คิดไปเองหรือเปล่า [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 17 เมษายน 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    เรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับครอบครัวผมมานาน แต่ด้วยความปล่อยปะละเลย ไม่เคยคิดอะไรมากของผม มันถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมจึงอยากจะมาเล่าให้ทุกคนฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์

    ผมมีน้องสาวคนนึง เราอายุห่างกัน 8 ปี เมื่อผมแต่งงาน ผมก็ซื้อบ้านใหม่ แล้วแยกออกมาอยู่กับภรรยา บ้านเก่าก็ให้แม่กับน้องอยู่ แต่เพราะระยะทางที่ค่อนข้างไกลกัน ผมกับภรรยาจึงแวะเวียนไปหาแม่กับน้อง ในช่วงเทศกาลเท่านั้น

    หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ผมก็มีลูกชายคนนึง จึงทำให้เราไม่ค่อยได้กลับไปเยี่ยมแม่ เพราะลูกยังเล็ก นั่งรถทางไกลไม่ได้ แต่เราก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันนะครับ ทางฝั่งนั้นก็เข้าใจเราดี จะมีโทรมาบ่นบ้างว่าอยากเจอหน้าหลาน แต่น้องขับรถไม่เป็น แม่จึงยังไม่มีโอกาสได้มา

    เวลาผ่านไปหลายปีจนลูกผมอายุได้ 4 ขวบ อะไรๆทางเราก็ลงตัวมากขึ้น ทั้งหน้าที่การงาน แล้วก็เงินเก็บ ผมจัดการขายบ้านเก่าทั้ง 2 หลัง มาซื้อบ้านใหม่สำหรับครอบครัวใหญ่อยู่ใจกลางเมือง แล้วพาแม่กับน้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน

    เมื่อมาอยู่ร่วมกันพวกเราก็แบ่งหน้าที่กันภายในครอบครัว ผมให้น้องออกจากงานเพื่อมาคอยดูแลความเรียบร้อยในบ้าน เพราะแม่แกแก่มากแล้ว แม่ก็มีหน้าที่คอยช่วยน้องดูแลหลานบ้างในบางครั้ง ส่วนผมกับภรรยาก็ออกไปทำงานข้างนอกกันเหมือนเดิม

    บ้านหลังนี้มี 4 ห้องนอน ผมนอนกับภรรยาและลูก แม่กับน้องนอนคนล่ะห้อง ส่วน 1 ห้องที่เหลือ ตอนนี้ผมจัดไว้เป็นห้องสำหรับเด็ก ที่ลูกผมจะไปนั่งเล่น ตอนกลับจากโรงเรียนกับย่าของเขา

    เหตุการณ์แปลกๆมันเริ่มขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง ผมกับภรรยากลับมาบ้านเพื่อเอาของที่ลืมไว้ ในขณะที่ผมเดินผ่านห้องเด็ก ผมก็ได้ยินเสียงน้องดุใครสักคน แล้วก็มีเสียงหัวเราะตามมา

    “ทำไมลูกอยู่บ้าน” ภรรยาหันมาถามผมด้วยสีหน้ากังวล เธอคงกลัวว่าลูกอาจจะไม่สบาย หรือเจ็บป่วยตรงไหน ถึงได้กลับจากโรงเรียนเร็วนัก

    “ทำไมหลานไม่ไปโรงเรียนอ่ะแม่” ผมถามแม่ที่เดินออกมาจากห้องนอนพอดี

    “ไปสิ แม่เป็นคนส่งขึ้นรถโรงเรียนเอง เมื่อกี้ครูก็เพิ่งโทรมาบอกว่าวันนี้กลับเย็นหน่อยนะ เพราะที่โรงเรียนมีงาน”

    ผมกับภรรยามองหน้ากันโดยอัตโนมัติ ภรรยาส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ให้ผมถามต่อ ตอนนั้นผมก็คิดว่าเราคงหูฝาดกันไปเอง จึงไม่ได้สนใจอะไร

    หลายวันต่อมา เรามารวมตัวกันอยู่ชั้นล่างทั้งครอบครัว กำลังนั่งกินพิซซ่าไป คุยกันเรื่องวัยเด็กไป แต่สักพักผมก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากชั้น 2

