การต่อประกันภัยรถยนต์ อะไรที่เราควรรู้บ้าง ทำไม ถูกแพงไม่เท่ากัน มาดูกัน

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมยานพาหนะ รถมอเตอร์ไซต์ รถยนต์ รถเก่า ชลบุรี' เริ่มโพสต์โดย Number18, 11 มีนาคม 2014.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    1102-6141b12523e1600e1aa950e4d7f9ad45.jpg


    เนื่องจากตัวผมเอง นอกจากขับรถพอเป็นแล้ว ความรู้เรื่องที่เกี่ยวกับรถเนี่ย แทบจะเป็น 0 เลยก็ว่าได้ (ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซต์ หุหุ อย่าได้เรียกให้ไปซ่อมอะไรเด็ดขาดเชียวนะ) ตอนซื้อรถก็แค่หาข้อมูลว่ารถรุ่นนี้ดีไม่ดียังไง ส่วนประกันรถยนต์ ทางศูนย์แถมมาให้เลย อาจจะเป็นเพราะว่าคำแรกที่ผมโทรไปถาม ผมถามเลยว่ารถรุ่นนี้ แถมประกันชั้น 1หรือเปล่าละมั้ง

    ใช่ไอ้ตอนซื้อน่ะ เค้าแถมประกันมาให้เลย รายละเอียดก็เปิดดู สองแวบ แล้วก็ไม่เคยดูอีกเลย รู้แค่ว่าประกันชั้นหนึ่ง เคลมได้หมด และถ้ารถหายก็ยังได้เงินด้วย (ไม่เต็มจำนวน แต่ไม่รู้ว่าเท่าไร) ทีนี้พอมาถึงวันที่จะต้องต่อประกัน ก็มานั่งคิดว่า แล้วราคามันจะเท่าไรหว่า รู้แต่ว่าหมื่นกว่า แต่ไม่รู้กว่าเท่าไร ก็เลยไปลองหาข้อมูลดู อ้าวทีนี้ งง เลย ทำไมแต่ละคน ราคาต่างกันมากน้อยไม่เท่ากัน แถมเจอศัพท์แปลก ๆ ไม่คุ้นหูอีกหลายคำ ยิ่งทำให้สับสนไปใหญ่

    แต่พอตั้งตัวได้ ก็เริ่มค่อย ๆ หาข้อมูลที่ไม่เข้าใจไปทีละนิด ๆ ก็ได้ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น เราเข้าใจอะไรมากขึ้น ซึ่งส่วนนึงที่ผมนั่งหา นั่งเก็บข้อมูล เพราะเชื่อว่า เพื่อน ๆ ที่แวะผ่านมาผ่านไป ยังมีอีกหลายคนที่มีความรู้เรื่องรถยนต์น้อยเหมือนกัน และอาจจะกำลัง งง ๆ แบบเดียวกับที่ผมงงอยู่ในตอนแรกก็เป็นได้ ก็เลยรวบรวมข้อมูลที่ได้มาฝากไว้ ให้ผ่านหูผ่านตากันไว้บ้าง

    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเรื่องนี้คิดว่าสำคัญพอสมควร และตัวผมเองไม่ได้มีความรู้มากเท่าไร ก็เลยหา Reference ในส่วนที่มันสำคัญ ๆ เอาไว้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขต่าง ๆ และถ้าหากข้อมูลบางส่วนผิดพลาดแต่ประการใด เพื่อน ๆ ก็ช่วย แนะนำ หรือแก้ไขเพิ่มเติมให้ด้วยละกัน เพื่อที่ชาวชลบุรีอย่างเรา จะได้มีความรู้เรื่องประกันรถยนต์กันมากขึ้น



    ประกันศูนย์ / ประกันอู่ คืออะไร ต่างกันยังไง
    คำถามที่มีการถามกันบ่อย ๆ คือ “ประกันรถยนต์แบบซ่อมอู่ กับ แบบซ่อมห้าง ต่างกันอย่างไร?” ทั้งนี้ก็เพราะว่า ราคาแบบซ่อมอู่นั้น ถูกกว่าไม่น้อยเลย (ส่วนใหญ่ถูกกว่า ประมาณ 2,000 - 3,000 บาท) ซึ่งบางคนก็เลือกทำประกันแบบซ่อมอู่ ด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาถูกกว่า และเชื่อว่าบางอู่ (ถ้าศึกษามาดี) มีมาตรฐานดี ไม่แพ้ศูนย์เลยด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คนจำนวนไม่น้อยยังยืนยันที่จะเลือกประกันแบบซ่ิอมห้าง เพราะรู้สึกอุ่นใจกว่านั่นเอง

