รับฝากเลี้ยงเด็กแก้เหงา [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 30 กรกฎาคม 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    สวัสดีค่ะ ชื่อนาค่ะ อายุ 24 ปี ปัจจุบัน นาอาศัยอยู่กับแม่ 2 คน คุณพ่อเป็นทหาร ประจำการอยู่ต่างจังหวัด นานๆจะกลับมาบ้านสักที

    เมื่อเร็วๆนี้ เราเพิ่งจะซื้อบ้านใหม่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง อยู่มาได้เดือนกว่าๆ แม่นาก็บ่นเหงา เพราะนาเองก็ต้องทำงาน ในช่วงกลางวันจึงมีแม่อยู่บ้านเพียงคนเดียว

    นาคุยเรื่องนี้กับพ่อ พ่อก็เสนอว่าให้นารีบหาแฟน แล้วมีหลานให้แกเลี้ยงแก้เหงา แม่เองก็เห็นด้วย แต่นาคิดว่ามันคงใช้เวลานานมากเกินไป กว่านาจะมีแฟนดีๆ แต่งงาน อุ้มท้อง คลอดลูก สุดท้ายเราเลยเลือกที่จะเปิดบ้าน เป็นสถานรับฝากเลี้ยงเด็กในหมู่บ้าน ระหว่างที่พ่อแม่ของเด็กไปทำงาน

    กฎในการรับเลี้ยงมีอยู่ว่า จะรับเลี้ยงแต่เด็ก 4 ขวบขึ้นไป เพราะแม่แกก็แก่แล้ว เลยขอแต่เด็กวัยที่พูดจากันรู้เรื่องเท่านั้น และจะรับเพียงแค่วันละ 5 คน ฝากได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมง

    เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อย พ่อก็พาเพื่อนๆมาช่วยกัน ทำให้สวนหลังบ้านกลายเป็นสนามเด็กเล่นขนาดย่อมๆ โดยการซื้อพวกเครื่องเล่นเด็ก ทั้งที่ทำจากพลาสติก และเหล็ก มาติดตั้งไว้

    ในช่วงแรกๆ ทุกอย่างดูเป็นไปด้วยดี จนเย็นวันหนึ่งที่นากลับมาบ้าน นาสังเกตุเห็นว่า วันนี้แม่ไม่ค่อยเล่าเรื่องเด็กๆเหมือนอย่างเคย

    “แม่เป็นอะไรรึเปล่า” นาถามขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน

    “วันนี้มีคนตกชิงช้า”

    “ตกได้ไงอ่ะ แล้วเป็นอะไรมากไหมแม่”

    “บอล(ชื่อเด็ก)บอกมีคนผลัก” แม่หยุดถอนหายใจ “ไม่เป็นอะไรมาก แค่มีรอยถลอกที่แก้มนิดหน่อย”

    “แม่เค้าว่าไงบ้าง”

    “เค้าบอกเข้าใจนะ เด็กๆเล่นกัน มันก็มีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่แม่ไม่สบายใจ ถ้าตอนนั้นแม่ไม่มัวแต่รดน้ำต้นไม้ แม่คงห้ามทัน”

    “ไม่เป็นไรนะแม่” นายิ้มให้กำลังใจ “เดี๋ยวหลังจากนี้นาก็รีบกลับแล้วกัน แม่ดูแลเด็กไปอย่างเดียว เดี๋ยวงานอื่นนาจัดการเอง”

    เย็นวันต่อมา นาแวะซื้อขนมใกล้ที่ทำงาน เพื่อเอาไปให้แม่ของบอล แทนคำขอโทษ พวกเขาบอกว่าเข้าใจดี เลี้ยงหลายคนก็คงดูแลไม่ทั่วถึงแบบนี้แหละ เรื่องมันไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ถ้าในบ้านมีคนเกลียดเด็ก ก็ไม่น่าจะมาทำงานแบบนี้ วันนี้น้องโบว์ ลูกสาวของบ้านข้างๆก็โดนหยิกมา

