ในวันที่ผมลำบากเพื่อครอบครัว [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 8 พฤษภาคม 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    ผมเพิ่งมาซื้อบ้านใหม่ได้ไม่นานครับ เหตุผลเพราะว่าพ่อตาสุดโหด บอกว่าผมอยู่บ้านเช่ามานานเกินไปแล้ว ดูไม่มีอนาคต เขาจึงมาพาลูกสาวเขากับหลานๆไปอยู่กับเขา พร้อมบอกว่า ถ้ามีบ้านเป็นของตัวเองเมื่อไหร่ ค่อยมาพาครอบครัวกลับไป

    ผมใช้เวลาหลายเดือน ตั้งใจทำงาน เก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ และหาซื้อบ้านที่มีพื้นที่พอสำหรับผม แม่ผม ภรรยา และลูกสาวฝาแฝด คนพี่ชื่อเนย คนน้องชื่อน้ำ

    แต่เมื่อผมทนลำบากตรากตรำจนซื้อบ้านได้แล้ว พ่อตาผมก็ยื่นข้อเสนอมาว่า เขาจะให้หลานๆมาค้างกับผม แค่ช่วงวันหยุดเท่านั้น จนกว่าผมจะมีรถเป็นของตัวเองอีกอย่าง เพราะเขากลัวว่าหลานๆของเขาจะไปโรงเรียนลำบาก

    จริงๆผมก็ไม่ได้อยากยอมนักหรอก แต่เพราะผมเองก็กลัวว่าจะพาพวกเขามาลำบาก ผมจึงต้องจำใจยอมรับข้อเสนอของพ่อตา

    และวันพรุ่งนี้จะเป็นวันปิดเทอมยาวครั้งแรก ที่ลูกๆจะมาอยู่กับผม จากที่แต่ก่อนมาได้แค่วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น ผมจึงจัดการทำความสะอาดบ้านทุกซอกทุกมุม เพื่อรอคอยวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ

    เช้าวันรุ่งขึ้น ภรรยาผมก็พาลูกๆมาที่บ้าน ผมให้ลูกๆขึ้นไปเล่นบนห้อง เพื่อที่ผมกับภรรยาจะได้พูดคุยกันนิดหน่อยเรื่องพ่อตา ก่อนที่ภรรยาจะขอตัวกลับบ้านไป เพราะคุณย่าของเธอกำลังป่วย

    หลังจากส่งภรรยาเสร็จ ผมก็เดินขึ้นไปหาเด็กๆบนห้อง คิดว่าจะไปเล่นด้วยตามประสาพ่อลูก ในตอนที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ผมก็ได้ยินเสียงเล็กๆกำลังคุยกัน จึงเอาหูแนบประตูแอบฟังซะหน่อย

    “พี่เนยว่าพี่เค้ายังอยู่ไหม” เสียงลูกสาวคนเล็กถามขึ้น

    “ไม่รู้สิ ตอนเข้ามาไม่เห็นเลย”

    “อดมีเพื่อนเล่นเลย”

    “เดี๋ยวพี่เค้าก็คงมาคืนนี้ เหมือนทุกทีไง”

    เด็กๆกำลังพูดถึงใครกัน ผมไม่เคยให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านเลย แล้วใครกันที่เข้ามาที่บ้านนี้ในตอนกลางคืนทุกครั้งที่เด็กๆมา ผมขมวดคิ้วฟังได้ไม่นาน ก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป เพื่อที่จะถามลูกถึงเรื่อง’เค้า’ที่ลูกๆพูดถึง

    แต่ประตูมันกลับเปิดไม่ออก


    ก๊อกๆๆ


    “พี่เอลหรอ” เสียงลูกสาวคนโตของผมถาม

    “ไม่หรอก พี่เค้าไม่เคยเคาะ”

    ยิ่งฟัง ผมยิ่งรู้สึกว่าเค้าคนนั้นของลูก มันดูน่าสงสัยขึ้นเรื่อยๆ


    ก๊อกๆๆ


    “พ่อเองครับ เปิดประตูหน่อย”

    “พี่เอลมาจริงๆด้วย”

    “พี่เอลเข้ามาได้ไง”

    ลูกยังคงคุยกัน โดยที่ไม่สนใจผม และประเด็นของมัน ยังคงอยู่ที่บุคคลปริศนาที่ผมไม่รู้จัก

    ...ใครคือพี่เอล...