    เรามาดูข้อสรุปกันดีกว่า ว่าประกันรถยนต์หรือแบบซ่อมห้าง มีข้อดีข้อเสีย ต่างกันอย่างไร

    ซ่อมห้าง ข้อดี
    - อะไหล่ที่ใช้ในการซ่อม เป็นอะไหล่แท้จากโรงงานเลย ทำให้เราอุ่นใจได้เลยว่าสิ่งที่เคลมเป็นของดีแน่นอน 100% (แม้ว่าจะมีเพื่อนเคยบอกว่า ซ่อมศูนย์บางทีเค้าก็ส่งอู่อีกที ซึ่งก็อาจจะจริง แต่ว่าอะไหล่ที่เปลี่ยนนั้นก็ยังเป็นของศูนย์อยู่ดี เพราะเบิกได้โดยตรง)
    - ส่วนใหญ่มีมาตรฐาน การจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้ต่อรองง่าย อยากเคลมออะไรก็ไม่เรื่องมากเท่าไร รับประกันการซ่อมด้วย ถ้าซ่อมไปแล้วมีปัญหาก็กลับมาแก้ได้เลย
    - ส่วนใหญ่ การซ่อมแซมเป็นไปด้วยดี เพราะศูนย์เองก็ต้องการรักษาชื่อเสียงของตัวเองเช่นกัน (แต่บางศูนย์ก็ได้รับการบ่นว่า ทำไม่ดี ก็มีนะ)

    ซ่อมห้าง ข้อเสีย
    - เนื่องจากความน่าเชื่อถือสูงกว่าแบบอู่ คนจึงเลือกใช้แบบซ่อมห้างเยอะ ในขณะที่ศูนย์บริการมีน้อย (รถบางยี่ห้อ บางจังวัดไม่มีศูนย์บริการด้วยซ้ำ) ทำให้บางครั้งเราต้องต่อคิวในการซ่อมนานพอสมควร
    - การซ่อมแต่ละครั้ง จะมีภาษีและค่าแรงที่สูงกว่าการเวลาเราไปซ่อมที่อู่ ซึ่งความแตกต่างในส่วนนี้ ถือว่าชัดเจนพอสมควรเลย
    - บางครั้งนอกจากชิ้นส่วนที่เราเคลมแล้ว จะมีส่วนอื่น ๆ ถูกทางศูนย์เปลี่ยนให้ด้วย เพราะทางศูนย์มองว่าเกินอายุการใช้งานแล้ว ในขณะที่หลาย ๆ คนมองว่ายังใช้ได้อีกพอสมควรเลย ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นการมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเช่นกัน

    ซ่อมอู่ ข้อดี
    - ราคาเบี้ยประกัน (เงินที่เราต้องจ่ายค่าประกันรถยนต์ในแต่ละปี) ถูกกว่าแบบซ่อมห้างไม่น้อยเลย อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ส่วนใหญ่ประมาณ 2000-3000 บาท
    - อู่มีให้บริการเยอะกว่าศูนย์ (จะเยอะจะน้อยขึ้นอยู่กับ บริษัทประกันด้วยนะ เช่นว่า อู่นี้รับรถที่ประกันของวิริยะ แต่ไม่รับของที่อื่นเป็นต้น) ดังนั้นจึงมีความสะดวกและรวดเร็วมากกว่า เพราะว่าเราอาจจะไม่ต้องเดินทางไปไกลมาก อีกทั้งรถที่มาซ่อมไม่ไปกระจุกกันที่เดียวแบบศูนย์
    - ปัจจุบันอู่ทีี่ให้บริการ มีมาตรฐานสูง (บางคนบอกว่าไม่แพ้ศูนย์เลย) แต่อย่างไรก็ตาม เราควรหาข้อมูลว่าอู่ที่เข้าไปใช้บริการนั้นดีหรือไม่ เพราะถ้าได้อู่ดี ๆ การซ่อมจะมีมาตรฐานมาก บางอู่ซ่อมดีกว่าศูนย์ก็ยังมีเลย (บางอู่ที่รับเฉพาะบางยี่ห้อ เราสามารถมองว่า อู่นั้นมีความเชี่ยวชาญกับเฉพาะรถยี่ห้อนั้น ๆ ก็ได้)

