โชคดีนะ เพื่อน [เรื่องเล่าผี]

หัวข้อกระทู้ ใน 'มุมอ่านเรื่องผี เรื่องเล่าผี นิยายผี เรื่องลึกลับ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 30 กรกฎาคม 2018.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    “โชคดีนะ....เพื่อน....”

    นั่นเป็นคำพูดสุดท้าย ที่ได้ยินจาก’ไอ้จิม’ อดีตเพื่อนสนิทของผม

    .
    .
    .

    ไอ้จิม คือเพื่อนสนิทที่อยู่แถวบ้านตั้งแต่ผมจำความได้ ทุกๆความทรงจำก็จะมีไอ้จิมอยู่ด้วยเสมอ เราเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอด ตั้งแต่อนุบาล ยันจบม.ปลาย ระดับความสนิทของผมกับมัน เปรียบได้เหมือนแสงกับเงา ที่ไหนมีผม ที่นั่นมีไอ้จิม

    แต่แล้วความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มแย่ลง เมื่อมีสาวสวยจากในเมือง ย้ายตามพ่อที่เป็นข้าราชการ มาเรียนห้องเดียวกับเรา ใช่ครับ เราสองคนชอบผู้หญิงคนเดียวกัน และเป็นผมที่ได้เธอไปครอง

    กลับมาที่ปัจจุบัน ผมมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพ(บ้านเกิดผมอยู่ที่ลำปาง) ผมถูกที่บ้านโทรตามเช้า สาย บ่าย เย็น บอกว่าให้กลับไปบ้านหน่อย พอถามว่ามีอะไร พ่อกับแม่ก็อ้ำอึ้ง จนสุดท้ายก็ยอมบอกว่า ไอ้จิมป่วย มันอยากเจอผมมาก พ่อกับแม่เลยอยากให้ผมไปหามันหน่อย ผมจึงรีบเคลียร์งาน เพื่อให้มีวันว่างก่อนสอบ แล้วรีบขับรถขึ้นเหนือไปหามัน

    “นั่นบอลใช่มั้ย บอลจริงๆด้วย ป้าขอบใจนะที่มา” แม่ไอ้จิมร้องเรียกผมด้วยน้ำเสียงดีใจ ทันทีที่ผมก้าวลงรถไปยืนที่หน้าบ้าน “จิมมันถามหาบอลมาหลายวันแล้ว อาการมันไม่ดีขึ้นเลย ตาเสริฐ(พ่อไอ้จิม)เค้าเลยไปบอกแม่บอล ให้ช่วยตามบอลมาหามันที”

    “จิมเป็นอะไรครับ” ผมถามด้วยน้ำเสียงกังวล แม่มันร้อนรนขนาดนี้ ไอ้จิมคงอาการหนักมากกว่าที่ผมคิด

    “หมอเค้าหาสาเหตุไม่เจอ แต่อาการมันคือกินไม่ค่อยได้ นอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว ของอะไรที่มีอยู่ในห้อง มันให้เอาออกหมดเลย เหลือแค่เสื่อกับหมอน” ป้าแจ่ม(แม่ไอ้จิม)อธิบายเสียงสั่น

    “ยายมันกังวลว่าอาจจะเป็นเรื่องผีสาง แกจะไปตามหมอผีหมู่บ้านข้างๆมา แต่มันว่ามันอยากเจอเอ็งก่อน” ลุงเสริฐช่วยเสริม

    “อาการมันแลจะหนัก ผมจะช่วยอะไรได้ครับเนี่ย”

    “พวกเราก็ไม่รู้ แต่เอ็งช่วยเข้าไปดูก่อนเถอะ เผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้น

    เมื่อไปถึงหน้าห้องนอน ประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม ที่เคยเต็มไปด้วยโปสเตอร์นักฟุตบอลในอดีต ตอนนี้กลับมีกระดาษสีแดงๆ ถูกเขียนด้วยอักขระภาษาต่างๆติดอยู่เต็มไปหมด

    “โห อะไรเนี่ยป้าแจ่ม” ผมอุทาน

    “ยันต์น่ะ เพื่อความสบายใจของยายไอ้จิมมัน เค้ากลัวมันโดนปอบเข้า มีทั้งหมอไทย หมอเขมร ซินแสเลยนะ แต่ไม่เห็นไอ้จิมมันจะดีขึ้นเลย”

    ก็แหงล่ะ นี่มันสมัยไหนแล้ว 2018 แล้วนะครับคุณป้า ใครจะมาป่วยเพราะถูกปอบเข้าล่ะ ผมคิดในใจ


