ซื้อตุ๊กตาตัวหนึ่งมาจากอินเตอร์เน็ต [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 19 มิถุนายน 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อฉันซื้อตุ๊กตาตัวหนึ่งมาจากอินเตอร์เน็ต

    มันคือตุ๊กตาหมีธรรมดานี่แหละค่ะ แต่สิ่งที่ทำให้มันไม่ธรรมดา ก็คือชื่อของเจ้าของมันที่มากับใบเกิดของหมีตัวนั้น คนที่สร้างมันขึ้นมา คือนักร้องที่ฉันชื่นชอบ

    มันเคยถูกเปิดประมูลเมื่อ 10 ปีก่อน และจบลงด้วยราคาที่ฉันไม่สามารถเอื้อมถึง แต่เมื่อเห็นมันถูกโพสขายในเว็บของมือ 2 ฉันจึงไม่รีรอที่จะรับมันมาดูแลต่อ

    1 อาทิตย์ต่อจากนั้น ตุ๊กตาก็มาถึงมือฉันอย่างปลอดภัย เมื่อฉันแกะออกมา ก็พบว่ามันถูกบรรจุอยู่ในกล่องพลาสติกใสอย่างดี ตามรอยต่อของกล่องมีเทปใสปิดเอาไว้มิดชิด ราวกับเจ้าของเก่ากลัวว่าฝุ่นจะเข้า

    ฉันเก็บมันไว้ในตู้กระจกที่ห้องนอน แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ฉันมัวแต่ยุ่งกับงาน ห้องนอนฉันจึงเต็มไปด้วยข้าวของที่ยังไม่เข้าที่ ฉันก็เลยขนที่นอนไปนอนที่ห้องแม่ชั่วคราว

    หลายอาทิตย์ผ่านไป เป็นช่วงปิดเทอม พี่ชายที่อยู่ต่างจังหวัดก็พาหลานมาค้างที่บ้าน วันนั้นหลานเข้าไปเล่นในห้องฉัน แล้วเจอกับเจ้าตุ๊กตาเข้า

    “อา หนูอยากเล่น” หลานบอกแล้วชี้ไปที่ตุ๊กตาหมีที่อยู่ในตู้

    “ไปหาพ่อแม่ไป ที่นี่มีแต่ฝุ่น” ฉันตัดบทแล้วดันหลานให้ออกมาจากห้อง ฉันไม่ค่อยอยากให้หลานแตะต้องมัน เพราะมันเก่าแล้ว ถ้าเอาออกมาเล่นมันอาจจะพังได้

    “หนูอยากเล่นตุ๊กตา”

    “ไม่เอา” ฉันพูดเสียงแข็ง

    “ฮึก ฮืออออ หนูจะเอา ฮือออ”

    ฉันถอนหายใจอย่างรำคาญ เพราะว่าฉันต้องพึ่งพี่ชายในหลายๆเรื่อง ฉันเลยไม่อยากจะทำตัวมีปัญหากับเขาเท่าไหร่

    “เออๆๆ หยุดร้องแล้วจะหยิบให้”

    ฉันนั่งลงหน้าตู้แล้วบรรจงใช้คัตเตอร์กรีดเทปใส ก่อนจะอุ้มตุ๊กตาออกมาอย่างระมัดระวัง แต่ปรากฏว่า เสื้อหนังที่ตุ๊กตาใส่อยู่ มันลอกติดมือฉันออกมาเป็นแผ่น

    “หนูเปล่านะ” หลานรีบถอยหลังหนีแล้วพูด

    “เออรู้แล้ว ของมันเก่าแล้ว ช่างมันเหอะ” ฉันถอดเสื้อหนังออก แล้วยื่นตุ๊กตาให้หลาน “เล่นเสร็จแล้วบอกละกัน แล้วคราวหลังถ้าจะเล่นอีกต้องมาขอนะ”

    หลังจากวันนั้น ตุ๊กตาหมีถูกก็ย้ายออกจากกล่อง มาใส่ถุง แล้ววางไว้บนตู้ชั้นบนสุดในห้องนอนของฉัน เพื่อเก็บให้พ้นมือหลาน หลานไม่ได้มาขอเล่นมันอีก ฉันเองก็งานยุ่ง ทำงานเสร็จก็ไปนอนที่ห้องแม่ ไม่เคยแวะเข้าไปดูที่ห้องตัวเองอีกเลย