    ซ่อมอู่ ข้อเสีย
    - การซ่อมจากอู่ อะไหล่ไม่จำเป็นว่าจะเป็นของแท้เสมอไป ซึ่งบางครั้งเป็นของเวียนซ่อมก็มี ซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุพินิจของประกัน (เห็นว่ากันมาแบบนั้นนะ)
    - บางครั้งเราอาจถูกอู่เล่นตุกติกก็ได้ เพราะถ้าเจออู่ที่ไม่ซื่อตรง อาจจะเอาอะไหล่ที่มีคุณภาพต่ำมาให้เรา โดยที่เราเองก็ไม่อาจรู้ได้
    - บางอู อาจไม่มีความเป็นมืออาชีพพอ ในการตามแก้งานซ่อมที่ออกไปจากอู่เอง บางเจ้าอาจปัดความรับผิดชอบว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากการซ่อมที่อู่ก็มี
    - โดยรวมแล้ว ข้อเสียของอู่ซ่อมนั้น มีความน่าเชื่อถือ ต่ำกว่าศูนย์มากนั่นเอง

    *โดยสรุปแล้ว ประเด็นของการซ่อมศูนย์กับซ่อมห้าง ส่วนที่แตกต่างกันจริง ๆ ดูเหมืออนจะเป็นที่ตัวอะไหล่มากกว่า เพราะว่าเราจะได้อะไหล่แท้ ๆ ไม่ใช่ของเทียมนั่นเอง แต่บาง บริษัทประกันภัย ก็อนุญาติให้อู่ที่ contact กันอยู่เบกอะไหล่แท้จากศูนย์ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นอู่ใหญ่ ๆ ส่วนมาตรฐานอู่ซ่อมถ้าศึกษา หาข้อมูลหน่อยคิดว่าหาอู่ที่ดีไม่น่าจะยากนัก (เพิ่มเติม แต่บางศูนย์ที่ตัวพนักงานตุกติดอะไหล่เองก็มีนะ เคยได้ยินว่าแบตใหม่ ๆ ของเราถูกเปลี่ยนไปเป็นของเก่า โดยพนักงานก็มี)

    ** ถ้าเรามีประกันรถยนต์แบบซ่อมอู่ ที่จริงเราก็สามารถเอาเข้าศูนย์ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้อง เสีย “ค่าส่วนต่าง” เอง เช่น สมมุติว่าซ่อมศูนย์คิด 2000 แต่ซ่อมอู่ตีวงเงินไว้แค่ 1200 เราต้องเสียส่วนต่างเองอีก 800 บาท ซึ่งบางครั้งอาจจะมีค่าใช้จ่ายมาก ทำให้ดูไม่คุ้มค่านักที่จะเอาเข้าศูนย์

    *** ปกติแล้วเราจะสามารถเลือกประกันแบบซ่อมห้าง ได้สูงสุด 3 ปี แต่ว่าบางบริษัทรถยนต์ อาจจะทำการต่อรองกับบริษัทประกันภัย ทำให้ซ่อมห้างได้สูงสุด 5 ปี เช่น Nissan และ Mitsubishi เป็นต้น (ได้ยินมาว่างั้นนะ)



    ประกันรถยนต์ ไม่ได้คุ้มครองทุกคน (ที่มีใบขับขี่) เหรอ?
    พอดีว่า ตอนลองหาข้อมูลตอนแรก ๆ เห็นคนพูด ๆ กันว่า ได้ราคาประกันเท่านี้ แต่ระบุชื่อคนขับ 2 คนบ้าง / 3 คนบ้าง ก็ว่ากันไป ไอ้เราก็เลย งง ๆ คิดว่า อ้าว การทำประกันรถยนต์ไม่ได้คุ้มครองทุกคนที่ขับเหรอ (เคยได้ยินแต่ว่า ถ้าคนขับไม่มีใบขับขี่ ประกันไม่จ่ายให้) ก็เลยไปตามหาข้อมูลเพื่อให้เราเข้าใจมากขึ้น ซึ่งได้ความมาว่า ปกติแล้วประกันก็ครอบคลุมไม่ว่าใครขับนั่นแหละ แต่ว่าการกำหนดคนที่ขับลงไปด้วยนั้น จะทำให้เบี้ยประกันของเราถูกลงนั่นเอง (ก็คือ ลดราคาลงมานั่นแหละ)