    ก๊อกๆๆๆๆ!!


    ผมเคาะประตูด้วยความร้อนใจมากยิ่งขึ้น “เนย น้ำเปิดประตูให้พ่อหน่อย ใครอยู่ในห้องกับลูก”

    “พี่เอลอย่าแกล้งพ่อ เปิดประตูสิ”

    “ใครอยู่ข้างใน เปิดประตูเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นจะแจ้งตำรวจนะ!! เด็กๆอย่าเข้าใกล้มันนะลูก” ผมเริ่มอารมณ์เสีย และเป็นห่วงลูกมากขึ้น

    “พี่เอลพ่อโมโหแล้ว เปิดประตู”

    ให้รออยู่อย่างนี้คงไม่ไหว ผมรีบวิ่งลงไปข้างล่างเพื่อหากุญแจห้องทันที ระหว่างทางแม่ของผมก็เดินหน้าตาตื่นมาจากในครัว เพราะเสียงวิ่งตึงตังของผม ผมบอกให้แม่ไปหาไม้ยาวๆมาให้ เผื่อว่าจะต้องใช้อาวุธในการต่อสู้กับผู้บุกรุก

    ทันทีที่ได้กุญแจ ผมวิ่งขึ้นมาบนห้อง ไขประตูอย่างรวดเร็ว แล้วเปิดพรวดเข้าไปโดยไม่เคาะอีก

    ภาพที่เห็นภายใน คือลูกสาว 2 คนของผม กำลังนั่งเล่นระบายสีกันอยู่บนเตียง ผมมองไปรอบห้องก็ไม่เจอใครอีก แถมหน้าต่างก็มีเหล็กดัดแน่นหนา แล้วพี่เอลอะไรนั่นเข้ามาได้ยังไง

    “พวกลูกคุยกับใคร”

    “พี่.....” ลูกสาวคนเล็กกำลังจะตอบผม แต่กลับถูกพี่สาวของเธอตีเข้าที่มือ

    “ตีน้องทำไม” ผมดุ

    “เปล่าค่ะ” เธอรีบปฏิเสธ

    “ก็พ่อเห็นอยู่!”

    “ฮึก ฮืออออออ” เธอร้องไห้ทันทีที่ผมทำท่าจะเดินเข้าไปประชิดตัว

    “อะไรกัน” แม่ผมที่เพิ่งตามเข้ามาถาม “ตกลงมีใครมั้ย” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ “แล้วเนยร้องไห้ทำไม”

    “ไม่มีอะไรแม่”

    ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินออกมา ปล่อยให้ย่าเข้าไปปลอบหลานๆ

    ผมรักลูกมาก แต่ในทางกลับกัน ลูกที่ไม่ค่อยได้อยู่กับผม จึงไม่ได้รู้สึกรักผมมากเท่าที่ควรจะเป็น พวกเค้าเห็นผมเป็นแค่คนรู้จักคนหนึ่ง ที่นานๆจะมาเยี่ยมเยียนกันเท่านั้น ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยอยากจะดุพวกเค้าเท่าไหร่

    ตกเย็นเรามานั่งกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่ห้องนั่งเล่น แม่ผมและลูกๆกำลังคุยเล่นกันสนุกสนาน ถึงเรื่องที่โรงเรียน

    “อ้าว แม่ลืมหยิบน้ำจิ้มไก่มา ปกติเรากินกันแค่น้ำพริก ลืมไปว่าเด็กๆกินไม่ได้”

    “เดี๋ยวผมไปหยิบให้แม่”

    “หนูไปหยิบให้ค่ะย่า ตาบอกว่าเด็กดีต้องคอยช่วยงานผู้ใหญ่

    ผมยิ้มเมื่อลูกคนโตวัย 7 ขวบอาสาขึ้นมาเอง ผมยื่นมือไปลูบหัวเธอ แล้วชี้ให้ดูว่าน้ำจิ้มไก่อยู่ตรงไหน

