มันเริ่มต้นจากเงินต่อเดือนที่ไม่พอใช้ [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 26 พฤษภาคม 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    ฉันชื่อวิวค่ะ เป็นนักศึกษาปี 2 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หลายเดือนมาแล้ว ที่เงินที่แม่ให้ฉันต่อเดือน มันไม่พอใช้ ฉันจึงจำเป็นต้องหางานทำ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระท่าน

    หาอยู่นาน จนในที่สุดก็มีรุ่นพี่คนหนึ่ง ที่เป็นตัวแทนของอาหารเสริมยี่ห้อหนึ่ง มาชวนฉันให้ไปขายของด้วยกัน ฉันเองเป็นคนผิวดีอยู่แล้ว จึงคิดว่าแค่บำรุงนิด แต่งรูปหน่อย แล้วรับของมาขาย ลูกค้าน่าจะติดได้ไม่ยาก

    2 อาทิตย์ต่อจากนั้น ฉันก็เริ่มสมัครโซเชียลต่างๆเพื่อเอาไว้ขายของ หลังจากโพสรูปตัวเอง และคำโฆษณาไปอีกเล็กน้อย ลูกค้าก็เริ่มทักฉันเข้ามา จาก 2-3 คนต่อวัน กลายเป็นหลาย 10 คนในเวลา 1 เดือน

    แต่เนื่องด้วยคณะที่ฉันเรียน มันค่อนข้างจะมีงานกลุ่มบ่อย ดังนั้นการตอบไลน์ลูกค้า และคุยงานกับเพื่อนไปพร้อมๆกัน มันทำให้ฉันเริ่มจะสับสน

    ฉันจึงมองหามือถือมือ 2 สภาพดี ในราคาที่จ่ายเงินสดไหว ฉันไม่อยากรูดบัตรเพื่อซื้อมือ 1 เพราะคิดว่าอาชีพแบบนี้ รายได้ต่อเดือนมันไม่แน่นอน

    หาอยู่ไม่นาน ฉันก็ไปเจอเข้ากับกระทู้ฝากขาย ของผู้หญิงคนหนึ่งเข้า

    ‘ ขายมือถือxxx รุ่นxx สภาพ 99%

    ใช้งานได้ปกติดีทุกอย่าง ประกันเหลือเกือบ 1 ปี

    ตั้งแต่ซื้อมา ใช้อยู่แค่อาทิตย์เดียว

    อุปกรณ์ครบ แท้ทุกชิ้น มีกล่อง

    ราคา 17,000 บาท งดต่อรอง

    ส่งemsฟรี หรือนัดรับตามที่ตกลง

    **ขายเพราะลูกสาวแอบเอาเงินค่าเรียนพิเศษไปซื้อมา ตอนนี้ต้องใช้เงินจ่ายค่าเรียนค่ะ

    เข้ามาสอบถามหรือขอดูรูปเพิ่มเติมที่ไลน์ xxxxxx ‘

    ที่ฉันเลือกที่จะซื้อราคานี้ ทั้งๆที่ของคนอื่นขายไม่ถึงหมื่นบ้าง หรือหมื่นต้นๆบ้าง ก็เพราะอันดับแรกคือ สภาพของตัวเครื่องที่แทบไม่ต่างจากของใหม่ ราคาที่ไม่ถูกเกินไปจนน่าสงสัย(ว่าอาจจะขโมยเค้ามา) รวมไปถึงเหตุผลที่เอาของใหม่ขนาดนี้มาขาย ก็ฟังดูเชื่อถือได้

    หลายวันต่อมาของก็มาส่ง สิ่งแรกที่ฉันทำคือถือเครื่องไปที่ศูนย์ ให้พนักงานเช็คทุกอย่างว่ามันไม่มีอะไรพัง หรือเครื่องไม่ได้ถูกขโมยมาจริงๆ เพราะทางเว็บที่ฝากขาย เขามีกฎเรื่องการรับประกันความพึงพอใจ หากของไม่ตรงตามที่แจ้ง สามารถขอเงินคืนได้ภายใน 7 วัน