    โดยการลดราคา จะเป็นไปตามนี้
    อายุ 18-24 ปี ลดให้ 5 %
    อายุ 25-35 ปี ลดให้ 10 %
    อายุ 36-50 ปี ลดให้ 15 %
    อายุ 50 ปีขึ้นไป ลดให้ 20 %

    อ้างอิงจาก:
    http://www.prakunrodyon.com/820043/



    ส่วนลดประกันในแต่ละปี กรณีที่เราไม่ได้ทำการเคลมประกันเลย
    ผมเชื่อว่า แทบทุกคน ถึงแม้จะมีความรู้เรื่องประกันรถยนต์ไม่มาก แต่ก็จะรู้ว่าถ้าเราไม่ได้ทำการเคลมเลย ปีถัดไปเราจะจ่ายเบี้ยประกันลดลง (เรื่องอื่นไม่เคยรู้ พอเรื่องเกี่ยวกับเงินทองเนี่ย รู้กันดีเชียว หุหุ) ก็คือ ทางบริษัทประกัน จะให้ส่วนลดเรา เนื่องจากว่าเรามีประวัติในการขับขี่ดีนั่นเอง (ชื่อภาษาอังกฟษ เรียกว่า No Claim Bonus - NCB)

    การเคลมนั้น จะไม่มีผลใด ๆ ถ้าหากว่าคู่กรณีของเราเป็นฝ่ายผิด เพราะทางบริษัทประกันภัยสามารถ ให้คู่กรณีเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้เราได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเราจะยังได้ส่วนลดเหมือนเดิม

    แต่แม้ว่าหลาย ๆ คนจะรู้ว่าเราได้ส่วนลดในกรณีแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ส่วนลดประมาณเท่าไร ซึ่งจากที่หาข้อมูลมา ส่วนลดจะได้ดังนี้

    ลด 20 % ถ้าไม่มีการเคลมเลย 1 ปี
    ลด 30 % ถ้าไม่มีการเคลมเลย 2 ปี
    ลด 40 % ถ้าไม่มีการเคลมเลย 3 ปี
    ลด 50 % ถ้าไม่มีการเคลมเลย 4 ปี

    กรณีที่เคลม ส่วนลดที่เราจะได้นั้น จะลดลง 1 ขั้น ก็คือ สมมุติว่าเรา ได้ส่วนลดไปถึงระดับ 40% แล้ว แต่เรามีการเคลมในปีนั้น เราก็จะได้ส่วนลด 30% ในการต่อครั้งต่อไป ขอเพิ่มเติมนิดนึง เห็นบอกกันว่า ถ้าเราเคลมเกินกว่า 200% ของ เบี้ยประกันที่เราจ่าย ส่วนลดจะลดลง 2 ขั้น ไม่ใช่ 1 ขั้น

    http://www.finansa-asset.com/recently/articles/th_Auto_insure.html (ดูเรื่อง NCB)
    Last edited: 11 มีนาคม 2014
  2. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    ทุนประกันคืออะไร?
    อันนี้ก็อีก เช่นกัน ตอนเก็บข้อมูล เห็นคนอื่นเค้าคุยกันก็จะมีคำว่า “ทุนประกัน” ว่าได้ทุนประกันเท่านั้นเท่านี้ เช่น คนนึงได้ทุนประกัน 300,000 บาท อีกคนได้ทุนประกัน 380,000 บาท เป็นต้น ที่จริงก็พอจะเดาได้นะ ว่ามันน่าจะหมายถึงอะไร แต่พอดีเพิ่งเคยเจอคำนี้ครั้งแรก ก็เลยมาหาข้อมูลให้แน่ใจไปเลยอีกที

    ซึ่งสรุปแล้ว ทุนประกันก็คือ เวลาที่เกิดความเสียหายกับรถเรา ทางประกันจะจ่ายให้เราสูงสุดเท่าไรนั่นเอง ซึ่งกรณีที่ รถเราหาย หรือ รถเราเกิดอุบัติเหตุที่ รถเสียหายหนัก ๆ ซ่อมไม่ไหว (เดชะบุญ! คนไม่เป็นอะไร.. อิอิ) เราก็จะได้เงินที่เป็นทุนประกันตามที่ระบุไว้มาแทน