    ก๊อกๆ ก๊อกๆๆ


    “จิมเอ้ย จิม บอลมาหาแล้วนะลูก”

    ผมสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากในห้อง สักพักก็มีเสียงตึงๆๆ เหมือนคนวิ่งมาที่ประตู ตามมาด้วยเสียงบางอย่าง ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นโซ่เส้นใหญ่ๆ

    สิ้นสุดเสียงพวกนั้น ประตูก็เปิดพรวดออกมาจนทั้งผมและป้าแจ่ม กระโดดถอยหลังกันแทบไม่ทัน

    “ไอ้บอล” เสียงแหบพร่าของไอ้จิมเรียกผม มันยืนหายใจหอบอยู่หลังประตู ใบหน้าซูบผอมเหมือนคนใกล้ตายของมัน ส่งยิ้มกว้างมาให้ แสดงออกว่าดีใจซะเหลือเกินที่ได้เจอผม “มึงมาแล้วหรอ”

    “จิม มึง-“

    “เข้ามาสิมึง เข้ามาก่อน”

    ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรมากกว่านั้น มันก็ดึงผมให้เข้าไปในห้อง แล้วไล่แม่มันลงไปข้างล่าง ก่อนจะหันไปล็อคกลอนประตูประมาณ 7-8 อัน แถมด้วยโซ่เส้นเท่าโซ่ล่ามช้าง พันรอบลูกบิด แล้วโยงไปคล้องกับเหล็กท่อนใหญ่ที่ตอกติดไว้กับผนัง

    ที่ก่อนหน้านี้มันหอบ คงเพราะรีบปลดล็อคของมากมายพวกนี้เพื่อเปิดประตูให้ผมสินะ

    “เห้ย มึงหลอกกูมาฆ่าหรอวะ” ผมเอ่ยทีเล่นทีจริง แต่ในน้ำเสียงขี้เล่นนั้น ยอมรับเลยว่ามีความกลัวแฝงอยู่มากกว่า ก็แม่งเล่นล็อคซะขนาดนั้น

    “มึง เป็นไงบ้าง”

    “ก็ดี” ผมรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าจากน้ำเสียงของมัน “มึงแดกน้ำก่อนมั้ย เสียงมึงฟังดูไม่โอเค”

    เหมือนมันเองก็คิดอย่างนั้น ไอ้จิมหันซ้ายหันขวา มองไปรอบห้อง ก่อนจะเดินรี่ไปที่หิ้งพระ แล้วหยิบน้ำในแก้วมาดื่มอักๆ

    “เห้ยมึง!” ผมอุทานอย่างตกใจ “นั่นของพระ”

    “ช่างแม่งปะไร” มันวางแก้วลงบนพื้น แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดปากที่เปียก “พระนี่แม่งไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ไรหรอก ถ้าเก่งจริง ป่านนี้กูคงไม่เป็นอย่างนี้”

    “ตกลงมึงเป็นอะไรวะ อย่างกับคนโดนของ”

    ไอ้จิมเดินไปที่มุมห้อง ทรุดตัวนั่งลงบนเสื่อสีส้มแปร๊ดเหมือนเสื่อที่ใช้ในวัด บนเสื่อมีเพียงหมอนใบเดียว ไม่มีผ้าห่มเหมือนที่แม่มันบอก

    “ใช่ กูโดนของ”

    “เฮ้ย จริงดิ” ผมอุทาน พ.ศ.นี้แล้ว มันยังมีเรื่องอะไรแบบนี้อยู่อีกหรอ

    “มึงนั่งดิ เรื่องแม่งยาว”

    ผมถอยหลังไปจนติดกำแพงแล้วนั่งลงข้างประตู เพราะเราไม่ได้เจอกันมานาน และท่าทีของมันก็แปลกๆ ผมเลยเลือกที่จะอยู่ห่างๆมันไว้ดีกว่า

    “กูเข้าปี 1 ที่มหาลัยแถวๆนี้แหละ แล้ววันรับน้อง กูก็โดด ทีนี้อีพวกพี่ว้ากแม่งมาตามกูถึงหอตอนตี 3 มันพากูไปที่ห้องมัน ตอนนั้นก็มีกู กับผู้หญิงอีก 2 คน”

    ไอ้จิมเล่าไป พลางหยิบหมอนมากอดแน่น มันโยกตัวไปมา ลูกตาลอกแลกเหมือนคนกำลังระแวงอะไร