    นาได้ยินแบบนั้นก็ร้อนใจ เพราะที่ผ่านมาแม่ก็แสดงออกว่าชอบเด็ก และก็พูดว่าอยากเลี้ยงหลานเยอะๆมาตลอด แล้วมันมีเรื่องอะไรกัน ทำไมแม่ถึงทำร้ายเด็กได้

    “แม่ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น” นาถามขึ้นทันทีที่แม่มาเปิดประตูบ้านให้

    “เกิดอะไรคืออะไร” แม่ถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ

    “แม่บอลบอกว่าน้องโบว์โดนแม่หยิก”

    “หยิกอะไร ใครหยิก แม่ไม่ได้ทำ”

    นาถอนหายใจ เดิมทีแม่ก็เป็นคนไม่ค่อยยอมรับอะไรอยู่แล้ว นาเลยคิดว่าเรื่องนี้ก็คงเหมือนกัน “แม่ ถ้าแม่เหนื่อย เราเลิกทำก็ได้นะ”

    “นา แม่ไม่ได้เหนื่อย แม่ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เค้าอยู่บ้านกันไหม แม่จะไปถามโบว์ให้รู้เรื่อง”

    “ถ้าแม่ยืนยันว่าไม่ได้ทำ งั้นก็ช่างมันเถอะ แม่ไปถามแบบนั้น จะพาลให้มีเรื่องกันเปล่าๆ เข้าบ้านไปกินข้าวกัน”

    ระหว่างกินข้าว นาก็พยายามถามแม่ดูอีกครั้ง เมื่อแม่ไม่มีท่าทีว่าจะยอมรับ คืนนั้นนาเลยโทรหาพ่อ เพราะถ้านาปล่อยเลยตามเลย แล้วมันเกิดขึ้นอีก คราวนี้พ่อแม่เด็กอาจจะเอาเรื่องก็ได้

    นาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟัง เขาก็ช่วยพูดกับแม่แบบอ้อมๆ ว่าอยากให้ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บ้านพักข้าราชการ แต่แม่ก็ปฏิเสธ พร้อมบอกว่ารักงานที่ทำอยู่ตอนนี้ เพราะมันช่วยให้หายเหงาได้ พ่อเลยให้ลองแก้ไขเบื้องต้น โดยการลดจำนวนดู เพราะแม่อาจจะเครียดที่มีเด็กเยอะเกินไป

    เราลดจำนวนเด็กที่รับเลี้ยง เหลือแค่ 3 คนต่อวัน และมันก็ได้ผล ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ จากอุบัติเหตุ หรือการทำโทษอีก

    จนเวลาผ่านไปเกือบ 1 เดือน

    ขณะที่นากำลังเปิดประตูเข้าบ้าน หลังกลับมาจากทำงาน นาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากในบ้านทิ้งของที่ถือมาทุกอย่างไว้ที่หน้าประตู แล้วรีบเข้าบ้านอย่างเร็วที่สุด

    “แม่ แม่อยู่ไหน” นาตะโกนเรียกหาแม่เป็นอันดับแรก “แม่ ใครเป็นอะไร”

    นารีบวิ่งขึ้นไปชั้น 2 เพราะคิดว่าเสียงมันจากบนนั้น ชั้นบนของบ้าน จะมีบันไดอยู่ริมสุด เมื่อพ้นบันไดมา ก็จะเป็นที่โล่งๆ ไว้ให้เด็กเอาของเล่นมานั่งเล่นกัน ฝั่งซ้ายมือมีห้องนอนพ่อกับแม่ 1 ห้อง ห้องของนา 1 ห้อง ในฝั่งขวา ห้องหนึ่งถูกทำเป็นห้องดูวีดีโอ และนอนกลางวันสำหรับเด็ก ส่วนอีกห้องก็เป็นห้องว่างที่เอาไว้เก็บของ