    ทุนประกันในส่วนนี้ เป็นการตกลงกันระหว่างเจ้าของรถกับทางประกัน ว่าจะให้มีทุนประกันเท่าไร แต่ก็แน่นอนว่า ใครอยากได้ทุนประกันสูง ๆ เบี้ยประกัน (เงินที่เราต้องจ่ายค่าประกัน) ก็ต้องสูงตามไปด้วยนั่นเอง (เพิ่มเติม โดยปกติแล้ว ทุนประกันปีแรกจะอยู่ที่ประมาณ 80% และปีถัด ๆ มา จะลดลงมา 10% เรื่อย ๆ เป็นเหมือนค่าเสื่อมราคา)

    http://www.thaialmeraclub.com/index.php?topic=26687.0 (อ้างอิง เรื่องนี้ได้นิดหน่อย เพราะมีพูดถึงทุนประกันอยู่พอสมควร)



    ค่าเสียหายส่วนแรก (ค่า Excess)
    สำหรับค่าเสียหายส่วนแรก หรือ ค่า excess นั้น เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก ตอนหาข้อมูลเกี่ยวกับการต่อประกันเหมือนกัน (อย่างว่าอ่ะนะ ไม่เคยศึกษาอะไรมาเลย เพราะตอนซื้อรถได้ประกันชั้น 1 มาด้วยนั่นเอง) มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เพราะว่าส่วนนี้ถือว่าสำคัญไม่น้อยเลย คนที่ไม่มีความรู้ด้านประกัน หรือคนประเภทเอาถูกเข้าว่า (รวมผมด้วย) อาจจะโดนหลอกได้ง่าย ๆ แต่ว่าเพราะอะไรนั้น เรามาค่อย ๆ ดูรายละเอียดละกัน

    ค่าเสียหายส่วนแรก หรือ ค่า excess นี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
    1. ค่าเสียหายส่วนแรก หรือ ค่า excess ที่ถูกกำหนดขึ้น เพื่อเป็นการให้ผู้ขับขี่ ระมัดระวังมากขึ้น เพราะถ้าเกิดขับรถไปได้แผลมา โดยไม่มีคู่กรณี ผู้เอาประกันจะต้องเสีย ค่า Excess 1,000 บาท (เห็นว่าเมื่อก่อนเสีย 2,000 บาท)

    2. ค่าเสียหายส่วนแรก หรือ ค่า excess ที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อลด เบี้ยประกัน
    ค่าเสียหายส่วนแรก หรือ ค่า excess นี้ เป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายครั้งแรกก่อนนั่นเอง เช่น ในแต่ละครั้ง เวลาเกิดอุบัติเหตุ แล้วเราเป็นคนผิดหรือประมาทร่วม เราจะต้องเสียค่า excess นี้ในการเคลมประกันทุกครั้ง แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกก็ไม่ต้องจ่ายส่วนนี้ โดยที่ค่าใช้จ่ายส่วนนี้มีตั้งแต่ 1,000 - 5,000 บาท

    หลาย ๆ คนที่ไม่รู้เรื่องนี้ จะค่อนข้างสับสน ประมาณว่า “อ้าว เราทำประกันรถยนต์แล้ว เกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้ง หรือเวลาไปเคลมประกัน ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกเหรอ!? อุตส่ายอมเสียประกันชั้น 1 แล้วนะ!” ซึ่งที่จริงแล้วไอ้เจ้าค่า Excess ที่ว่านี้ จะไม่มี / มี (แบบถูก หรือ แพง) ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ที่เราตกลงไว้ ในตอนที่ซื้อประกันรถยนต์นั่นเอง

    พออ่านมาถึงตอนนี้หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่า “อ้าว งั้นเราก็ต้องตกลงให้ไม่มีค่า Excess อยู่แล้ว” หรือ “ค่า Excess แบบเสีย 4,000-5,000 บาท ใครจะไปยอมตกลง” แต่จริง ๆ แล้ว การรับเงื่อนไขค่า Excess เนี่ย มันมีข้อดีตรงที่ ยิ่งเราตกลงเงื่อนไขที่จะยอมจ่ายค่า Excess แพงเท่าไร เบี้ยประกันปีนั้นเราก็จะถูกลงเท่านั้น เป็นต้นว่า ถ้าเบี้ยประกันของเราอยู่ที่ 15,000 บาท ถ้าเราตกลงเงื่อนไขค่า Excess ที่ 3,000 บาท เราจะเสียเบี้ยประกันปีนั้นแค่ 12,000 บาท เท่านั้น