    “ตอนแรกกูก็คิดว่าแม่งจะให้ทำอะไรทุเรศๆ แต่มันแค่เล่าเรื่องผีให้พวกกูฟัง มึงอยากฟังมั้ย” มันมองตรงมาที่ผม เหมือนต้องการคำตอบว่า’ได้’เพียงคำเดียวเท่านั้น

    “กูฟังได้ ถ้ามันช่วยให้มึงสบายใจ” ผมตอบ

    “เมื่อหลายปีก่อนที่หอพักนึง คืนไหนที่ฝนตกหนัก ทุกห้องในหอพักมักจะได้ยินเสียงโซ่ลากกับพื้น เวลามีคนมาอยู่ใหม่ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เอ่ยปากทัก ไฟที่ห้องก็จะดับ แล้วตามมาด้วยเสียงสะอื้นของผู้หญิง เสียงนั้น จะตามมาหลอกหลอนคนทัก ทุกคืน ทุกคืน จนเข้าสู่คืนที่ 3 จะมีเสียงเคาะห้อง 7 ครั้ง ถ้าลุกไปเปิด ก็จะไม่เห็นอะไร แต่ถ้าส่องดูที่ตาแมว จะเห็นผู้หญิงผมยาว ใส่ชุดนักศึกษาที่ชุ่มไปด้วยเลือด ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ที่อีกฝั่งของประตู”

    ผมลูบแขนขาตัวเอง เพราะรู้สึกขนลุกซู่กับน้ำเสียงของมัน

    “แล้วไงอีก” ผมถามเพราะมันเงียบไป

    ไอ้จิมกอดหมอนแน่นกว่าเดิม แถมยังโยกตัวแรงขึ้นก่อนจะเล่าต่อ “คืนต่อจากเสียงเคาะที่ประตู จะมีเสียงดังกุกกักออกมาจากตู้เสื้อผ้า เสียงนั้น จะดังขึ้นทุกคืน ดังจนกว่าจะมีคนไปเปิดดู...”

    มันเงียบไปอีก เล่นเอาผมเริ่มหงุดหงิด

    “เปิดดูแล้วไงต่อ มึงจะเล่าๆหยุดๆทำไม”

    “พอเปิดออกมา....ก็จะเจอ...” มันเงียบเป็นรอบที่ 3 จนผมเกือบจะอ้าปากด่า และในตอนนั้นเองที่มันหยิบหมอนไปวางที่ข้างตัว แล้วคลานพุ่งมาหาผมด้วยความเร็ว “เจอศพ!!”

    “ไอ้ห่าจิม!!” ผมด่าแล้วถีบโครมเข้าที่หน้ามัน “แม่ง กูก็เป็นห่วง เห็นเค้าว่ามึงจะเป็นจะตาย ต้องเจอกูให้ได้ถึงจะดีขึ้น กูก็ถ่อมาจากกรุงเทพ เพื่อให้มึงมาแกล้งกูเนี่ยนะ”

    “อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิวะ มึงไม่อยากรู้หรอ ว่ามันเป็นศพใคร”

    “ไม่อยากรู้แล้ว กูจะกลับบ้าน” ผมลุกขึ้นอย่างหัวเสีย “แล้วมึงจะล็อคประตูอะไรเยอะแยะแบบนี้เพื่อ?”

    “มึงฟังกูให้จบแล้วก็จะรู้เอง”

    “คนอย่างมึงเชื่อนิทานหลอกเด็กแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “เรื่องมันยังไม่จบ ถ้ามึงฟังจบ มึงก็จะเชื่อเหมือนกู” มันถอยกลับไปนั่งบนเสื่อ แล้วหยิบหมอนมากอดเหมือนเดิม “พอเปิดตู้ดู ก็จะเจอศพของผู้หญิง รูปร่างเหมือนคนที่มายืนหน้าประตูนั่นแหละ สภาพศพเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็น กะโหลกศีรษะแบะออกจากกันจนมองเห็นสมอง ตาเบิกค้างเต็มไปด้วยความเคียดแค้น มือเท้าถูกพันด้วยโซ่เส้นใหญ่”

    “เป็นอะไรตายวะ” ผมถามอย่างสงสัย

    “เธอถูกแฟนฆ่า เหมือนไอ้ผู้ชายมันเป็นโรคจิต เค้าเล่ากันมาว่าเธอถูกทรมานทุกคืน แต่ไม่มีใครกล้าช่วย เพราะพ่อผู้ชายมันมีอิทธิพล จนวันที่เธอตาย เธอหนีออกมาจากห้อง ไล่เคาะห้องทุกห้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครเปิด ไอ้ผู้ชายมันก็ตามมา เอาท่อนเหล็กตีหัวเธอจนสมองไหล แล้วซ่อนศพไว้ในตู้เสื้อผ้าของห้องนึงที่ว่างอยู่ตอนนั้น”