    จนกระทั่งวันเสาร์

    ฉันนั่งนับเงินเก็บ และคิดว่ามันมากพอแล้วที่จะใช้รีโนเวสห้องนอนใหม่ สิ่งแรกที่จะทำก็คือทาสี ดังนั้นฉันจำเป็นต้องเก็บของทุกอย่างลงกล่อง

    และเมื่อเปิดเข้าไปในห้องนอน ฉันก็พบว่าถุงของตุ๊กตาหมีถูกฉีกกระจัดกระจาย ตุ๊กตาถูกย้ายจากบนตู้มาวางอยู่ที่พื้น

    ฉันถอนหายใจก่อนจะหาถุงใบใหม่มาใส่มัน คนบ้านนี้จะเล่นอะไรไม่เคยคิดจะขออนุญาตกันอยู่แล้ว ฉันทำได้แค่อดทนเอาไว้ รอห้องตกแต่งเสร็จแล้วค่อยล็อคห้องเอา

    2 วันถัดจากนั้นห้องก็ทาสีใหม่เสร็จ ฉันจัดการย้ายทุกสิ่งทุกอย่างกลับเข้าไป รวมถึงเอาตุ๊กหมีไปซักแล้วเก็บใส่กล่องไว้อย่างเดิม ช่วงนี้กลิ่นสียังไม่ระเหย ฉันเลยต้องอาศัยนอนที่ห้องแม่ต่อไปอีก

    วันหยุดในอาทิตย์ถัดมา ฉันก็เข้าไปทำความสะอาดพื้น เพื่อรอที่จะย้ายเตียงเข้ามา ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นว่าตุ๊กตาถูกแกะออกมาจากกล่อง แล้วห้อยอยู่ที่เหล็กดัดหน้าต่าง สภาพของมันมอมแมม กางเกงที่ใส่อยู่ก็เลอะเทอะจนดูไม่ได้

    “ปามอยู่ไหน! ทำอะไรกับตุ๊กตาอา!” ฉันตะโกนหาหลานด้วยความโมโห

    พี่ชายกับพี่สะใภ้วิ่งขึ้นมาดูด้วยสีหน้าแตกตื่น ฉันไม่ได้อยากคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ แต่ของชิ้นนั้นมันมีคุณค่าทางจิตใจมาก มีสิทธิ์อะไรมาทำมันพัง

    “อะไร มีอะไร” พี่ชายถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

    “ปามอยู่ไหน ดูมันทำตุ๊กตาหนูดิ” ฉันพูดทั้งน้ำตาแล้วชี้ให้พี่ดู “เคยบอกแล้วว่าจะเล่นให้บอกอ่ะ แล้วทำไมทำแบบนี้ ปามออกมา!”

    “เป็นบ้าอะไร หลานไม่ได้ทำ” พี่ชายรีบออกตัวแทนลูก

    “ไม่ทำแล้วใครจะทำ! เด็กในบ้านก็มีอยู่คนเดียว ถ้ามันไม่ได้ทำแล้วตุ๊กตาจะไปอยู่บนนั้นได้ยังไง!”

    “พอเหอะว่ะ! จะอะไรนักหนากับตุ๊กตาตัวเดียว เดี๋ยวเอาลงมาให้” พี่ชายตะโกนใส่ฉันแล้วเดินไปกระชากตุ๊กตาลงมา การกระทำนั้นส่งผลให้ตุ๊กตาขาและหัวขาด

    ฉันยืนอึ้ง ไม่รู้จะโวยวายหรือร้องไห้ก่อนดี พี่ชายเองก็ดูตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้

    “เดี๋ยวพี่ซ่อมให้ มันขาดตามตะเข็บ ด้ายคงหลุด มันเย็บได้” พี่สะใภ้รีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์

    “ไม่ต้อง” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

    “เดี๋ยวเอามาคืนแล้วกัน” พี่ชายพูดแล้วถือมันออกไป

    “บอกว่าไม่ต้อง!” ฉันตะโกนแล้วเดินไปแย่งมันคืนมา

    “เป็นบ้าอะไรวะ!” พี่ชายตะคอกกลับ

    “อย่ามายุ่งกับของๆหนู!”