    ในขณะที่กำลังรอน้ำจิ้มไก่ ผมก็ชวนแม่และลูกอีกคนคุยกันไปเรื่อยๆ

    “พี่เอลไปไหน” อยู่ๆน้ำก็พูดขึ้นแล้วมองไปที่บันได

    “เอลไหนลูก” ผมถาม

    “พี่เอลไงคะ พี่เค้าชอบมาเล่นกับเรา”

    “บอกพ่อแบบนี้เดี๋ยวพี่เอลก็โกรธอีกหรอก” เนยเดินกลับมาพร้อมน้ำจิ้ม พูดขู่น้อง

    “ทำไมต้องโกรธ” ผมถามด้วยความสงสัย

    “พี่เอลเกลียดผู้ชาย” เนยตอบ แล้วมองผมด้วยสายตาไม่ค่อยดีนัก

    “หยุดมองพ่อแบบนั้น” ผมดุ “แล้วเค้าเข้ามาในบ้านเราได้ยังไง” ลูก 2 คนนั่งก้มหน้าไม่ยอมสบตาผม “แม่ ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าให้ใครเข้าบ้าน!” ผมพูดด้วยความโมโห อุตส่าห์ย้ำนักย้ำหนา แล้วทำไมถึงไม่เชื่อกัน

    “ไม่ได้มีใครเข้ามาจริงๆ” แม่ผมยืนยัน

    “แล้วไอ้เด็กเอลอะไรนี่มันเป็นใครล่ะ”

    “พี่เค้าอยู่ที่นี่นานแล้ว” น้ำบอก

    “มันจะอยู่ได้ยังไง ก็นี่มันบ้านของพ่อ!”

    “ชัยใจเย็นๆ” แม่ห้ามเมื่อผมเริ่มใส่อารมณ์กับลูก

    หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็พยายามปรับอารมณ์ให้เย็นลง ผมคงจะเร่งทำงานเก็บเงินมากไป จนเกิดเป็นความเครียดสะสม ลูกจะพูดอะไรก็ขัดหูขัดใจผมไปหมด มันจึงส่งผลให้ผมดุลูกบ่อยๆ แล้วเนยก็ค่อนข้างจะไม่ชอบผม

    ผมหลอกล่อให้เด็กๆมาคืนดีกับผม ด้วยขนมปังราดนมข้น เรากินกันไป ดูการ์ตูนกันไป จนบรรยากาศทุกอย่างเริ่มกลับมาดีอีกครั้ง

    คืนนั้นหลังดูการ์ตูนจบ ผมก็ขึ้นไปส่งลูกเข้านอน ผมตรวจดูทุกซอกทุกมุมของห้องว่าไม่มีใครซ่อนอยู่ ตรวจเหล็กดัดหน้าต่างให้แน่ใจ ว่ามันไม่สามารถเปิดออกได้ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีทางที่คนนอกจะเข้ามาได้แล้ว ผมก็ออกจากห้องมา

    เช้าวันรุ่งขึ้นผมออกไปทำงานตามปกติ ปล่อยให้ลูกอยู่กับย่าที่บ้าน โดยผมกำชับเป็นอย่างดี ว่าห้ามให้คนแปลกหน้า เข้ามาในบ้านเด็ดขาดตอนที่ผมไม่อยู่ เพราะเราเพิ่งย้ายมาใหม่ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และผมยังไม่ไว้ใจใครหน้าไหนทั้งนั้น

    หลังเลิกงานผมก็รีบกลับบ้านไปหาลูกๆ โดยไม่ลืมที่จะซื้อเค้กของโปรด ไปฝากเด็กๆเหมือนทุกที

    เมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็จัดเค้กใส่จาน ก่อนจะขึ้นไปเรียกเด็กๆบนห้อง

    “หนูชอบเค้ก” น้ำบอกผมด้วยรอยยิ้ม

    “ชอบก็กินเยอะๆนะ พ่อซื้อมาให้เยอะเลย แต่ต้องแบ่งกันกิน แล้วก็เหลือไว้กินพรุ่งนี้ด้วยนะครับ