    ประตูห้องถูกเปิดไว้ ยกเว้นห้องเก็บของ เสียงกรีดร้องยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ออกมาจากห้องใดห้องหนึ่ง นาเดินเข้าไปดูทุกห้องที่เปิดไว้ มองหาจนทั่ว แต่ก็ไม่เจอใคร เหลือแค่เพียงห้องเดียวที่ปิดไว้ นาเดินไปบิดลูกบิดอย่างแรงเพราะความรีบ ก็พบว่ามันถูกล็อคจากข้างใน

    “แม่ แม่อยู่ไหน” นาตะโกนเรียกแม่อย่างใจร้อน เพราะคิดว่าเด็กคงเล่นกัน จนเข้าไปติดอยู่ในห้องเก็บของ แล้วออกไม่ได้ “ใครอยู่ในนั้น หนูเป็นอะไรไหม อยู่กันกี่คน เปิดประตูได้ไหม” ถามไปก็พยายามบิดลูกบิดไป

    กรี๊ดดดดดดด!!!

    ปังๆๆๆๆ!!!

    เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งเสียงทุบประตูจากด้านใน ทำให้มั่นใจว่าเป็นห้องนี้แน่ๆ ใจนาเริ่มเต้นแรง กลัวว่าคราวนี้จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

    “หนูใจเย็นๆนะ เดี๋ยวพี่เอากุญแจมาไขให้ ไม่ต้องร้องนะ อยู่ห่างๆประตูไว้” นาพยายามพูดปลอบเด็ก “แม่ แม่เอากุญแจห้องเก็บของมาที”

    “อะไร มีอะไร” แม่วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมา แล้วถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

    “มีเด็กติดอยู่ในห้อง”

    “อะไร เป็นไปได้ยังไง เด็กกลับไปหมดแล้ว แม่ออกไปส่งมาเมื่อกี้”

    “มันจะหมดได้ยังไง” นาเถียงกลับอย่างหงุดหงิด “แม่ไม่ได้ยินเสียงเด็กกรี๊ดหรอ แม่คอยคุยกับเด็กไว้นะ ไม่รู้โดนของหล่นทับรึเปล่า เดี๋ยวหนูไปเอากุญแจเอง”

    นารีบวิ่งลงมาข้างล่าง เปิดลิ้นชักทั่วทั้งบ้าน หากุญแจห้องด้วยมืออันสั่นเทา ในหัวก็คิดไปต่างๆนานา ว่าจะบอกกับพ่อแม่เด็กยังไงถ้าลูกเขาเป็นอะไรไป แล้วจะชดใช้ไหวไหมถ้าเกิดเจ็บหนัก

    พอได้กุญแจ นาก็รีบย้อนกลับขึ้นไป ยังไงตอนนี้ก็ช่วยเด็กออกมาก่อน บางทีมันอาจจะไม่มีอะไร เด็กอาจจะแค่กลัวที่มืดเลยกรีดร้องขนาดนั้น

    แต่เมื่อกลับขึ้นมาถึงข้างบน ก็เห็นว่าประตูถูกเปิดทิ้งไว้ แล้วแม่ก็เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก

    “ประตูมันไม่ได้ล็อค” นาขมวดคิ้วงุนงง จะเป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อกี้นาพยายามบิดลูกบิดอยู่หลายครั้งมาก “ไม่มีเด็กอยู่ในนี้ด้วย ก็บอกว่าเด็กกลับไปหมดแล้ว ตะโกนซะตกใจหมด”

    “แต่หนูได้ยินเสียงกรี๊ด”

    “ดังมาจากบ้านข้างๆรึเปล่า”

    “แต่มันมีเสียงทุบประตู ดังมาจากข้างในนั้นแน่”

    “ไม่เชื่อก็มาดูเอง”

    นาเดินเข้าไปในห้อง กวาดตามองทุกซอกทุกมุม ยกกล่องนั้น เปิดถุงนี้ หาดูจนทั่วทุกที่ที่คิดว่าเด็กจะเข้าไปซ่อนได้ แต่ก็ไม่เจอ