    คืนนั้นทั้งคืนฉันเอาแต่นั่งเย็บตุ๊กตา พยายามจะให้มันเหมือนเดิมให้มากที่สุด กว่าจะเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปตี 3 กว่า ฉันนอนกอดมันอยู่อย่างนั้นจนหลับไป

    เช้าวันรุ่งขึ้นฉันตื่นไปทำงานตามปกติ ก่อนไปก็เก็บตุ๊กตาลงกล่อง แล้วจัดการล็อคห้องไม่ให้ใครเข้า

    ตกเย็นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ตรงขึ้นห้องทันที ไม่พูดไม่จากับใคร ฉันเปิดทีวีดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยจนถึงเวลานอน ตุ๊กตาถูกเอาออกมาจากกล่องอีกครั้ง แล้ววางไว้ข้างหัวเตียง มันคงเป็นที่พึ่งทางจิตใจเพียงอย่างเดียวของฉัน

    ฉันนอนหลับไปเพราะความเพลีย ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาลูบที่ใบหน้า

    “ใคร” ฉันถามออกไปด้วยความรำคาญ

    “......”


    ไม่มีเสียงตอบ สัมผัสนั้นก็หายไปแล้ว ฉันเลยพลิกตัวแล้วนอนต่อ

    ในตอนที่ฉันกำลังเคลิ้มๆจะหลับไปอีกรอบ ฉันก็รู้สึกถึงแรงยุบที่เตียง เหมือนมีคนเดินวนไปมาอยู่แถวๆหัวนอน ไม่เพียงแค่ความรู้สึก แต่มันยังมีเสียงเสียดสีกันของผ้าปู ที่มักจะได้ยินตอนเราขยับตัวอีกด้วย

    มีบางอย่างอยู่บนเตียง

    ฉันเริ่มจินตนาการถึงกุมารทอง หรืออะไรทำนองนั้น ฉันไม่สามารถข่มตาให้หลับได้อีก แต่ก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นมามองว่ามันคืออะไร ได้แต่ใช้มือควานหาตุ๊กตาตัวนั้น เมื่อมือสัมผัสได้ถึงขนนิ่มๆของมัน ฉันก็ดึงมันเข้ามาในผ้าห่มแล้วกอดไว้

    ตุ๊กตาช่วยให้ฉันได้คลายความกลัวลงบ้าง เสียงและความรู้สึกทุกอย่างหายไปแล้ว ฉันกอดตุ๊กตาแน่นแล้วพยายามจะหลับอีกครั้ง

    หลับไปได้ไม่นาน ฉันก็ตื่นขึ้นเพราะมีบางอย่างกำลังขยับยุกยิกอยู่ตรงหน้าอก ตอนนั้นฉันคิดว่าคงมีแมลงเกาะมากับตุ๊กตา เลยเอามันออกจากผ้าห่มแล้วดันออกไปไกลๆ


    ตุบ!


    เสียงอะไรสักอย่างหล่นลงพื้น มันดังราวกับว่าของชิ้นนั้นมีน้ำหนักเยอะมาก หนักเกินกว่าจะเป็นแค่หมอน หรือหมอนข้าง แต่เพราะความง่วงฉันจึงไม่ได้สนใจอะไร

    หลังจากพยายามนอนต่อไปอีกสักพัก ฉันก็รู้สึกเย็นที่เท้า เย็นเหมือนมีลมเย็นๆมาปะทะ ฉันพยายามคิดในทางที่ดี ว่าฉันคงพลิกตัวไปมาจนผ้าห่มเปิด เท้าก็เลยโดนลมแอร์เข้า

    แต่ความคิดนั้นก็ต้องหยุดลง เมื่อมันไม่ได้หยุดอยู่แค่ปลายเท้า ความเย็นนั้นมันเย็นไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ จากปลายเท้า มาที่ข้อเท้า เย็นจนมาถึงหน้าแข้ง และเมื่อฉันลองขยับนิ้วเท้าดู ก็พบว่าผ้าห่มยังคงถูกห่มไปถึงสุดปลายเท้าอยู่เหมือนเดิม

    ผ้าห่มไม่ได้เลิกขึ้นมา

    แล้วความเย็นมาจากไหน

    ไอเย็นนั้นยังเย็นขึ้นมาเรื่อยๆ จากขา มาที่หัวเข่า ไล่มาถึงต้นขา และสิ้นสุดลงที่หน้าท้อง

    ตอนนั้นฉันเริ่มคิดในแง่ดีไม่ออกแล้ว ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นเรื่องธรรมชาติแน่ๆ ฉันหลับตาแน่น พยายามสวดมนต์บทที่นึกออกเท่าที่จะทำได้

    “อา...”

    เสียงหลาน?