    “ค่ะพ่อ” เด็กๆรับคำพร้อมกันแล้วพากันวิ่งลงไปกินเค้ก

    เมื่อเด็กๆลงไปหมดแล้ว สีหน้ายิ้มแย้มของแม่ผมก็เปลี่ยนไป

    “ลูกๆแกพูดถึงใครก็ไม่รู้ บอกว่าเค้ามาหาทุกคืนหลังจากที่แกปิดไฟแล้วออกจากห้องไป”

    “ใคร” ผมถามอย่างกังวล

    “เห็นบอกว่าชื่อเอลซ่า”

    “ฮ่าๆๆ” ผมหลุดขำ ในที่สุดก็ได้รู้สักที ว่าพี่เอลอะไรนั่นของลูกๆ ที่แท้ก็คือตัวละครในการ์ตูนที่เด็กๆชอบดูนี่เอง “ไม่มีอะไรหรอกแม่ อย่าคิดมาก เอลซ่าก็การ์ตูนที่เราดูเมื่อวานไง”

    พวกเราพากันเดินลงมาชั้นล่าง เพื่อหาอะไรให้เด็กๆดูระหว่างกินขนม เด็กๆบอกกับผมว่า หลังจากกินเค้กเสร็จ พวกเค้าจะไปเล่นซ่อนแอบกัน

    แม่ผมกังวล เพราะในเวลาใกล้ค่ำแบบนี้ โบราณเค้าถือ แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไร นี่มันสมัยไหนเข้าไปแล้ว จึงอนุญาตให้ลูกๆเล่นได้ แต่ในเมื่อแม่ผมยังกังวลไม่หาย ผมจึงบอกเด็กๆว่าต้องเลิกเล่นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน และพวกเค้าก็ตกลง

    ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวกลางบ้าน เพราะมันเป็นจุดที่ทุกคนจะต้องเดินผ่านเวลาจะขึ้นข้างบน หรือไปที่ห้องครัว ผมทำงานไป และคอยมองลูกๆไปด้วย เพื่อให้แม่สบายใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    จนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน แม่ผมก็ใช้วิธีเอาขนมมาล่อให้เด็กๆเลิกเล่นกัน

    “อีกแป๊บนะคะย่า หนูยังหาใครไม่เจอเลย” ลูกสาวคนเล็กพูดขึ้นขณะที่วิ่งออกมาจากห้องครัว

    “พอแล้วลูก จะมืดแล้ว เนยออกมากินบัวลอยมาลูก” แม่ผมเรียกแล้วยกบัวลอยไข่หวานมาวางที่โต๊ะ “เนย”

    “เนย น้องเลิกเล่นแล้ว ออกมากินขนม” ผมเรียกหาลูกด้วยน้ำเสียงเริ่มโมโห เมื่อไม่เห็นลูกออกมาจากที่ซ่อนสักที
  2. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    “เนย ออกมาลูก เนย” แม่ผมเริ่มเดินหาหลานด้วยท่าทีกระวนกระวาย

    “เนย ออกมาได้แล้ว” ผมตะโกนดังขึ้นแล้วเดินหาไปทั่วบ้าน

    “พี่เนย ฮึก ฮืออ”

    “แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าให้เล่น” แม่หันมาตะคอกใส่ผม และนั่นทำให้ผมอารมณ์เสียมากขึ้น

    “เนยออกมา! น้องเลิกเล่นแล้ว เนย!” ผมเองก็ทั้งหงุดหงิดและกลัวไปในเวลาเดียวกัน บ้านก็มีอยู่แค่นี้ ทำไมถึงหาลูกไม่เจอ

    “เนยออกมาลูก เนย” แม่ผมเดินออกไปตามนอกบ้าน พร้อมกับตะโกนเรียกหลานไปตลอดทาง

    “ค่ะย่า” เราได้เสียงเนยรับคำ จึงพากันวิ่งเข้ามาในบ้าน ผมเห็นเนยยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ไม่ห่างจากโต๊ะกินข้าวมากนัก

    “ทำไมเพิ่งจะออกมาป่านนี้ ทุกคนเค้าเป็นห่วงนะ” ผมดุ

    “กะ ก็หนูเพิ่งได้ยิน” เนยยืนตัวสั่น ไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้ผม

    “อยู่แค่นี้ทำไมจะไม่ได้ยิน”