    “ก็บอกแล้วว่าไม่มี ไปๆ กินข้าว”

    หลายวันผ่านไป นาลาหยุดเพราะจะไปตรวจสุขภาพประจำปี ช่วงบ่ายจึงว่างมาช่วยแม่ดูแลเด็ก นานั่งมองเด็ก 3 คนเล่นกันที่สวนหลังบ้าน โดยมีแม่นั่งอยู่ข้างๆ แต่จู่ๆ น้องเอ เด็กผู้หญิงวัย 7 ขวบ ก็กระเด็นลงจากชิงช้าที่กำลังไกวอยู่

    แม่กับนารีบวิ่งเข้าไปดู เราช่วยกันพยุงเอขึ้นมา แล้วปัดทรายออกจากตัวให้ ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก มีเพียงแค่แผลถลอกที่ฝ่ามือเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้นากับแม่กังวล คือคำพูดของเธอต่อจากนั้น

    “ฮึก พี่คนนั้นเค้าเกลียดหนู เค้าไล่หนู ฮือออ หนูอยากกลับบ้าน ไม่อยากมาที่นี่แล้ว” เอพูดไปร้องไห้ไป

    “ใครคะ” นาถาม

    “พี่ผู้หญิงที่นั่งบนรถเข็นไง ฮึก ฮือ”

    “บ้านนี้ไม่มีใครนั่งรถเข็นนะหนู” แม่ช่วยพูด

    ได้ยินดังนั้น เด็กอีก 2 คนก็รีบวิ่งมาหานากับแม่ พวกเขาพากันยืนยัน ว่ามีใครอีกคนอยู่ในบ้านเราจริงๆ เป็นผู้หญิงผมยาว ร่างท้วม ผิวคล้ำ นั่งอยู่บนรถเข็น ชอบทำหน้าไม่พอใจ พวกเขาจะเจอทุกครั้งที่ขึ้นไปชั้น 2 แต่นานๆทีผู้หญิงคนนั้นจะลงมาข้างล่าง คอยตามทำโทษเด็กที่ส่งเสียงดัง

    คืนนั้นหลังจากส่งทุกคนกลับบ้าน นาก็รีบโทรไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อกับแม่คุยกันอยู่นาน แล้วบอกจะนิมนต์พระมาทำบุญ พวกท่านคิดกันว่า ตั้งแต่เรามาอยู่บ้านนี้ เรายังไม่เคยทำบุญบ้านกันเลย แถมอยู่ๆก็เอาเด็กมาเลี้ยงตั้งหลายคนอีก ผีบ้านผีเรือนคงจะไม่พอใจ

    วันรุ่งขึ้น นาลางานอีกวันเพื่อทำบุญบ้าน ตอนแรกก็คิดว่าจะจัดงานใหญ่ไปเลย แต่ดูจากสิ่งที่บ้านเราเจอตอนนี้แล้ว นาคิดว่าคงวางแผนนานไม่ไหว แม่เลยบอกแค่เพื่อนที่สนิทไม่กี่คน แล้วก็เชิญคนในหมู่บ้านที่เคยพูดคุยกันมาร่วมงาน

    พิธีดำเนินไปตามที่ควรจะเป็น ในขณะที่แขกทุกคนกำลังนั่งฟังพระสวด ก็มีเสียงของบางอย่างตกที่ชั้นบน ครั้งแรกทุกคนยังไม่ได้สนใจอะไร แต่พอมีครั้งที่ 2 และ 3 หลวงพ่อเริ่มมองขึ้นไปที่บันได แล้วจ้องอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งสวดจบ

    หลังจากเสร็จพิธีทุกอย่าง หลวงพ่อก็มาถามแม่ว่าบ้านเราอยู่กันกี่คน พอแม่บอกว่า 3 คน มีแม่กับนา ส่วนพ่อติดงานมาไม่ได้ หลวงพ่อท่านเลยขอขึ้นไปดูที่ชั้น 2