    และการที่ค่าเสียหายส่วนแรก หรือ Excess นี้ มันลดเบี้ยประกันที่เราต้องจ่าย ตอนทำประกัน หรือต่อประกันรถยนต์ของเรา มันจึงเป็น Trick ที่ตัวแทน / Broker / เซลล์ขายประกันรถ จะสามารถมาเล่นกับความไม่รู้ของเราได้ เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่า เบี้ยประกันถูกกว่าเจ้าอื่นนั่นเอง (แต่จริง ๆ แล้วเรายอมเสี่ยงกับเงื่อนไขนี้ต่างหาก พูดง่าย ๆ เจ้าอื่นก็ลดให้เราได้ ถ้าเราบอกเค้าว่าเรายอมจ่ายค่า Excess เวลาเคลม)

    อ้างอิง (อ่านเพิ่มเติมก็ได้)
    http://www.cymiz.com/insurance/excess.htm
    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=879534
    http://www.thaimarch.com/index.php?topic=8449.0
    http://www.thaibuddytrip.com/forum/showthread.php?tid=897 (ค่าเสียหายส่วนแรกในแบบต่าง ๆ )



    ประกันบริษัทเดียวกัน รถรุ่นเดียวกัน แต่ราคาไม่เท่ากัน
    หลาย ๆ คนอาจจะงงว่า ทำไมบางครั้งขอราคาในการต่อประกันแล้ว ถึงได้ราคาไม่เท่ากัน ทั้ง ๆ ที่จำนวนครั้งที่เคลม (หรือไม่เคยเคลม) ก็เท่ากัน แถมบริษัทที่ต่อยังเหมือนกันอีกด้วย

    ที่จริงแล้ว ปัจจัยมันมีหลายอย่าง ดังนี้ (คร่าว ๆ):
    - ทุนประกันความเสียหาย ไม่เท่ากัน เช่น วงเงินความเสียหาย / รถหาย / ไฟไหม้ / วินาศกรรม / สงคราม ฯลฯ
    --- ในส่วนนี้ ยังสามารถแตกย่อยลงไปได้อีกหลายส่วนเลย
    ------> วงเงินคุ้มครองทรัพย์สินคนขับ/ผู้โดยสารของเจ้าของรถ และของคู่กรณี /ต่อครั้ง และ maximum สูงสุดไม่เกินเท่าไร
    ------> วงเงินค่ารักษาพยาบาล /ต่อครั้ง และ maximum สูงสุดไม่เกินเท่าไร

    ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ราคาที่ได้รับการเสนอมามีราคาไม่เท่ากัน ต้องเอากรมธรรณ์มาแจงรายละเอียดดูถึงจะชัดเจน อีกทั้งกรณีดังกล่าวเป็นแค่เรื่องทุนประกันเท่านั้น ยังไม่ได้พูดถึงกรณีต่อรอง option ที่ต้องการ เช่น ค่าเสียหายส่วนแรก (ค่า Excess) ว่าต้องจ่ายเท่าไร ทำประกันแบบระบุชื่อคนขับหรือเปล่าเป็นต้น

    * เงื่อนไขและรายละเอียดดังกล่าว ก็ขึ้นอยู่กับว่า เซลล์หรือตัวเทนจะแจงรายละเอียดให้เราทราบ ตอนที่เสนอราคาให้ลูกค้าอย่างเราดูนั่นแหละ

    อ้างอิง: ต้องขออภัยด้วยครับ จำได้แต่ว่าได้ข้อมูลมาจาก Thaialmeraclub อต่ตอนแรกว่าเซฟ url ไว้แล้ว แต่กลายเป็นว่ามันไม่มี



    ใบเตือนต่ออายุจากที่เก่า?
    อันนี้พอดี ตอนหาข้อมูลอยู่ดี ๆ ก็ไปเจอเข้าโดยบังเอิญว่า ตอนใกล้ ๆ หมดประกัน (ประมาณ 1-2 เดือนก่อนหมด) จะมีใบเตือนต่ออายุประกัน หรือก็คือ ใบแจ้งเตือนต่ออายุกรมธรรณ์ ส่งมาให้เราตามที่อยู่ที่เราแจ้งไว้ตอนซื้อรถด้วย