    ทุกคนหยุดการสนทนาแล้วมองหน้ากันไปมา มีเพียงลูกผมที่กระดี๊กระด้าดีใจ อยากจะเลิกกิน แล้วขึ้นไปข้างบนให้ได้

    “ไม่ได้ครับลูก อาจจะเป็นคนใจร้ายแอบเข้ามาในบ้านเราก็ได้” ผมห้ามลูกไว้แล้วอธิบายให้เขาฟัง

    “ไม่ใช่คนใจร้าย พี่ พี่อยู่ข้างบน”

    “พี่ไหนครับ” ภรรยาผมถามลูก

    “พี่ใจดี มาเล่นกับหนูบ่อยๆตอนกลางคืน”

    ผมกับภรรยามองหน้ากัน ตอนกลางคืนลูกอยู่กับเราตลอดเวลา จะมีใครที่ไหนมาเล่นกับลูกได้ยังไง

    “ช่วงนี้มีคนแปลกๆมาด้อมๆมองๆแถวบ้านบ้างไหม” ผมถามน้องด้วยความเป็นห่วง

    “ไม่มีไรหรอก ติดเหล็กดัดแน่นหนาขนาดนั้น ใครจะเข้ามาได้ ไปแล้วนะ กินกันเสร็จก็วางไว้เดี๋ยวลงมาล้าง” น้องผมพูดแค่นั้นแล้วเดินขึ้นข้างบนไป

    ต่อมาจากนั้นอีกหลายอาทิตย์ที่บ้านไม่มีเหตุการณ์อะไรแปลกๆเกิดขึ้น จนเราลืม 2 เรื่องนั้นกันไป แต่อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังก้มล้างล้อรถ ผมก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูหน้าบ้าน เมื่อมองลอดผ่านใต้ท้องรถก็เห็นเท้าคนเดินเข้าไปในบ้าน

    “เข้าไปแล้วหยิบฟองน้ำใหม่ออกมาให้หน่อย” ผมตะโกนบอกเพราะคิดว่าเป็นน้อง กลับมาจากซื้อของ

    เวลาผ่านไปนานจนผมล้างเกือบเสร็จ น้องก็ยังไม่ออกมาสักที ผมก็เลยเดินเข้าไปหยิบเอง

    “ล้างเสร็จยัง ลูกถามหา” ภรรยาที่เดินลงมาตามผมพอดีถามขึ้น

    “ยังๆ น้องเป็นไรป่ะ บอกให้เอาฟองน้ำใหม่ไปให้แต่ก็ไม่ทำ”

    “ไม่รู้สิ ตั้งแต่ตื่นมายังไม่เจอเลย ออกไปซื้อของไม่ใช่หรอวันนี้ กลับมาแล้วหรอ”

    “กลับมาแล้วดิ ก็เห็นเดินเข้าบ้านมา”

    ในตอนที่ผมคุยกับภรรยาอยู่นั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูหน้าบ้านอีกครั้ง น้องผมเดินเข้ามาพร้อมทั้งหิ้วของพะรุงพะรัง

    ผมซักถามน้องว่าได้กลับเข้ามาเอาของไหม แต่น้องก็บอกว่าเปล่า ซึ่งผมก็เชื่อนะ เพราะผมนั่งล้างรถอยู่หน้าบ้านตลอด ได้ยินแต่เสียงคนเข้า แต่ไม่ได้ยินเสียงคนออก ภรรยาผมก็ยืนยันว่าแม่เองก็อยู่กับหลานตลอดเวลา

    ผมเริ่มนำเรื่องแปลกๆที่เจอทั้งหมดกลับมาคิด เริ่มจากเสียงคนหัวเราะ ที่มาคิดดูตอนนี้ เสียงที่ผมได้ยินตอนนั้น มันก็ห่างไกลจากเสียงลูกของผมมากทีเดียว ไหนจะพี่ที่ชอบมาเล่นด้วยตอนกลางคืนที่ลูกผมพูดถึง แล้วยังเสียงโครมครามที่ชั้น 2 ทั้งๆที่ทุกคนในบ้านอยู่รวมกันหน้าทีวีอีก และเรื่องที่น่าแปลกใจที่สุด ก็คงจะเป็นเท้าคนที่เดินเข้าไปในบ้านตอนที่ผมกำลังก้มล้างรถ