    ทันทีที่เราเดินขึ้นมาที่ชั้นบน นาก็รู้สึกเย็นยะเยือกจนถึงกระดูก ของที่เคยอยู่ในห้องเก็บของ กระจัดกระจายอยู่เต็มทางเดิน

    “ใครนอนห้องนั้น” ทั้งๆที่ประตูทุกห้องถูกปิดไว้ แต่หลวงก็พ่อชี้ไปที่ห้องที่เราใช้เก็บของ

    “ไม่มีค่ะ เป็นห้องเก็บของ” นาตอบ
  2. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    ท่านเดินนำขึ้นไปจนถึงหน้าห้อง และเมื่อท่านเอื้อมมือไปจับที่ลูกบิด ก็มีเสียงของหลายชิ้นหล่นลงพื้นอีก หลวงพ่อพยายามเปิดประตู แต่มันล็อค

    “ไปเอากุญแจมาไป” แม่หันมาพูดกับนา

    “ไม่ต้อง” หลวงพ่อบอก

    ท่านพึมพำสวดอะไรอยู่สักพัก แล้วประตูก็เปิดออกอย่างแรง จนกระแทกเข้ากับผนังดังโครม

    เมื่อประตูถูกเปิด กลิ่นยาฆ่าเชื้อเหมือนที่ได้กลิ่นในโรงพยาบาล ก็โชยออกมา ตามมาด้วยกลิ่นน้ำเหลือง และกลิ่นเหม็นเน่า ที่แรงจนแสบจมูก

    หลวงพ่อท่านเดินหายเข้าไปในห้อง ลุงคนที่มากับท่าน ห้ามไม่ให้เราเข้าไปใกล้ เราเลยได้แต่ยืนลุ้นกันอยู่ตรงบันได

    ขณะที่พระท่านสวดอยู่ นาก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังควบคู่มาด้วยตลอดเวลา นาทีแรกนานึกไม่ออกว่ามันเป็นเสียงของอะไร แต่พอนึกถึงคำพูดของพวกเด็กๆ นาก็ขนลุกซู่ขึ้นมา

    มันคือ....เสียงล้อของรถเข็น...

    แม่กับนาบีบมือกันแน่น ตลอดเวลาที่อยู่บ้านนี้มา เราไม่เคยรู้เลยว่าไม่ได้มีกันอยู่แค่ 2 คน ตอนนั้นเอง ที่นาเริ่มคิดถึงเสียงกรี๊ดในห้องเก็บของขึ้นมา มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ห้องนั้นต้องเคยเกิดอะไรบางอย่างขึ้น

    ผ่านไปหลายนาทีที่หลวงพ่อสวดอยู่แบบนั้น จนกระทั่งเสียงเงียบลง ท่านเดินออกมาจากห้อง แล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้คนที่ติดตามท่าน

    “ติดที่หน้าห้อง” หลวงพ่อสั่ง

    “มีสก๊อตเทปไหม” ลุงหันมาถามนากับแม่

    “มีค่ะ อยู่ในห้อง เดี๋ยวหนูไปหยิบให้” นาตอบแล้วรีบเดินตรงไปที่ห้องนอน ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องเก็บของ

    “อย่า!”

    เสียงหลวงพ่อกับผู้ติดตามตะโกนขึ้นพร้อมกัน นาจึงหันกลับมาตามสัญชาตญาณ ตอนนั้นเองที่หางตาเหลือบไปเห็นในห้องเก็บของ

    ผู้หญิงผิวคล้ำ ร่างท้วม หน้าตาโกรธเกรี้ยว นั่งอยู่บนรถเข็นที่จอดอยู่หน้าประตูห้อง กำลังมองมาที่นาด้วยสายตาเกลียดชัง มือของเธอจับอยู่ที่ล้อรถ ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เธออ้าปากกรีดร้อง แล้วไถล้อรถของเธอพุ่งเข้ามาหานาอย่างรวดเร็ว

    "กรี๊ดดดด!!!!!"

