ไปเที่ยวต่างประเทศ [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 8 พฤษภาคม 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมและแฟน เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมานี่เองครับ เรา 2 คนมีแพลนจะไปเที่ยวที่ประเทศหนึ่งด้วยกัน ทำงานมาเหนื่อยๆทั้งปี เที่ยวทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้มจริงไหมครับ

    ผมกับแฟนใช้เวลาอยู่เป็นอาทิตย์ เพื่อที่จะเลือกที่พัก ที่ยังไม่ค่อยมีคนไทยรู้จัก ราคาไม่เกี่ยง ขอแค่ห้องพัก กับบรรยากาศโดยรอบถูกใจเราก็พอ

    ในที่สุดพวกเราก็ได้โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง แถวๆชานเมือง ราคา 7,600 บาทไทยต่อคืน ถ้าถามว่าแพงไหม สำหรับผมมันก็เอาเรื่องอยู่นะ แต่เราถูกมันดึงดูด ด้วยการตกแต่งภายในที่ไม่เหมือนที่ไหนที่เราเคยเห็น ไปต่างประเทศทั้งที ผมก็อยากไปดูอะไรแปลกใหม่แบบนี้แหละครับ

    ในที่สุดวันที่เรารอคอยก็มาถึง เมื่อลงเครื่อง เราก็โบกแท็กซี่ให้ไปส่งที่โรงแรมดังกล่าว โดยรอบโรงแรมเป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบ โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ บรรยากาศดีซะจนผมคิดว่า วันแรกของการเที่ยวของเรา คงจะวนเวียนอยู่แถวหมู่บ้านรอบโรงแรมนี่แหละ

    ด้านหน้าโรงแรมทำจากไม้ ดูค่อนข้างเก่า แต่เมื่อเปิดเข้าไปภายใน มันกลับถูกตกแต่งด้วยโคมไฟ และโต๊ะรับรองแขกที่ดูสมัยใหม่ ไม่ต่างจากโรงแรมหรูๆที่ผมเคยไป แขกที่มาพักก็เยอะพอสมควร มีทั้งคนท้องถิ่นและต่างชาติ

    เมื่อไปถึงผมก็แจ้งพนักงานว่า เราได้ทำการจองห้องพักผ่านทางเว็บแล้ว พนักงานหันไปค้นข้อมูลอยู่พักนึง ก็หันมายิ้มให้เราแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงท้องถิ่น ที่เราพอจะแปลได้ว่า

    ‘ขอให้สนุกกับการพักผ่อนนะครับ’

    เราได้พักบนห้องชั้น 5 ครับ โรงแรมนี้มีทั้งหมด 7 ชั้น ชั้นที่ผมพักมีห้องทั้งหมด 14 ห้อง ดูไม่ค่อยเยอะใช่ไหมล่ะครับ มันคงไม่เยอะสำหรับโรงแรม 5 ดาวขนาดใหญ่ แต่ที่นี่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรขนาดนั้น ผมจึงค่อนข้างแปลกใจกับจำนวนห้องของที่นี่

    เมื่อไขเข้าห้องไป ทุกอย่างที่นี่ทำจากไม้ ขัดจนเงาสวยงามน่าอยู่ รูปที่แขวนอยู่ตามผนังก็เป็นวิว เป็นรูปคนทั่วไป แต่ออกแนวโบราณๆหน่อย ข้างประตูห้อง มีประตูห้องน้ำ ข้างในเป็นห้องน้ำเล็กๆ สำหรับปลดทุกข์ และอาบน้ำแบบพอดีแค่คนเดียว

    ตรงข้ามห้องน้ำมีประตูตู้เสื้อผ้า บานประตูสลักลายวิจิตรสวยงาม เดินพ้นตู้เสื้อผ้าไปก็จะเป็นห้องโล่งๆ ที่มีเตียงเป็นเตียงไม้ขนาดคิงส์ไซส์วางอยู่ เตียงมีเสา 4 เสา เหมือนในหนัง ถูกใจผมและแฟนมากทีเดียว

    โดยรวมแล้วมันดูคับแคบไปสักหน่อย เมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไป แต่เมื่อเปิดม่านออกไป พวกเราก็ลืมเรื่องเงินไปจนหมดสิ้น ภาพของป่าไม้ที่ไม่รกไม่บางไป มีลำธารเล็กๆไหลผ่าน แค่มองก็รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

    วันนั้นทั้งวัน ผมกับแฟนใช้เวลาเดินดูนั่นดูนี่อยู่ในโรงแรม ไม่ได้ออกไปไหนเลย ทั้งสวนหย่อม ทั้งสระว่ายน้ำกลางแจ้ง เป็นอะไรที่น่าสนุกกว่าไปเที่ยวในเมืองเป็นไหนๆ