    แน่นอนว่า หลาย ๆ คนฟังแล้วอาจจะไม่คิดอะไรเท่าไร แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนที่รถมีแผลนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วรอเคลมทีหลัง (พี่เขยเคยบอกว่า รอใกล้ ๆ หมดประกันค่อยไปเคลม ซึ่งบอกตรง ๆ เลยตอนนั้นก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมต้องรอ แต่ตอนนี้คิดว่าเข้าใจแล้วนะ)

    เค้าบอกว่าคนที่จะเคลมประกันตอนใกล้ ๆ หมด ซึ่งถ้าเราไม่เคยเคลมมาก่อน เราจะมีประวัติดี และเวลามีใบแจ้งเตือนต่ออายุส่งมา จะระบุส่วนลดของประวัติดีไว้ด้วย ซึ่งพอเราได้ใบนี้มาแล้ว เราก็เอารถเราไปเคลม พร้อมกับศึกษาข้อมูลต่อประกันภัยรถยนต์ เช็คราคา ของบริษัทอื่นไปด้วย จากนั้นพอรถเราซ่อมเสร็จแล้ว (แต่ต้องก่อนที่กรมธรรณ์หมดอายุนะ) เราก็เอาใบส่วนลดประวัติดีนี้ ไปต่อประกันกับที่อื่น (ที่เราเล็งไว้) เราก็จะได้ส่วนลดไปด้วยนั่นเอง

    * แต่ปัจจุบันผมกับเพื่อน มีความเห็นตรงกันว่า ข้อมูลเดี๋ยวนี้มันน่าจะ Link กันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราเคลมมาก็คือเคลมมาอยู่ดี ถึงแม้ว่าเราจะเคลมหลังจากที่ได้ใบต่ออายุมาแล้วก็เถอะ (แต่ไม่รู้นะว่าจริง ๆ แล้วยังไงกันแน่)

    http://www.thaialmeraclub.com/index.php?topic=15023.15 (มีคนพูดถึงกรณีใบแจ้งเตือน ในกระทู้นี้)



    ต่อประกัน กับเจ้าไหนดี (บริษัทประกันไหนดี)?
    ก่อนอื่นขอพูดถึง สองบริษัทที่ได้รับคำชื่นชมมามากก่อนแล้วกัน นั่นก็คือ กรุงเทพประกันภัย และวิริยะประกันภัย ทั้งนี้เพราะว่าได้รับคำชื่นชม และความไว้วางใจอย่างมากเลยทีเดียว รวมถึงการบริการก็ถือว่าโอเคดีด้วยเช่นกัน จากข้อมูลที่ได้มา เห็นว่าถ้าใครประกันอู่ ก็มีมาตรฐานที่ดีใช้ได้เลย แต่ว่าค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง กว่าตัวเลือกอื่น ๆ

    กรุงเทพประกันภัย - เป็นบริษัทที่มือชื่อเสียงมานานในด้านประกันภัย การบริการก็มีเสียงตอบรับที่ดีมาก เคลมประกันกับบริษัทนี้ ก็แทบจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใดให้เห็น ซึ่งจากการหาข้อมูลมา เรียกได้ว่าน่าจะเป็นอันดับ 1 เลย เพราะถ้าถามว่าบริษัทประกันไหนดีที่สุด หลาย ๆ เสียงมองมาที่กรุงเทพประกันภัยแทบทั้งนั้น

    วิริยะประกันภัย - เป็นบริษัทประกัน ที่มีชื่อเสียงมานาน ดูแลลูกค้าดี การเคลมประกันไม่ค่อยมีเรื่อง งอแงอะไรให้เห็น แต่เห็นว่าเวลาเคลมประกัน โดยที่ไม่มีคู่กรณี เราจะต้องเสียจุดละ 1,000 บาทนะ จริงหรือไม่จริงอันนี้ผมไม่ทราบได้ แต่ว่าน้องผมเปลี่ยนไปใช้ กรุงเทพประกันภัยด้วยเหตุผลอันนี้เลย (เห็นบอกว่า กรุงเทพประกันภัยไม่คิดค่าใช้จ่ายตรงนี้)

    * กรุงเทพประกันภัยมีดีที่เคลมง่ายกว่า แต่วิริยะดูเหมือนว่าจะมีอู่ซ่อมบริการที่มากกว่า ทำให้มีความสะดวกมากกว่า (อย่างไรก็ตาม ผมขอไม่ คอนเฟิร์มว่าตกลงมันตามนั้นหรือเปล่านะ แต่ข้อมูลที่ได้ มันเป็นแบบนั้นเฉย ๆ)

    http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2012/08/V12463001/V12463001.html
    http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2012/01/V11552470/V11552470.html