    .
    .
    .
    .
    .

    นาตื่นขึ้นมาอีกทีตอน 2 ทุ่ม ที่โซฟาชั้นล่างของบ้าน รอบตัวเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งพ่อกับแม่ แล้วก็ชาวบ้านระแวกนั้น ที่ข้อมือนามีสายสิญจน์เส้นหนึ่งผูกไว้

    “ก็อย่างที่บอก ปิดตายห้องนั้นไปเลย หลวงพ่อท่านให้เอายันต์แปะไว้ให้แล้ว ถ้าไม่เข้าไปยุ่งอีก ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง เค้าอยู่มาก่อน ก็ต่างคนต่างอยู่ไป” นาได้ยินเสียงลุงคนที่มากับหลวงพ่อบอก

    “แต่นี่บ้านผม” พ่อนาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก

    “อยากลองของก็เชิญ! ระวังอย่ามีลูกมีหลานก็แล้วกัน มันเอาถึงตาย”

    ลุงคนนั้นตะคอก แล้วลุกออกจากบ้านไป นาได้แต่มองคนนั้นที คนนี้ที ไม่ข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่นาหลับไป

    2 วันหลังจากนั้น พ่อสั่งให้เราเก็บเสื้อผ้า เพื่อย้ายไปอยู่กับพ่อที่บ้านพักข้าราชการ ไว้พ่อเก็บเงินอีกสักพัก แล้วค่อยซื้อบ้านใหม่ ส่วนบ้านหลังนี้ก็ทิ้งร้าง เพราะพ่อไม่อยากให้ใครมาเสี่ยงอันตรายกับวิญญาณอาฆาตดวงนั้น

    นาเพิ่งได้มีโอกาสถามแม่เมื่อวานนี้เอง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่บ้านหลังนั้น แม่เองดูไม่ค่อยอยากพูดถึงสักเท่าไหร่ แต่เล่ามาคร่าวๆว่า

    เจ้าของเก่าเขามีกันอยู่ 2 คน เป็นพี่ชายกับน้องสาว พ่อแม่ตายหมด พอพี่ชายมีเมีย มีลูก น้องสาวก็รักหลานมาก คอยเลี้ยงดูหลาน ตามใจทุกเรื่อง

    วันหนึ่ง หลานอยากกินขนม อาที่กำลังเจ็บขาก็พยายามลงบันไดเพื่อไปซื้อขนมให้หลาน แต่ดูเหมือนจะไม่ทันใจ หลานวัย 4 ขวบเลยผลักจนอาตกบันไดลงมา ขาทั้ง 2 ข้างของเธอหัก แต่ไม่มีใครเชื่อเธอว่าหลานเป็นคนทำ เพราะเหตุนี้เธอจึงเกลียดหลานนับตั้งแต่วันนั้น

    เธอทะเลาะกับพี่ชายและพี่สะใภ้บ่อยขึ้น จนในที่สุดพี่ชายก็พาลูกเมียย้ายไปอยู่ที่อื่น พอคนในหมู่บ้านรู้เข้า พวกเขาก็แวะเวียนกันเอาข้าวมาให้เธอกิน แต่อยู่ได้ไม่นาน เธอก็เสียชีวิตลง

    ไม่เคยมีใครคิดว่าวิญญาณของเธอจะยังอยู่ แถมยังอาฆาตแค้นเด็ก เพราะก่อนที่ครอบครัวนาจะมาซื้อ บ้านหลังนี้ก็ถูกเปิดให้เช่าอยู่หลายเดือน

    หลังจากรู้เรื่อง นาก็หมั่นทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้เธอ และหวังว่าเธอจะไปเกิดได้ในเร็ววัน

แบ่งปันหน้านี้