    จนกระทั่งหัวค่ำ หลังจากทานอาหารเย็นกันเรียบร้อย ผมกับแฟนก็ขึ้นมาบนห้อง คิดเอาไว้ว่าจะนอนแต่หัวค่ำ เพื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าโรงแรมด้วยกัน

    “ตัวเอง” หลังจากปิดไฟนอนไปได้ไม่นาน ผมก็ถูกแฟนสะกิดยิกๆให้ตื่นขึ้นมา “ได้กลิ่นอะไรมั้ย”

    ผมพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ “ไม่นะ”

    “แต่เค้าได้กลิ่นอ่ะ เหมือนอะไรไหม้ๆ”

    ผมพยายามสูดดมดูอีกที ครั้งแรกก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม แต่พอสูดหายใจเข้าครั้งที่ 2 กลิ่นนั้นก็ปะทะเข้าจมูกผมแรงมาก แรงจนผงะ “อะไรวะเนี่ย”

    ผมลุกพรวดจากที่นอน แล้วเปิดไฟข้างหัวเตียงทันที กวาดสายตามองไปรอบห้อง แต่ก็ไม่เห็นอะไร ที่เหมือนจะเป็นจุดกำเนิดของกลิ่นนั่นเลยสักอย่าง

    “ตัวเอง มันฉุนขึ้นอ่ะ ไฟไหม้รึเปล่า”

    “ไม่ใช่หรอก” ผมตอบแล้วมองทั่วห้องอีกที “มันเป็นกลิ่นดินปืน ไม่ใช่กลิ่นไฟไหม้ บางทีชาวบ้านแถวนี้เขาอาจจะทำเป็นอาชีพรึเปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมบอกแฟนไปแบบนั้น แล้วปิดไฟนอนต่อ

    เวลาผ่านไปได้ไม่นาน ผมก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง เพราะเสียงเดินที่ดังสนั่นอยู่หน้าห้อง ดังราวกับมีคนเป็นร้อยคนเดินอยู่ข้างนอกนั่น ผมควานหามือถือขึ้นมาดู ก็พบว่ามันเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว

    “แม่งเอ้ย ไม่รู้จักเกรงใจคนอื่นบ้างวะ นี่โรงแรมนะ ไม่ใช่บ้าน”

    “ตัวเอง ช่างเขาเถอะ” แฟนผมรีบลุกขึ้นมารั้งผมไว้ เมื่อผมตั้งท่าจะลุกออกจากเตียงไปดู

    เดินน่ะผมไม่ว่า แต่ทำไมต้องลงส้นตึงตังขนาดนั้นด้วย ไม่มีมารยาท ผมข่มอาการโมโหไว้แล้วล้มตัวลงนอนต่อ เสียงนั้นดังอยู่อีกสักพัก แล้วก็เงียบหายไป

    หวังว่าคราวนี้จะนอนได้สักที

    แต่หลับไปได้อีกสักพัก เสียงเดินนั่นก็มาอีกแล้ว แต่คราวนี้เหมือนมันไม่ได้อยู่แค่หน้าห้อง แต่มาเดินอยู่รอบเตียงของเรา นาทีนั้นใจผมเริ่มเต้นผิดจังหวะ แบบนี้มันไม่ปกติแน่ๆ เจ้าของเสียงนี้มันต้องไม่ใช่คนแน่ๆ

    เสียงรองเท้าหนักๆ กระทบกับพื้นไม้ เป็นจังหวะ คล้ายๆกับเสียงทหาร ตอนเดินสวนสนามไม่มีผิด

    หลับตาอยู่แบบนี้ ในหัวของผมก็จินตนาการภาพไปมากมาย แต่ยังไงซะ ผมก็คิดว่ามันดีกว่าการที่ผมลืมตาขึ้น แล้วเห็นอะไรที่ไม่อยากจะเห็น มาอยู่ร่วมห้องในตอนนี้

    ผมจึงทำได้แค่สวดมนต์ในใจ แล้วพยายามกลั้นใจ ข่มตาให้หลับ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก

    แต่เหมือนพระเจ้าจะไม่เป็นใจ ให้ผมผ่านค่ำคืนนี้ไปง่ายๆ เมื่อแฟนของผมดันตื่นขึ้นมา

    “ตัวเอง”

    ผมควานหาตัวแฟนทั้งๆที่ยังหลับตา แล้วดึงมากอดไว้แน่น ตัวของเธอสั่น เธอคงจะรู้แล้วว่าเราไม่ได้อยู่กันเพียงลำพัง “อย่าพูด” ผมกระซิบ