    “เชี่ย ขนลุกว่ะ แม่งโหดชิบหาย”

    “จบ”

    “ห๊ะ” ผมทำหน้าเหรอหรา “อะไรของมึง บทจะจบก็จบแม่งห้วนๆ กูยังไม่เห็นว่ามันเกี่ยวกับที่มึงโดนของยังไงเลย”

    “จบเรื่องประวัติ แต่ไม่จบเรื่องของเธอ” ตอนนั้นไอ้จิมที่นั่งโยกตัวมาตลอดก็หยุดนิ่ง มันจ้องหน้าผมเขม็ง “ไอ้พวกรุ่นพี่มันเล่าต่อว่า ถ้ามีใครได้ฟังเรื่องราวของเธอ เปิดประตูรับเธอตอนที่เธอเคาะ เธอจะเข้ามาอยู่ในตู้เสื้อผ้าของห้องนั้น แล้วถ้าเปิดตู้ไปเห็นศพเธอเมื่อไหร่ เธอจะตามหลอกหลอนคนๆนั้นไปจนกว่าจะตาย”

    “มึงก็เชื่อ แล้วก็เลยเป็นบ้าแบบนี้สินะ”

    “...ถ้าไม่อยากตาย ต้องเล่าเรื่องนี้ให้ใครสักคนฟัง แล้วหลังจากที่ฟังจบ ประตูห้องของมันจะดัง 7 ครั้งคืนนี้...”

    “พอเหอะว่ะ กูไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อน”

    “....ดัง ทุกคืน ทุกคืน จนกว่ามึงจะไปเปิด พอเปิดแล้ว ก็จะมีเสียงมาจากในตู้เสื้อผ้า...”

    “ไอ้เหี้ยจิม กูบอกให้พอไง!” ผมตะโกนด่ามันเพราะมันยังมองหน้าผมแล้วพร่ำเหมือนคนสติไม่ดี

    “....เสียงกุกกักเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน ถ้ามึงไม่ไปเปิด มึงก็จะรู้สึกเหมือนถูกมอง ดวงตาสีแดงเลือด จะจ้องมองออกมาจากในตู้ เมื่อมึงปิดไฟ มึงก็จะเห็นดวงตาของเธอสะท้อนออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น...”

    “ไอ้สั**!! พอสักที!!”

    ผมลุกขึ้นตรงเข้าไปถีบมันจนหงายท้อง ไอ้จิมนอนหัวเราะในลำคอ ผมตามเข้าไปจะกระทืบซ้ำเพราะความกวนส้นตีนของมัน แต่มันก็รับเท้าผมเอาไว้ได้ ใบหน้าที่เคยเศร้าหมองเหมือนคนใกล้ตาย ตอนนี้กลับยิ้มกว้างไม่หุบ

    “ก็มึงอยากรู้ไม่ใช่หรอ ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับกูโดนของยังไง กูก็เล่าอยู่นี่ไง ว่ากูโดนคำสาป ...ทุกคนที่ฟังเรื่องของเธอจะต้องตาย...ถ้ามึงคิดว่าดวงตาในตู้น่ากลัวแล้ว กูบอกเลยว่าถ้ามึงเปิดตู้เมื่อไหร่ มึงจะได้รู้จักคำว่า’น่ากลัว’ อย่างแท้จริง หึหึหึ”

    พูดจบไอ้จิมก็ลุกขึ้นไปปลดล็อคกลอนประตูทีละอัน ตามด้วยโซ่เส้นใหญ่ที่พันท่อนเล็กหนา มันค่อยๆคลายทุกอย่างออกแล้วเปิดประตู ผมไม่รอช้าที่จะรีบออกไปให้เร็วที่สุด

    “มึงแม่งบ้า รู้ตัวมั้ย” ผมด่ามันทิ้งท้าย

    “มึงรู้ไหมว่าทำไมกูถึงล็อคประตูขนาดนี้” มันยังไม่วายถามกวนตีนกลับมา “เพราะเธอวนเวียนอยู่ข้างนอกนั่น”

    “มึงหยุดเพ้อเจ้อแล้วไปศรีธัญญาเหอะว่ะ”

    “เธอมีชื่อด้วยนะ”

    “กูบอกให้มึงเงียบไง! ปิดประตูแล้วบ้าไปคนเดียวเหอะ กูจะไม่มาหามึงอีกแล้ว”

    “...เธอชื่อ....จีรวรรณ....”