    หลังจากเช็คทุกอย่างเรียบร้อยเป็นที่น่าพอใจแล้ว ฉันก็กลับมาที่หอ จัดการสมัครแอคเคาท์ใหม่ แล้วล็อคอินไว้ใช้คุยเรื่องงานกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติดี จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง

    มีไอดีชื่อแปลกๆแอดมาหาฉัน รูปดิสเป็นรูปเด็กผู้หญิงวัยม.ปลายคนหนึ่ง

    “พี่คะ” เธอทักฉันมา

    เนื่องจากเครื่องนี้ ฉันล็อคอินแอคเคาท์ส่วนตัวเอาไว้ และให้ไอดีไปแค่เพื่อนที่สนิทเท่านั้น ฉันจึงไม่ได้เข้าไปตอบ เพราะคิดว่าคงแอดมาผิดคน

    หลายวันต่อมา ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับการเคลมสินค้าที่ขาย คอยตอบลูกค้าจนหัวหมุนไปหมด แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่หาว่าฉันจะโกง ฉันจึงปิดโทรศัพท์เครื่องนั้นลง แล้วใช้อีกเครื่องพิมพ์ไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนๆฟัง

    ผ่านไปมากกว่าครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครกดอ่านแชทของฉันเลยสักคน ฉันเริ่มเครียดมากขึ้น ติดต่อรุ่นพี่คนที่ขายอยู่ด้วยกันไป พี่เขาเองก็กำลังรับศึกหนักอยู่เหมือนกัน เราทั้งคู่กลายเป็นคนมีหนี้สินเกือบแสนบาทภายในเวลาข้ามคืน

    แต่แล้วจู่ๆ น้องคนเมื่อวานก็ทักมาอีก

    “พี่คะ”

    “ใครคะ” ฉันตอบกลับไป เพราะอยู่คนเดียวก็เครียดเปล่าๆ “เอาไอดีมาจากไหน”

    “พี่ซื้อมือถือต่อจากแม่หนูมาใช่ไหม”

    “ใช่ค่ะ จะมาทวงโทรศัพท์คืนหรอคะ คงให้ไม่ได้นะคะ เพราะแม่น้องขายพี่มาแล้ว”

    ฉันตอบไปด้วยอารมณ์ที่กำลังโมโห แล้วฉันก็ไม่ได้เปิดเข้าไปดูอีก ว่าน้องตอบอะไรมา เพราะว่าเพื่อนสนิททักมาพอดี

    ฉันใช้เวลาเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยละเอียดให้เพื่อนฟังอยู่หลายชั่วโมง แต่แทนที่ฉันจะสบายใจขึ้น กลับกลายเป็นว่าเพื่อนไม่เข้าใจฉัน หาว่าฉันแต่งเรื่องเพื่อจะมายืมเงินไปทำอะไรไร้สาระ จากความเครียดที่เกิดจากคนไกลตัว กลายเป็นเครียดเพราะคนใกล้ตัวเพิ่มมาอีก

    ฉันนอนร้องไห้อยู่นาน จนเผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาเกือบจะตี 2 แล้ว เมื่อหยิบมือถือขึ้นมาดู ก็พบว่าเพื่อนคนอื่นๆที่ฉันส่งข้อความไประบายไว้ ก็พูดทำนองเดียวกับเพื่อนคนแรกทั้งหมด

    ฉันเปิดแอพขึ้นมาแล้วกดลบข้อความจากเพื่อนทุกคน ที่มันจะบั่นทอนจิตใจของฉัน ลบไปเรื่อยๆจนถึงข้อความของน้องเจ้าของเครื่องคนเก่า

    “ไม่ได้จะมาเอาเครื่องคืนค่ะ หนูแค่หาคนคุยด้วย” น้องส่งมาตั้งแต่ 5 ชั่วโมงที่แล้ว

    ป่านนี้น้องคงนอนไปแล้ว แต่ฉันไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วจริงๆ บางทีการเล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้คนไม่รู้จักฟัง มันอาจจะทำให้สบายใจกว่าการบอกคนใกล้ตัวก็ได้

