนานที่ผีที่ปลอมเป็นไอ้แทนเล่า ว่าจะต้องมีคนตายตามจำนวนเลขที่นับเกินมาที่ศาลานั่น แต่พวกเราก็รอดกันมาได้หมด

    จริงๆผมก็อยากจะขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่ แต่ไอ้มอสบอกว่า ถ้าไม่เงยไปเห็นพี่แกห้อยหัวลงมา มันก็อาจจะไม่ตกผาจนสลบก็ได้ ผมเลยงงๆ ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเหตุการณ์นี้ดี …

แบ่งปันหน้านี้