    “พอได้แล้ว!” แม่ผมรีบตรงเข้าไปหาหลาน แล้วกอดไว้แน่น

    “ฮึก หนูตกใจหมด” น้ำร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วเข้าไปกอดพี่สาวอีกคน “แล้วพี่เอลล่ะ”

    “ก็อยู่ในห้องน้ำด้วยกัน พี่เอลออกมากินขนมกัน”


    แม่มองหน้าผมด้วยสายตากังวล เมื่อลูกพูดถึงพี่เอลอีกแล้ว


    “ใครคือพี่เอล” ผมถามขึ้น เพื่อให้แม่เลิกกังวล เพราะยังไงคำตอบมันก็คงเป็นเจ้าหญิงในการ์ตูนอยู่แล้ว

    “พี่สาวค่ะ” เนยตอบ

    “เค้ามาเล่นด้วยในบ้านเราหรอ” แม่ผมถามบ้าง

    “ใช่ค่ะ เมื่อกี้ก็เล่นอยู่ด้วยกัน ปกติพี่เค้าจะมาตอนกลางคืน แต่เมื่อกี้ตอนหนูเข้าไปแอบในห้องน้ำ หนูเห็นพี่เค้าอยู่ในห้องน้ำ เลยชวนมาเล่นด้วยกัน”


    แม่ผมเริ่มนั่งไม่ติด กำพระที่ห้อยอยู่รอบคอแน่น แล้วสวดอะไรบางอย่าง


    “ชัย แม่ว่ามันไม่ใช่แค่ตัวการ์ตูนแล้ว”

    “พี่เอลของพวกหนูแต่งตัวยังไง” ผมถามอีก

    “ชุดกระโปรงยาวสีฟ้าค่ะ” น้ำตอบ

    ผมหยิบมือถือขึ้นมา ค้นหารูปเจ้าหญิงเอลซ่าแล้วยื่นให้ลูกดู โดยที่ให้แม่เห็นด้วย “คนนี้รึเปล่า”

    “ใช่ค่ะ” เด็กๆตอบพร้อมกัน

    “เห็นมั้ยแม่ อย่าคิดมาก” ผมปลอบแม่แล้วหันไปมองลูกๆ “เมื่อกี้ลูกบอกว่าเค้าอยู่ในบ้านเราหรอ”

    “ค่ะ แอบอยู่กับหนูในห้องน้ำ” เนยตอบ

    “พาพ่อไปดูหน่อย”


    ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีใครอยู่ในนั้นหรอก แต่ผมก็ทำเป็นลุกขึ้นไปดู เพื่อให้แม่สบายใจ

    พวกเรา 4 คนเข้ามาแออัดกันอยู่ในห้องน้ำเล็กๆ แม่ผมมองไปรอบๆด้วยสีหน้าหวาดระแวง

    “ไหนล่ะพี่เอลของลูก”

    “ยืนอยู่นั่นไงคะ” น้ำชี้ไปที่ใต้ฝักบัว

    “ชัย” แม่กอดแขนผมแน่น

    “ไม่มีอะไรหรอกแม่ เด็กๆเค้าจินตนาการกันเฉยๆ เราเล่นตามเค้าก็พอ”

    “พวกเราไม่ได้จินตนาการนะคะ พี่เอลมีจริงๆ ไม่ได้ผมสีขาวเหมือนในการ์ตูนด้วย” เนยเล่า


    “กรี๊ดดดด!!!!”


    ผมกับแม่สะดุ้งเมื่ออยู่ๆเนยก็กรี๊ดขึ้นมา

    “เนยเป็นอะไร” ผมเขย่าลูกที่เอาแต่ปิดตาปิดหู แล้วแหกปากร้อง

    “บอกแล้วว่าเค้าเกลียดพ่อ อย่าเล่าเรื่องเค้าให้พ่อฟัง พี่บอกน้ำแล้ว!” เนยหันไปตะคอกใส่น้องด้วยความโมโห

    “หยุดนะ!” ผมดุ “เป็นบ้าอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดุน้องทำไม!”