    ฉันพิมพ์เรื่องราวทุกอย่างที่เจอมา ให้คนแปลกหน้าฟังจนหมด อธิบายทุกสิ่ง ว่าฉันคิดอะไร รู้สึกยังไง แล้วฉันพยายามแค่ไหนที่จะแก้ไขมัน ฉันไม่ได้หวังอะไรจากการเล่าครั้งนี้ เพราะน้องเป็นแค่เด็กม.ปลาย จะมาเข้าใจอะไรเรื่องพวกนี้

    “พี่ทำดีแล้วนะคะ หนูเข้าใจ”

    ฉันเผลอยิ้มกว้าง เมื่อน้องตอบกลับมาทันที นี่แหละคือข้อความที่ฉันอยากจะเห็น ฉันขอแค่นี้เท่านั้นเอง

    เมื่อเจอคนที่เข้าใจ ฉันก็สบายใจที่เล่าเรื่องราวอื่นๆให้เขาฟังต่อ คุยไปคุยมาจนรู้ว่า น้องเค้าชื่อเจน เรียนอยู่ม.5 โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งไม่ไกลจากม.ฉัน เจนเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่เคยพิมพ์ขัดเลยสักครั้ง เราคุยกันจนถึงตี 5 แล้วน้องก็ขอตัวไปนอน

    วันต่อมาทางผู้ผลิตสินค้าที่ฉันขาย ก็อัพเฟสบุ๊คบอกเล่าถึงความผิดพลาด ของการผลิตสินค้ารอบนี้ และจะทำการคืนเงินให้กับตัวแทน และลูกค้าทุกคน เป็นอันจบเรื่องราวที่ทำให้ฉันเครียด

    เวลาผ่านไปอีกเป็นเดือน ลูกค้าคนเก่าก็เริ่มกลับมาไว้ใจฉันอีกครั้ง รวมถึงลูกค้าใหม่ที่เข้ามากดติดตามเป็นจำนวนมาก เพื่อนที่เคยด่าฉันครั้งนั้น ก็กลับมาให้ความสนิทสนม ชวนไปไหนมาไหนกันเหมือนเดิม

    แต่ฉันไม่ต้องการ

    เพราะฉันมีเพื่อนที่ปรึกษาคนใหม่ คือน้องเจน ฉันกับเจนคุยกันได้ทุกเรื่อง จนวันนี้ก็มีเรื่องที่ฉันเริ่มทนไม่ไหวกับเพื่อนคนหนึ่ง ตั้งแต่ฉันเริ่มมีเงิน เพื่อนคนนี้ก็มักจะมาคุยด้วยบ่อยๆ แต่คุยด้วยถ้อยคำที่อ่านดูก็รู้ว่าจงใจจิกกัด

    ฉันเล่าเรื่องเพื่อนคนนั้นให้เจนฟัง เจนเองก็ดูโมโหแทนฉันมาก เราพากันด่าว่าเพื่อนคนนั้นกันด้วยอารมณ์ที่พาไป จนฉันเผลอหลุดพิมพ์ขึ้นมาด้วยความโกรธว่า

    “คนแบบนี้น่าจะตายๆไปซะ”

    “เอาไหมล่ะพี่ หนูจัดการให้ได้นะ” เจนยังคงตอบกลับมาแบบเอาใจฉันเต็มที่

    “ได้ก็ดี” ฉันเองก็ยังคงพิมพ์ตอบไปด้วยอารมณ์ที่คับแค้นใจ

    “เพื่อนคนนี้ที่อยู่หอเดียวกับพี่ แต่อยู่ชั้นล่างถัดไป 2 ชั้นใช่ไหม”

    ฉันสะดุ้งเมื่อได้อ่านข้อความนั้น ตอนที่เล่าให้เจนฟัง ฉันไม่ได้เอ่ยชื่อเพื่อนด้วยซ้ำ บอกแค่ว่าเป็นเพื่อน ไม่เคยบอกว่าอาศัยอยู่ที่ไหน

    “รู้ได้ไงว่าพี่อยู่หอไหน มั่วแล้ว พี่ไม่เคยบอกนะ” ยอมรับว่าตอนนั้นฉันเริ่มกลัวน้องเจนหน่อยๆ เธอรู้อะไรเกี่ยวกับฉันบ้างก็ไม่รู้