    “ปามหรอ” ฉันถามออกไปเสียงเบา

    “อา หนูอยากเล่นตุ๊กตา”

    ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอนที่ฉันกับพี่ทะเลาะกัน หลานคงเข้ามาแอบอยู่ใต้โต๊ะทำงานของฉัน เพื่อรอง้อฉันล่ะสิ

    ฉันเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง ตอนนั้นเองที่มองเห็นว่าผ้าที่ห่มอยู่มันนูนขึ้นมา สัมผัสเย็นๆที่รู้สึก คงเป็นเพราะหลานแอบมุดเข้ามาในผ้านี่เอง

    “ปามเล่นดีๆอาก็ให้เล่น แต่ปามทำของอาพัง” ฉันดุอย่างไม่จริงจังนัก เห็นแบบนี้ก็สงสารจนด่าไม่ลง

    “หนูขอโทษ”

    “ไม่เป็นไร แต่คราวหลังก็เล่นดีๆแล้วกัน ออกมานอนด้วยกันดีๆ พรุ่งนี้ค่อยเล่น”

    ฉันจับผ้าห่มแล้วค่อยๆเปิดขึ้น เพื่อจะพาหลานออกมา หลานอยู่ตรงนั้นจริงๆ คร่อมอยู่ตรงช่วงเอวฉัน แต่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยขึ้น

    “ปามอย่าทำแบบนี้ มันน่ากลัว ขึ้นมานอนด้วยกันดีๆ”

    ปามค่อยๆเงยหน้าขึ้น ผมของปามยังคงปิดหน้าปิดตา ฉันเลยเอื้อมมือไปจับทัดหูให้

    ในตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง หน้าของปามไม่ได้เนียนเป็นผิวปกติ แต่กลับเต็มไปด้วยแผลเน่าเฟะ ตาข้างนึงบวมจนปิดสนิท ส่วนอีกข้างก็เป็นแผลลึกจนเห็นกะโหลก ผมที่ฉันจับทัดหูให้ ก็หลุดติดมือฉันมาทั้งกระจุก จนเผยให้เห็นสมองที่แหลกละเอียดข้างใน

    “อา หนูอยากเล่นตุ๊กตา” ปากที่บิดเบี้ยวขยับพูดกับฉัน

    “กรี๊ดดดดดดดด!!!!!!!”

    ฉันทั้งถีบทั้งสะบัดปามออกไป แล้ววิ่งออกมาจากห้องอย่างไม่คิดชีวิต ฉันทั้งตะโกน ทั้งทุบห้องพี่ชายอย่างบ้าคลั่ง

    ปังๆๆๆๆ!!!

    พี่ชายเปิดประตูออกมา ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

    “ผะ ผี หนะ หนูเจอผี“ ฉันพูดไปหอบไป

    “โลกนี้มีผีที่ไหน ฝันรึเปล่า” พี่ชายบอก

    “แต่หนูมั่นใจว่าหนูยังไม่ได้หลับ”

    “งานเยอะไม่ใช่หรอ ทำงานหนักจนหลับไปไม่รู้ตัวรึเปล่า คิดดูดีๆ”

    ฉันพยายามทำใจเย็นๆ นึกทบทวนเรื่องราวเมื่อกี้นี้ ใช่ ฉันง่วงมาก แต่เพราะสิ่งรบกวนหลายๆอย่างมันทำให้ฉันหลับไม่ลง ฉันเลยหยิบตุ๊กตามากอด พอได้กอดมันก็สบายใจขึ้น

    หรือว่าตอนนั้นฉันเผลอหลับไป

    “ตกลงยังไง ฝันมั้ย” พี่ชายถามอีก

    “อือ น่าจะใช่” ฉันตอบไปด้วยความไม่แน่ใจ แต่ในใจก็คิดว่าคงฝันนั่นแหละ “แต่ผีที่หนูเห็น มันหน้าเหมือนหลานมากเลยนะ หลานอยู่ไหน หลานไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย”

    “เพ้อเจ้อ กลับไปนอน” พี่ชายออกปากไล่ฉันแล้วทำท่าจะปิดประตู

    “เดี๋ยว หลานอยู่ไหน” ฉันเอามือดันประตูไว้ไม่ให้ปิด “หนูเป็นห่วงหลาน หนูกลัวว่าฝันอาจจะเป็นลางอะไรรึเปล่า”

    “โธ่โว้ย!! กลับไปนอน!” พี่ชายตะโกนอย่างหัวเสีย

    “ตัวเองอย่า” พี่สะใภ้รีบเข้ามาห้าม เมื่อพี่ชายทำท่าจะเข้ามาทำร้ายฉัน

    พี่ชายสะบัดพี่สะใภ้ออก แล้วเดินตรงไปที่ประตูห้องแม่

    “แม่! แม่ตื่น!”

    ฉันยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็แค่ให้ฉันเจอหลาน ได้เห็นว่าหลานยังสบายดี ทำไมจะต้องโมโหแล้วไปปลุกแม่ด้วย

    “บอกแม่กี่ทีแล้วว่าให้พามันไปหาหมอ มันเป็นบ้าไปแล้วเนี่ย มาถามหาหลานอยู่ได้ รำคาญ!” พี่ชายตะโกนใส่แม่ด้วยความโกรธทันทีที่แม่เปิดประตูออกมา

    แม่หันมามองฉันแล้วเริ่มน้ำตาคลอ “มีอะไรลูก” แม่จับมือฉันแล้วถามเสียงสั่น

    “หนูโดนผีหลอกอ่ะแม่ หนูไม่แน่ใจว่าฝันมั้ย แต่ผีที่เห็นมันเหมือนปามมากเลย หนูกลัว แต่หนูก็ห่วงหลานด้วย ถ้าผีมันหน้าเหมือนหลาน หนูกลัวว่าอาจจะเป็นลางอะไรรึเปล่า หนูกลัวหลานเป็นอะไร”

    “หลานไม่เป็นไรหรอกลูก มานอนกับแม่มา จะได้ไม่กลัว”

    “จะบ้ากันไปถึงไหนวะ” พี่ตะโกนขึ้นมาอีก ฉันหันไปมองพี่ด้วยความไม่เข้าใจ เรื่องแค่นี้จะโมโหอะไรนักหนา “แม่หยุดบอกมันแบบนี้สักทีเหอะ ต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องไปอีกนานแค่ไหน นี่ลูกผมนะ แม่จะให้คอยโกหกมันไปถึงเมื่อไหร่!”

    “ตัวเอง พอสักที!”

    “พอบ้าอะไร! ทำไมเราต้องมาทำเหมือนลูกยังอยู่เพื่อมันด้วย เราต้องมาคอยฟังมันถามหาลูกอีกกี่ครั้งเวลามาค้างที่นี่ ทำใจกันสักทีเหอะ เลิกหลอกตัวเองกันสักที!” พี่ชายตะโกนเหมือนคนบ้า ก่อนจะหันมาหาฉันแล้วจับไหล่ฉันเขย่าไปมา “หลานตายไปแล้ว! ยอมรับสักที! กูจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ปามโดนรถชนตายไปตั้งนานแล้ว! ปามตายแล้วได้ยินมั้ย!!”

    “ไม่จริง! วันก่อนปามยังมาเล่นตุ๊กตาหนูอยู่เลย! ที่มันถูกแขวนไว้ที่หน้าต่างไง พี่ก็เห็น”

    “ไม่มีใครยุ่งกับตุ๊กตามึงทั้งนั้น หยุดบ้าได้แล้ว!”

    “หลานยังไม่ตาย! ปามยังไม่ตายยยยย!!”

    .

    .

    .

    ฉันตื่นมาในตอนหัวค่ำของอีกวัน เมื่อคืนที่บ้านทะเลาะกันรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันไม่เข้าใจว่าพี่ชายเป็นอะไร แต่คิดว่าคงเพราะเขามีเรื่องเครียด ถึงได้ทำให้สติแตกแบบนั้น

    แต่ถึงยังไง ฉันว่าเขาก็ไม่ควรจะแช่งลูกตัวเอง ปามจะตายได้ยังไง ในเมื่อเมื่อคืนตอนฉันกลับเข้าห้องมา ปามก็นอนรอฉันอยู่บนเตียง

    ปามขอโทษที่เมื่อคืนเข้ามาหาโดยที่ไม่ได้เคาะประตู เลยทำให้ฉันกลัว แต่ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหลานหรอก ปามบอกว่าพ่อแม่ไม่สนใจปาม ทำเป็นมองไม่เห็นปาม

    ตอนที่ฉันนั่งพิมพ์อยู่นี่ ปามก็นั่งยองๆมองฉันอยู่บนชั้นวางของเหนือหัว แผลของปามส่งกลิ่นเหม็นนิดหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันค่อยไปหาซื้อยามาทำแผลให้ ถ้าพี่ชายกับพี่สะใภ้จะไม่สนใจลูกตัวเองขนาดนี้ ฉันเลี้ยงหลานเองก็ได้

แบ่งปันหน้านี้