    สรุปแล้ว บริษัทประกันภัย ที่น่าเชื่อถือ รับผิดชอบดี ๆ ผมขอแนะนำแค่ 2 ที่ด้านบนเท่านั้น เพราะว่า Feed Back ค่อนข้างดีมาก ๆ เมื่อเทียบกับเจ้าอื่น ๆ ผมไม่มีส่วนได้เสียกับ บ. ดังกล่าวนะครับ ยังคิดว่าค่าประกันค่อนข้างแพงอยู่เลย เพราะบอกตรง ๆ เจ้าอื่น ๆ หาข้อมูลมามีทั้งดีทั้งเสีย เลยไม่รู้ว่าจะแนะนำยังไงดี ไอ้เราเองก็ไม่เคยสัมผัสว่าดีหรือเปล่าซะด้วย บอกตรง ๆ บางบริษัท พออ่านข้อมูลแล้ว ไม่กล้าใช้ประกันของเจ้านั้นเลย บางบริษัท เพื่อนเคยใช้ก็บอกว่าไม่ดี แล้วก็เลยเปลี่ยนมาเป็นของกรุงเทพ (แต่ดันไม่เคยเคลมซะงั้น เลยไม่รู้เลยว่าดีจริงหรือเปล่า)

    เพิ่มเติม ตรงนี้ผมขอเพิ่มให้เป็นทางเลือกแล้วกัน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าดีจริง ๆ หรือเปล่า เพราะยังไม่เคยใช้ แต่เห็นว่าเบี้ยประกันถูก (ลดราคาลงมาเยอะ) แล้วก็เห็นว่า

    สินมั่นคง ประกันภัย - สำหรับบริษัทนี้ ส่วนใหญ่บอกว่าโอเค (แต่ก็มีบางคนที่บอกว่าไม่ประทับใจเท่าไร บวกกับอู่ซ่อมไม่ดีเท่ากับ วิริยะประกันภัยและกรุงเทพประกันภัย) แต่สินมั่นคง ประกันภัย ยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับ คนที่ขับรถไม่เยอะ (ประมาณ ไม่เกิน 25,000 กิโลเมตร / ปี) เพราะว่ามีทางเลือกประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 แบบ “สินมั่นคงตามไมล์ ขับน้อยจ่ายน้อย” ซึ่งราคาก็ถือว่าไม่สูงเลย (แต่รู้สึกทุนประกันก็ไม่สูงเช่นกันนะ) ยิ่งถ้าใครได้ส่วนลดของปีถัดมาด้วยละก็ ยิ่งดูราคาถูกลงไปอีก

    ** จากข้อมูลอ้างอิงที่ได้ คิดว่าดีไม่ดีแล้วแต่ดวงละกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ว่าโอเคกันนะ

    http://www.thaialmeraclub.com/index.php?topic=26191.0
    http://www.thaimarch.com/index.php?topic=27504.0

    อันนี้ผมพยายามจะหาว่า สินมั่นคง มีคนบ่นว่าไงกันมั่งแต่…
    http://pantip.com/topic/30623587 (เหมือนจะโดนด่า แต่อ้าว ผลลัพท์พลิกล็อก)
    http://www.hondajazzlover.com/forum/index.php?topic=46153.0 (อันนี้ด้วย)

    แต่ตรงนี้คนบ่นจริง
    http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php?topic=27701.0
  3. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    ขอเก็บพื้นที่นี้ไว้เพิ่มเติมนะคร้าบบ :D
  4. ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากค่ะ ตอนนี้สนใจไดเร็คเอเชีย มีใครเคยใช้ของที่นี่บ้าง
  5. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    ขอโทษทีครับ พอดีอาทิตย์ที่แล้วยุ่ง ๆ ไม่ได้เข้าบอร์ดเลยครับ

    ไม่เคยใช้ Asiadirect ที่โฆษณาอยู่ครับ เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องบริการจะดีจริงตามโฆษณาหรือเปล่า เพราะไม่ว่าเจ้าไหน ๆ ที่มาใหม่ก็บอกว่าของตนเองดีทั้งนั้นเลยครับ
  6. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

แบ่งปันหน้านี้