    “รู้สิ ก็อยู่หอในมหาลัย ที่อยู่ตรงข้ามตึกคณะพยาบาลไง เพื่อนพี่อยู่ชั้น 4 พี่อยู่ชั้น 6 ห้อง 607”

    ฉันปิดแอพลงแล้วไม่ตอบอะไรกลับไปอีก ฉันไม่ได้เล่นเฟสบุ๊ค ไม่ได้มีโซเชียลอะไรอื่นที่มันจะระบุถึงที่อยู่ของฉันได้ กับเพื่อนบางคนฉันยังไม่เคยบอกเลยว่าอยู่ห้องไหน

    แล้วเจนรู้ได้ยังไง

    เจนยังคงส่งแชทมาไม่จบไม่สิ้น จนฉันเริ่มโมโห ถ้าเหงาน่ะ ฉันเป็นเพื่อนคุยให้ได้ แต่ไม่ใช่มาแอบสืบเรื่องของฉันแบบนี้

    ฉันคิดไว้ว่า ฉันจะขู่เจน ถ้าเจนยังไม่หยุดส่งมารัวๆแบบนี้ ฉันจะบล็อคไอดีแล้วเลิกคุยด้วยตลอดไป

    แต่เมื่อหงายมือถือขึ้นมา ข้อความที่ขึ้นอยู่หน้าจอ มันทำให้ฉันหายโมโห แต่เกิดเป็นความกลัวขึ้นแทน

    “พี่วิวไปไหนคะ

    ทำไมพี่วิวไม่ตอบหนู

    พี่เป็นอะไรรึเปล่า

    เพื่อนพี่ทำร้ายพี่หรอคะ

    ตกลงยังอยากให้เพื่อนตายอยู่ไหม

    หนูจะจัดการให้พี่เอง

    ไม่ตอบหรอคะ

    งั้นหนูไปจัดการเพื่อนพี่แล้วนะ

    .

    .

    .

    พี่วิว เพื่อนพี่ไม่อยู่ที่ห้อง

    เค้าไปหาพี่หรอ

    เค้าทำร้ายพี่ไหม

    งั้นหนูขึ้นไปหาพี่นะคะ

    .

    .

    .

    พี่วิว ทำไมไม่ตอบหนู

    พี่วิว

    พี่วิว

    พี่วิว”


    อ่านถึงตรงนี้ ฉันรีบมองหาทางหนีทีไล่ทันที เจนต้องไม่ใช่คนปกติแน่ๆ ขืนให้เข้ามา คนที่ตกอยู่ในอันตรายน่าจะเป็นฉัน

    ฉันรีบปิดไฟทุกดวงในห้อง แล้วเข้าไปหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า

    “พี่ไม่ได้อยู่ห้อง เจนจะไปทำไม” ฉันพิมพ์บอกเจนไปด้วยมืออันสั่นเทา

    “หนูเห็นว่าไฟห้องพี่เปิด แล้วมันเพิ่งจะดับไปเมื่อกี้”

    “พี่ไม่ได้อยู่ห้องจริงๆ ไปผิดห้องแล้วรึเปล่า”

    “นี่ประตูห้องพี่ใช่ไหมคะ

    ...ส่งรูปภาพ...”

    ภาพที่เจนส่งมา เป็นรูปหน้าห้องของฉันไม่ผิดแน่ แต่นี่เป็นหอใน แล้วเจนเข้ามาได้ยังไง

    “หนูเข้ามาแล้วนะ

    ....ส่งรูปภาพ....”


    เดี๋ยว นั่นมันรูปในห้องฉัน แต่ฉันล็อคห้องเอาไว้


    “นี่เตียงของพี่ใช่ไหมคะ

    ...ส่งรูปภาพ...”


    ไม่ใช่แล้ว นี่มันไม่ใช่แค่เจนไม่ใช่คนปกติ แต่เจนอาจจะไม่ใช่คนด้วยซ้ำ ฉันไม่ได้ยินเสียงเดินเลยสักนิด ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเปิดประตู


    “พี่อยู่ตรงนี้หรอคะ

    ...ส่งรูปภาพ...”