    ผมรู้สึกได้ว่าแฟนพยักหน้ารับ แล้วเรา 2 คนก็นอนกอดกันอยู่อย่างนั้น ปากก็พึมพำบทสวดมนต์ที่พอจะนึกได้

    จนกระทั่งเสียงเงียบไป

    แฟนผมถอนหายใจ ผมเลื่อนมือลงไปกุมมือเธอแน่น “ไปจากที่นี่กัน” เธอรีบพยักหน้าแล้วบีบมือผมจนเจ็บ “จะเก็บของมั้ย” ผมถาม

    “มันไปรึยัง”

    ผมส่ายหน้า เพราะไม่รู้ว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับอะไร ผีเจ้าถิ่นที่กำลังโกรธ หรือแค่วิญญาณเร่ร่อน ที่แวะมาแหย่นักท่องเที่ยวเล่นๆ

    “งั้นแค่ของสำคัญก็พอ ที่เหลือตอนเช้าค่อยว่ากัน” ผมจับมือแฟนแน่น แล้วใช้มือควานไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง “นับหนึ่งถึงสามนะ

    .

    หนึ่ง

    .

    .

    สอง

    .

    .

    สาม!”


    ทันทีที่พวกเราลืมตาหลังจากผมนับถึง 3 เราก็เจอกับผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ ใส่ชุดทหารอเมริกัน ยืนถือปืนลูกซองอยู่ปลายเตียง เล็งลำกล้องมาที่พวกเรา

    และสิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจ ว่านี่ไม่ใช่การแสดงต้อนรับจากทางโรงแรมแน่นอน ก็เพราะช่วงช่องท้องของทหารคนนั้น มันมีตับ ไต ไส้ไหลทะลักทะลุเสื้อออกมา ทั้งกลิ่นคาวเลือด และดินปืน เหม็นคละคลุ้งไปทั่วห้อง

    “กรี๊ดดดดด!!!!” แฟนผมกรี๊ดลั่นจนผมได้สติ

    นาทีนั้นผมไม่สนแล้วว่าของอะไรสำคัญบ้าง ผมกระชากมือแฟนลงจากเตียง แล้ววิ่งตรงไปที่ประตูทันที

    ระหว่างที่วิ่งอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ตอนนั้นเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ว่าจะเลือกหนีทางบันไดหนีไฟ หรือว่าลิฟท์

    ผมเลือกบันไดหนีไฟ เพราะอย่างน้อยเราก็ยังได้วิ่ง ต่อให้ไปเจออะไร เราก็ยังพอมีทางให้หนีบ้างจะให้ไปอยู่ในลิฟท์แคบๆ รอลุ้นว่าอะไรจะโผล่มาอีกตรงไหน ผมไม่เอาด้วยหรอก

    ทันทีที่เราวิ่งลงมาถึงล็อบบี้ ผมก็พบกับพนักงานต้อนรับคนเดิม และแขกอีกจำนวนไม่น้อย มองมาที่พวกเราด้วยท่าทางงุนงง ผมพยายามใช้ภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยจะแข็งแรง สื่อสารกับพนักงานคนนั้นว่าผมเจออะไรมาบ้าง

    พนักงานพยายามบอกให้เราใจเย็นๆ พวกเขาพากันมาช่วยดูแลเรา แขกบางคนก็มานั่งคุยนั่งปลอบ พนักงานขนกระเป๋าก็ขึ้นไปรวบรวมสัมภาระของเราลงมาให้ ผมเช็คเอ้าท์ออกจากที่นั่นทันที แล้วรีบให้เขาเรียกแท็กซี่มาให้

    วันรุ่งขึ้นเรากลับไทยทันที ไม่มีอารมณ์จะอยู่เที่ยวหรือทำอะไรต่อทั้งสิ้น พอกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่ผมทำ คือค้นหาชื่อโรงแรมนั่นเป็นภาษาอังกฤษ

    และเว็บแรกที่ขึ้นมา

    ก็ทำให้ผมขนลุกขนชันไปหมด

    โรงแรมที่ผมไปพัก มันคือโรงแรมที่ถูกดัดแปลงมาจากคุกทหารเก่าสมัยสงครามโลก มีคนถูกยิงตายที่นั่นไม่ต่ำกว่าหมื่นราย

    และที่มันขายได้ ก็เพราะว่ามันติดอันดับโรงแรมผีสิงที่น่ากลัวที่สุด พวกคนที่ไปเข้าพัก ก็ล้วนไปลองของด้วยกันทั้งสิ้น มีแต่ผมกับแฟน ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร เข้าไปจองแบบมึนๆ จนเกือบจะจับไข้หัวโกร๋นอยู่ที่นั่น หาทางกลับบ้านไม่ถูกซะแล้ว

แบ่งปันหน้านี้