    “ชัยอย่าดุลูก” แม่พยายามห้ามผม

    “หนูขอโทษ ฮืออ” น้ำยกมือไหว้บางอย่างแล้วร้องไห้เหมือนคนสติแตก “หนูขอโทษ พี่เอลอย่าทำแบบนี้ อย่าทำหน้าเละ หนูไม่เอา หนูกลัวแล้ว ฮืออ มะ ไม่ อย่าเข้ามา อย่าทำหนู หนูไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว กรี๊ดดด!!”

    “พี่บอกแล้ว!! พี่บอกน้ำแล้ว!”

    “หยุดสักที!” ผมตะคอกแล้วยึดตัวเนยไว้ เพราะเธอตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปตีน้อง “เนยเป็นบ้าอะไร จะทำน้องทำไม ลืมตามามองพ่อ มอง!”

    “ชัยใจเย็นๆ”

    “ไม่! หนูลืมตาไม่ได้! พี่เอลจะควักลูกตาหนู เค้ายืนอยู่หลังพ่อ! หนูกลัว!!”

    “พ่ออย่าทำพี่เนย ฮือออ พี่เอลพอแล้ว หนูกลัวแล้ว อย่าทำพี่เนย พอแล้ว ฮืออ”

    “เอลบ้าเอลบออะไร มันมีแค่ในการ์ตูน พ่อบอกให้มองพ่อ!!”

    ผมตะโกนลั่นจนเนยค่อยๆลืมตามองหน้าผม แต่แค่ไม่กี่วินาที สายตาของลูกก็เลื่อนจากใบหน้าไปที่ด้านหลัง แล้วอยู่ๆป่านก็ตาเหลือก แล้วหลับตากรี๊ดๆๆ เหมือนคนเป็นบ้า

    ผมใช้เวลาอยู่นาน ในการอุ้มลูกออกมาจากห้องน้ำ เรานั่งสงบสติอารมณ์กันอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยที่เด็ก 2 คนนั่งกอดแม่ผมแน่น ส่วนตัวผมก็ยืนอยู่ห่างๆ

    พวกเรากำลังรอเวลาให้แม่ของเด็กมารับ หลังจากเรื่องเมื่อครู่ เด็กๆก็ร่ำร้องจะไปจากที่นี่ท่าเดียว จนผมทนไม่ไหว ต้องโทรบอกภรรยาว่าให้มารับลูกๆไปที

    ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้นี้ ผมพยายามจะคิดหาคำตอบ แต่มันก็ไม่เจอ

    “ชัย แม่ว่าลูกแกไม่ได้คิดไปเองนะ” แม่พูดขึ้นหลังส่งเด็กๆกลับบ้านไป

    “แล้วแม่จะให้ผมทำยังไง”

    “แม่ว่าบ้านนี้มันต้องมีอะไรบางอย่าง”

    “แล้วเราจะทำยังไง ถึงจะรู้ว่ามันมีอะไรล่ะแม่” ผมถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าไอ้บางอย่างของแม่มันหมายความว่ายังไง แต่คำถามคือ จะให้ผมรับมือกับสิ่งที่มองไม่เห็นยังไงมากกว่า

    “แม่ถามลูกแกมาแล้ว ปานบอกว่าพี่เอลหายลงไปทางท่อ”

    “แม่จะให้ผมลงท่อไปตามล่าผีรึไง” ผมถามอย่างอารมณ์เสีย

    “อย่างน้อยแกไปส่องดูสักหน่อยก็ได้”

    “มันจะไปเห็นอะไรได้ยังไงแม่ ท่อมันก็แค่นั้น”

    แม่ถอนหายใจใส่ผม แล้วลุกไปที่ห้องใต้บันได ที่ซึ่งผมเก็บอุปกรณ์งานช่างทุกอย่างเอาไว้ แม่หยิบไฟฉายออกมา แล้วเดินหายไปทางห้องน้ำ

    ผมนั่งกุมหัวด้วยความคิดไม่ตก ลูกๆคงไม่กล้ามาที่บ้านหลังนี้อีก ปัญหาใหญ่ยิ่งกว่าเรื่องกลัวผี คงเป็นเรื่องที่ลูกๆเกลียดผม ผมคงหมดหวังที่ครอบครัวเราจะกลับมาอยู่พร้อมหน้า

    “ชัย!!! มานี่เร็ว!!!”