    จริงๆแล้วผมไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องผีมากเท่าไหร่ สิ่งแรกที่ผมคิดถึงคือ หรือว่ามันจะมีคนแอบมาอาศัยอยู่ในบ้านเราโดยที่ผมกับภรรยาไม่รู้ คนแรกที่ผมสงสัยคือน้องสาว เพราะครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะ มันดังมาจากในห้องพร้อมเสียงน้องสาวผม

    สิ่งแรกที่ผมทำคือเรียกน้องสาวมาคุย ว่าเขามีแฟนหรืออะไรรึเปล่า ถ้าจะพามาอยู่ที่บ้าน ก็ควรจะบอกผมบ้าง แต่ก็ได้รับการยืนยันว่า ไม่มีการพาคนอื่นเข้ามาในบ้านแน่นอน ไม่ว่าจะชั่วคราว หรือค้างคืน

    ผมเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร แต่ถ้าพามาอยู่ก็ขอแค่ให้บอก แล้วนี่พามาเล่นกับลูกผมตอนที่ผมหลับ เจตนามันแปลกๆ ผมไม่อยากจะสงสัยอะไรในตัวน้อง แต่เพราะเราเองก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไหร่ตั้งแต่ผมแต่งงาน

    วันหยุดในอาทิตย์นั้น ผมจึงวางแผนพาทุกคนออกไปเดินห้าง แล้วบอกภรรยาว่าจะกลับเข้ามาเอาของที่บ้าน ผมจัดการเปลี่ยนกุญแจหน้าบ้านใหม่โดยไม่บอกใคร เพื่อป้องกันคนแปลกหน้าในบ้านออกไป ตอนที่เรากำลังเดินทางไปห้าง

    เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ที่แรกที่ผมไปดูคือห้องนอนน้องสาว แต่ภายในก็ดูเป็นที่ที่ไม่น่าจะมีคนอยู่ 2 คนได้ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ หรือเสื้อผ้าก็ตาม หรือน้องจะให้เขาย้ายออกไปแล้วตอนที่ผมถาม

    ในขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไปหาที่ห้องอื่น ผมก็ได้ยินเสียงปิดประตูโครมมาจากห้องหนึ่งในบ้าน ผมรีบวิ่งไปตรวจสอบดูทุกห้อง แต่ก็ปรากฎว่าทุกห้องปิดหน้าต่างเรียบร้อย ไม่มีทางที่ลมจะพัดประตูปิดแน่ๆ

    ผมหยิบเครื่องช็อตไฟฟ้าที่ซื้อให้น้องใช้เผื่อฉุกเฉิน เดินสำรวจไปทั่วบ้านทุกซอกทุกมุม ตอนนั้นเองที่กำลังจะเข้าไปหาที่ห้องครัว ผมก็ได้ยินเสียงคนวิ่งอยู่บนชั้น 2

    ไม่ผิดแน่ มันต้องมีใครอีกคนอยู่ในบ้านหลังนี้ ผมเดินขึ้นไปข้างบนอย่างเงียบที่สุด บ้านบนชั้น 2 จะมีแค่ห้องนอนกับที่โล่งๆหน้าห้องเท่านั้น ผมล็อคห้องทุกห้องจนหมดแล้ว มันไม่มีทางหนีแน่ๆ

    ผมแอบโผล่หน้าไปดูลาดเลาจากช่องว่างตรงบันได เห็นเท้าคนเดินไปเดินมาวนอยู่หน้าห้องน้อง ช่องว่างตรงนั้นจะเห็นเพียงแค่เท้าเท่านั้น ผมจึงไม่เห็นหน้าว่าเป็นใคร

    “ใคร!” ผมตะโกนออกไปให้มันรู้ตัว “ไม่ต้องแอบ ออกมาคุยกันดีๆ” เท้านั้นหยุดชะงัก “ทำไมต้องมาหลบๆซ่อนๆแบบนี้”

    ผมเดินขึ้นไปช้าๆ เตรียมเครื่องช็อตไฟฟ้าเผื่อได้ใช้งาน ผมมองเท้าผู้บุกรุกไว้ตลอดกลัวว่ามันจะหนีไปอีก แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ผมเดินอ้อมผ่านตู้ตรงหัวบันไดเท่านั้น มันกลับหายไปอีก