    ฉันตกใจจนทำมือถือหลุดมือ เมื่อภาพสุดท้ายที่เจนส่งมา มันเป็นภาพของตู้เสื้อผ้าที่ฉันแอบอยู่

    แต่เมื่อฉันมองลอดช่องว่างของประตูออกไป

    มันกลับไม่มีคนยืนอยู่ข้างนอกนั่น

    ฉันกลัวจนตัวสั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นี่มันอะไรกัน ที่ผ่านมาฉันคุยอยู่กับอะไร ฉันกอดตัวเองแน่น ไม่กล้าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

    แต่แล้วอยู่ๆ อากาศที่ร้อนอบอ้าวในตู้เสื้อผ้านี่ มันก็เย็นเฉียบขึ้นมาซะอย่างนั้น เย็นจนขนฉันลุกไปทั้งตัว

    “พี่วิว”

    “......”

    “สวัสดีค่ะ”

    “กรี๊ดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!”

    .

    .

    .

    .

    .

    ฉันตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายของอีกวันที่โรงพยาบาล ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ฉันพยายามจะนึกถึงเรื่องเมื่อคืน แต่พอนึกออก ขนของฉันก็ลุกซู่ขึ้นมา

    พอมือถือหลุดมือหลังจากเห็นรูปสุดท้ายนั่น ฉันก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อฉันดังมาจากข้าง ๆ

    แล้วพอฉันหันไปมองตามสัญชาตญาณ ฉันก็เห็นร่างของเด็กผู้หญิง ในชุดม.ปลายคนหนึ่ง หน้าตาบูดเบี้ยวเละเทะ จนจำไม่ได้ ว่าเป็นคนเดียวกับที่เห็นในรูปดิสแชทรึเปล่า เธอยกมือที่หงิกงอจนเห็นกระดูกโผล่มาบางนิ้วขึ้นมาพนมมือไหว้ฉัน

    เพียงแค่นั้น ฉันก็กรี๊ดสุดเสียง แล้วภาพทุกอย่างก็มืดไป

    เพื่อนๆไปตามหาฉันในตอนเช้า เพราะเห็นว่าฉันไม่ไปเรียน แล้วก็เจอว่าฉันนอนตัวสั่น ปากซีดอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า เรียกก็ไม่ได้สติ เอาแต่พูดกว่ากลัวแล้วๆ พวกนั้นเลยพาฉันมาส่งที่โรงพยาบาล

    วันรุ่งขึ้น หลังจากออกจากโรงพยาบาล ฉันทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะตามหาตัวคนที่ขายโทรศัพท์เครื่องนั้นให้ฉัน

    พอเจอเขา ฉันก็พยายามถามถึงน้องเจ้าของเครื่อง โดยอ้างว่ามีความผิดพลาดบางอย่าง ที่ฉันต้องให้น้องบอกรหัสเข้าเครื่อง แต่ถามเท่าไหร่ เขาก็ไม่ยอมบอกว่าเจ้าของเครื่องคนเดิมอยู่ไหน

    ฉันเลยตัดสินใจเล่าสิ่งที่ฉันเจอให้พวกเขาฟัง หลังจากได้ฟัง แม่ของน้องเจนก็ทรุดลงร้องไห้ แล้วยอมรับว่าทะเลาะกับลูกสาวรุนแรงมาก เรื่องที่เธอไปแอบซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้มา

    แรงมากซะจนลูกของเขาโดดระเบียงคอนโดลงมาตาย หลังจากจัดการงานศพลูกเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทนมองโทรศัพท์เครื่องนี้อีกไม่ได้ เพราะมันเหมือนเป็นตราบาป ว่าเป็นเพราะซื้อมันมา ลูกของเขาถึงต้องตาย

    ฉันถามเขาถึงวัดที่ไว้อัฐิของน้องเจน ฉันเดินทางไปที่นั่น เพื่อคืนมือถือเครื่องนี้ให้กับน้อง จุดธูปขอขมา ที่ไปซื้อมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าน้องแลกมันมาด้วยชีวิต แล้วก็เรื่องที่พูดถึงเพื่อนตอนนั้นด้วยความโกรธ ให้ถือว่าเป็นอันเลิกแล้วต่อกันไป

    สู่สุขคตินะ น้องเจน

แบ่งปันหน้านี้