    เสียงแม่ตะโกนมาจากห้องน้ำ ทำให้ผมรีบลุกไปหาแก เมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นแม่ยืนอยู่เหนือท่อน้ำ มือถือไฟฉายส่องลงไปในท่อ แล้วมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ตกใจสุดขีด

    “กะ แกมาช่วยแม่ดูที”

    ผมเดินเข้าไปหาแม่ แล้วก้มลงมองไปในท่อ ภายใต้สีดำสนิทของพื้นท่อนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนชิ้นส่วนกระดูกโผล่มา จากที่พอจะกะขนาดได้ มันน่าจะเป็นมือของเด็กอายุประมาณลูกสาวผม

    เราสองแม่ลูกรีบวิ่งออกจากห้องน้ำ แล้วโทรหากู้ภัยโดยด่วน

    กู้ภัยมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา ผมกับแม่เล่าสิ่งที่เห็นให้พวกเค้าฟัง พวกเค้าจึงพากันเข้าไปดู

    คืนนั้นทั้งคืน คนทั้งซอยออกมาชุมนุมกันอยู่หน้าบ้านผม ที่อยู่ๆก็ทำการขุดเจาะเสียงดัง จนทำคนตื่นกันทั้งหมู่บ้าน

    3 ชั่วโมงถัดมา พวกเขาลำเลียงบางสิ่งบางอย่าง ที่อยู่ในท่อระบายน้ำของห้องน้ำบ้านผมขึ้นมา และเมื่อครบทุกชิ้น มันก็ปรากฎให้เห็นร่างที่เน่าเปื่อยจนเหลือแต่โครงกระดูก ของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้หญิง เพราะดูจากชุดกระโปรงยาวสีฟ้า ที่เริ่มจะเปื่อยไปตามกาลเวลา บนกระดูกของเธอ

    ผมทำการติดต่อไปที่นายหน้าขายบ้านทันที เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้เขาฟัง แล้วขอเบอร์ติดต่อเจ้าของบ้านคนเก่า แต่ก็ได้รับคำตอบมาว่า หลังจากได้เงินไปไม่นาน นายหน้าก็ได้รับการแจ้งจากโรงพยาบาลว่า เจ้าของบ้านคนเก่า เสียชีวิตแล้ว ด้วยการผูกคอตายที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง

    นายหน้าขายบ้านมาถึงในตอนเช้า เขาพาตำรวจมาด้วย เพื่อความบริสุทธิ์ใจของตัวเขาเอง ว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไร กับศพเด็กรายนี้

    ชาวบ้านแถวนั้นบอกกับผมว่า เจ้าของบ้านคนเก่า เป็นผู้ชายวัยกลางคน อาศัยอยู่กับลูกสาวแค่ 2 คน แม่ของเด็กหนีตามผู้ชายคนอื่นไป ตั้งแต่เด็กยังไม่หย่านม พ่อเด็กเลี้ยงเด็กมาเพียงลำพัง เขาทำงาน เก็บเงิน ต่อเติม ซ่อมแซมบ้านอยู่เสมอ จนดูเหมือนว่าคงเป็นครอบครัวเล็กๆที่มีความสุขดี

    แต่อยู่มาวันหนึ่งทุกคนก็ได้ข่าวว่าเขาจะย้ายบ้าน ชาวบ้านแถวนั้นก็ถามหาลูกสาวเขา ตามประสาคนที่เคยรู้จักกันมานานถามไถ่กัน ได้ความว่าเขาส่งลูกสาวไปอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัด แล้วตอนนี้เขาเองก็กำลังจะย้ายตามไป แต่เหลือรอปรับปรุงห้องน้ำให้เสร็จซะก่อน แล้วก็จะประกาศขายบ้านหลังนี้

    ใครเลยจะรู้ว่าการปรับปรุงห้องน้ำครั้งนั้น คือการอำพรางคดีฆาตกรรมลูกสาวของคนๆนี้ แล้วคำว่าจะย้ายตามไป คือการไปหาที่ฆ่าตัวตายของเจ้าของบ้าน

แบ่งปันหน้านี้