    หลังจากเหตุการณ์จับโจรพลาดวันนั้น ทำให้ผมตัดสินใจติดกล้องวงจรปิดภายในบ้าน โดยบอกคนที่บ้านว่าติดเอาไว้หลอกโจร ซื้อมาถูกๆจากตลาดนัดมือ 2 มันไม่สามรถใช้งานได้จริง

    ผ่านไปอีกหลายเดือนที่เหตุการณ์สงบ จู่ๆวันหนึ่งผมก็ได้ยินเสียงน้องโวยวายอยู่ในห้องคนเดียว ผมกับภรรยารีบวิ่งไปดูด้วยความเป็นห่วง

    “ก็บอกแล้วไงว่าอย่าออกมา!”

    ผมกับภรรยาชะงักเมื่อได้ยินประโยคนั้น อย่างน้อยเราก็สบายใจว่าคนที่อยู่ในห้องกับน้อง ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่บุกเข้ามา แต่สิ่งที่ทำให้เรากังวลคือเสียงผู้ชายที่โต้เถียงกับน้อง น้ำเสียงเขาฟังดูเหมือนกำลังโกรธจัด

    “กูหิว!”

    “ก็เดี๋ยวออกไปซื้อให้”

    “เป็นอาทิตย์แล้ว ที่กูไม่ได้กินอะไร กูจะเอาชีวิตมัน!”

    “ไม่! อย่ายุ่งกับหลานกู!”

    ปัง!! ปัง!! ปัง!!!

    ทันทีที่ได้ยินบางอย่างเกี่ยวกับลูก ภรรยาของผมก็ฟิวส์ขาด เธอทุบประตูห้องน้องอย่างแรงแล้วเรียกให้ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง

    น้องเปิดประตูออกมาด้วยน้ำตานองหน้า เธอเข้าไปกอดภรรยาผมแล้วพึมพำว่า เอาไม่อยู่แล้ว ตลอดเวลา

    ผมพาทุกคนในบ้านเข้ามาในห้องนอน แล้วล็อคประตูอย่างแน่นหนาเพื่อความปลอดภัย เพราะตอนนี้ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของคนรึเปล่า

    ผมกับภรรยารอจนน้องสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงเริ่มถามไถ่

    “เขาเป็นใคร เกี่ยวอะไรกับลูกพี่” ภรรยาผมถามด้วยน้ำเสียงปนโกรธนิดๆ

    “เขาเป็นคนที่หนูพามา” น้องตอบไปสะอื้นไป

    “แล้วไหนบอกไม่ได้พาคนเข้ามาอยู่ในบ้าน” ผมเริ่มดุบ้าง เพราะน้องโกหกผม

    “ฮึก มันไม่ใช่คน”

    ปัง! ปัง! ปัง!!

    พวกเราสะดุ้งโหยง ทุกคนในบ้านอยู่ในห้องนี้ แล้วใครกันที่มาทุบประตู


    ------ อ่านต่อด้านล่าง -----
  2. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    พวกเราสะดุ้งโหยง ทุกคนในบ้านอยู่ในห้องนี้ แล้วใครกันที่มาทุบประตู

    “พี่ พี่มา” ลูกผมลุกจากเตียง ทำท่าจะไปเปิดประตู

    “ไม่!” น้องผมรีบวิ่งไปคว้าตัวหลานไว้แล้วโวยวายไม่หยุด “ หนูเอาไม่อยู่แล้ว มันจะมาเอาหลานไป ฮึก เพราะหนูไม่ได้ให้สิ่งที่มันต้องการ ฮือออ มันจะเอาหลานไป!”

    “อย่ามายุ่งกับหลานกู มันจะเอาอะไร!” แม่ผมตะคอกใส่น้องเสียงดัง

    “ใจเย็นๆ ค่อยๆพูดกัน มันเกิดอะไรขึ้น หลานอยู่นี่ หลานจะไม่เป็นไร แต่เราต้องเล่าให้พี่ฟัง” ผมพยายามใจเย็น แล้วถามไถ่น้อง เผื่อว่ามันจะพอมีทางแก้ปัญหา

    “ตอนเราแยกกันอยู่แรกๆ หนูโดนไล่ออกจากงาน แล้วเงินก็ขาดมือ แต่แม่ไม่อยากให้บอกพี่ หนูเลยหาทางหาเงิน แล้วหนูก็ไปเจอเพจนึงเค้ามีของให้บูชา บอกว่าจะช่วยเรื่องการเงินการงาน ยิ่งของเซ่นแรงเท่าไหร่ ยิ่งได้เยอะเท่านั้น ตอนแรกหนูให้ของสด จนหลังๆมันต้องการของเป็นๆ แล้วเราก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ มันมาเจอหลาน มันต้องการหลาน”

    ผมกุมขมับ ถ้ามันเป็นคน ผมยังแจ้งความแล้วพากันไปอยู่ในที่ปลอดภัยได้ แต่นี่มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ จะผีก็ไม่ใช่ ของขลังก็ไม่เชิง เท่าที่ฟังเหมือนเป็นพวกของสายดำมากกว่า ผมไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่ก็เคยเห็นผ่านหนังผีมามากอยู่ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะยังมีอยู่จริงในสมัยนี้


    “กรี๊ดดดดดด!!!!!”


    เสียงกรี๊ดของภรรยาเรียกให้ผมหลุดจากความคิด ลูกผมลงไปนอนชักดิ้นชักงอแล้วร้องไห้ไม่หยุด

    “เป็นอะไร! ลูกเป็นอะไร!!” ผมตะคอกอย่างหัวเสีย

    “กรี๊ดดดด!!! มันมาแล้ว มันเข้ามาในห้องแล้ว!!” น้องพูดแล้วนั่งลงกับพื้น กรีดร้องเหมือนคนเสียสติ

    แม่ผมปล่อยหลานแล้ววิ่งออกไปจากห้อง แกกลับมาพร้อมกับสร้อยพระ แม่สวมสร้อยใส่คอหลานแล้วพึมพำอะไรอยู่พักใหญ่ อาการลูกผมจึงค่อยๆดีขึ้น

    “ไปวัดแถวบ้านเก่าเรา”

    แม่พูดแค่นั้นเราทุกคนก็รีบตรงไปที่วัดกันทันที

    เมื่อมาถึงวัดลูกผมก็อาการดีขึ้นจนเป็นปกติ ไม่มีอาการตาขวาง หรือชักอีก ผมรีบอุ้มลูกขึ้นไปหาหลวงพ่อที่กุฏิ

    “หนักเลยนะ” คือคำแรกที่หลวงพ่อพูดกับเรา “มันเป็นเรื่องคำสัญญา มันไม่มีทางแก้”

    “ไม่มีเลยหรอครับ” ผมถามย้ำ พระท่านส่ายหน้า

    “ทำไมเป็นแบบนี้ ทำบ้าอะไรแบบนี้! เอามันเข้ามาในบ้านทำไม” ภรรยาผมหันไปต่อว่าน้องที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ยอมเข้ามา

    “ช่วยลูกหนูด้วยนะคะหลวงพ่อ จะทำยังไงก็ได้ ช่วยเค้าด้วย ฮืออ”

    “ไม่ใช่เด็กที่ต้องไป”

    ทุกคนหันไปมองน้องโดยอัตโนมัติ แต่ตอนนั้นน้องก็หายไปจากหน้าประตูแล้ว

    แม่ผมรีบลุกพรวดออกไปตามหาน้องทันที เราแยกย้ายกันหา โดยให้ภรรยาและลูกผมนั่งรออยู่ในกุฏิพระท่านก็สั่งให้เด็กวัดและพระรูปอื่นๆออกตามหา

    เราหากันทั่วทั้งวัดและบริเวณใกล้เคียง ทั้งพระ ทั้งเด็กวัด และชาวบ้านแถวนั้น ช่วยกันหาอยู่ร่วม 4 ชั่วโมง แต่ไม่มีใครพบน้องผมเลย

    แม่จัดการแจ้งตำรวจ รวมทั้งประกาศลงโซเชียลในช่องทางต่างๆ เรากลับมารอที่บ้านกันอย่างใจจดใจจ่อ ในทุกๆวันแม่ผมเฝ้าทำบุญ กรวดน้ำ สวดมนต์ ผมเองก็มีแผนว่าจะบวชในอาทิตย์หน้า หลังจากเคลียร์งานเสร็จ โดยหวังว่ามันอาจจะผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง

    เรายังคงมีความหวังกันอยู่ตลอด ว่าน้องจะยังไม่เป็นอะไร โทรถามตำรวจเจ้าของคดี รวมถึงหลวงพ่อที่วัด และเช็คทุกช่องทางที่เราลงประกาศคนหายเอาไว้

    ผมเลือกที่จะไปบวชที่วัดที่เห็นน้องครั้งสุดท้าย เพราะหวังว่าบางอย่างที่เอาตัวน้องผมไป จะได้รับบุญได้เร็วที่สุด

    จนกระทั่งถึงวันพิธี มีชาวบ้านวิ่งมาบอกว่าเจอผู้หญิงแปลกๆ เดินอยู่ในสวนทุเรียนของเขา ใส่เสื้อสีแดง กางเกงยีนส์ ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมา เพราะผมจำได้ว่ามันคือชุดที่น้องผมใส่ วันที่หายตัวไป ผมให้แม่กับชาวบ้านส่วนหนึ่งออกไปตามหา ส่วนผมจะอยู่ที่วัดทำพิธีให้เสร็จ เผื่อจะช่วยให้หาเจอได้เร็วขึ้น

    เย็นวันนั้นหลังจากเสร็จพิธี ผมก็เห็นแม่และชาวบ้านเดินกลับเข้ามา

    “เจอโยมน้องไหมโยมแม่” ผมถาม แม่พยักหน้าทำให้ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “เจอที่ไหนโยมแม่”

    “ในสวนทุเรียน”

    “แล้วโยมน้องเป็นไงบ้าง”

    แม่ผมเงียบไปสักพัก นั่งบีบมือตัวเองไปมา “มันตายแล้ว”

    ผมนิ่งอึ้งไปกับคำตอบที่ได้รับ “ไม่ทันหรอ”

    “ไม่ทัน ฮึก” แม่ทรุดลงกับพื้นแล้วปล่อยโฮออกมา “ไม่ทันตั้งแต่ 3 วันที่แล้ว ตำรวจบอกว่ามันตายมามากกว่า 3 วันแล้ว ฮืออออออ”

    สภาพศพน้อง ดูแปลกกว่าศพทั่วไปตรงที่ไม่อืด ไม่เน่า เพราะไม่ส่งกลิ่นเหม็น ชาวบ้านแถวนั้นถึงไม่เคยรู้ว่ามีคนตาย แต่สภาพศพกลับกลายเป็นสีดำแห้งๆ คล้ายโดนเผาจนไหม้ แต่ดันไม่มีกลิ่นไหม้ เจ้าอาวาสบอกว่า เป็นสภาพศพของคนโดนของ

    ในทางการแพทย์ระบุว่า ร่างน้องเหมือนโดนดูดเลือด ที่อยู่ในร่างกายออกไปทั้งหมด สภาพศพถึงได้ดูแห้งๆแบบนั้น ดูเหมือนอวัยวะภายในก็ไม่หลงเหลืออยู่เลย มีเพียงหนังหุ้มกระดูก

    ทีมแพทย์ถามว่าต้องการชันสูตรให้ลึกกว่านี้ไหม ทางครอบครัวสงสัยสาเหตุการตายไหม แต่แม่ผมเลือกที่จะไม่ให้ทำอะไรกับน้องอีก เพราะถึงเล่าอะไรให้ฟังไป ก็คงยากที่ใครจะเชื่อ

    งานศพน้องถูกจัดขึ้นที่วัดที่ผมบวชในคืนถัดไป คืนเดียวกันนั้นเองผมฝันเห็นน้อง มาขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น สภาพน้องในฝันก็ดูไม่ดีนัก แต่น้องบอกว่าไม่ต้องห่วง มันไปเกิดแล้ว เพราะสัญญาสำเร็จแล้ว ไม่มีใครทำอะไรน้อง และพวกเราได้อีก ขอให้ผมสบายใจ

    ปกติผมจะไม่ใช่คนเข้าวัด ทำบุญอะไร แต่หลังจากเรื่องนี้ ผมกลายเป็นคนสวดมนต์ทุกคืนก่อนนอน ใส่บาตรทุกเช้า และทำบุญใหญ่ทุกวันพระ หวังแค่เพียงว่า บุญทั้งหมดจะส่งให้น้องผม พ้นความทุกข์ทรมานโดยเร็ว

แบ่งปันหน้านี้