    “ชื่ออะไรก็ช่างแม่งเหอะ!“

    “หึหึหึ...โชคดีนะ...เพื่อน...”

    ไอ้จิมยิ้มให้ผมก่อนจะค่อยๆปิดประตูลง ผมได้ยินเสียงหัวเราะของมัน แล้วก็คำพูดบางอย่างประมาณว่า ‘กูรอดแล้ว’
  2. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    คืนนั้นผมรีบขับรถกลับกรุงเทพ ด้วยความอึดอัด อยากกระทืบปากไอ้จิมใจจะขาด แต่ผมดันมีสอบ ผมสาบานกับตัวเองว่าสอบเสร็จเมื่อไหร่ ถ้าไอ้จิมยังไม่ป่วยตายไปซะก่อน ผมจะกลับไปถีบปากแม่งอย่างแน่นอน

    เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นไปสอบด้วยสภาพอิดโรย หนังสือที่อ่านเมื่อคืน ไม่ได้เข้าหัวเลยสักตัว เพราะแม่งดันมีคนมากวนตีนเคาะประตูอยู่ได้ แต่พอเปิดออกไปจะด่า ก็ไม่เห็นมีหมาสักตัวอยู่ข้างนอกนั่น

    3 วันหลังจากที่ผมสอบและเคลียร์ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมก็รีบบึ่งรถไปหาไอ้จิมที่ลำปาง เพื่อที่จะได้ด่ามันให้สมกับที่อัดอั้นมานาน แต่พอไปถึง ผมกลับได้รับข่าวร้าย


    .....ไอ้จิมตายแล้ว......


    มันตายเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ผมกลับออกไป ทางบ้านมันคิดว่ามันคงสบายใจแล้วที่เจอผม ถึงได้จากไปอย่างสงบในห้องนอน ผมจึงเลิกโกรธมันแล้วอยู่ช่วยงานศพจนจบ

    แต่ยายมันแอบมาคุยกับผม 2 คนหลังจากงานเผา แกว่าหลานแกถูกปอบกินจนตาย เพราะแกเป็นคนเห็นศพคนแรก ไอ้จิมตายในสภาพอ้าปากค้าง ตาเบิกโตจนถล่นออกมานอกเบ้า เหมือนมันขาดใจตายตอนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง แต่พอยายมันไปตามป้าแจ่มกับลุงเสริฐมาดู ศพไอ้จิมกลับกลายสภาพเป็นเหมือนคนนอนหลับไปเท่านั้น

    หลังจากกลับมาจากงานศพ ผมก็นอนไม่หลับอยู่หลายคืน ทั้งคิดเรื่องไอ้จิมก่อนหน้านั้น ตั้งแต่สมัยที่มันแย่งผมจีบสาว และเรื่องมันที่รอจะเจอผมก่อนตาย แต่ผมกลับเอาแต่ด่ามันเพราะโกรธที่มันแกล้งเล่าเรื่องบ้าบอให้ฟัง


    กึก...กึก...กึก...


    ผมเหลือบไปมองที่ตู้เสื้อผ้าข้างเตียง ที่ผมใช้เชือกพันประตูไว้อย่างแน่นหนา


    กึกกึก...กึกกึก


    ผมดึงผ้าห่มมาคลุมโปง นอนขดตัวเอาหมอนปิดหัวอยู่แบบนั้น พยายามข่มตาให้หลับ เพื่อที่จะผ่านพ้นมันไปให้ได้...อีกคืน...

    คืนนี้เป็นคืนที่ 5 แล้วที่ผมเห็นดวงตาของเธอ จ้องมองออกมาจากในตู้เสื้อผ้า คุณอย่าสงสัยเลยว่าผมไม่กลัวหรือ ถึงยังทนนอนอยู่ที่ห้องได้ ผมจะบอกอะไรให้ ผมลองแล้ว ลองไปนอนที่อื่นมาไม่รู้กี่ที่ แต่จีรวรรณ ก็ยังตามผมไปตลอด

    .
    .
    .
    .

    ทีนี้คุณรู้รึยัง ว่าทำไมย่อหน้าที่ 2 ของเรื่องนี้ ผมถึงยกให้ไอ้จิมเป็นแค่’อดีต’เพื่อนสนิท

    เพราะผมคิดว่าต่อให้ผมโกรธเกลียดเพื่อนมากแค่ไหน แต่การทำให้เพื่อนมาติดอยู่กับความหวาดกลัวและนอนรอความตายแบบนี้ มันไม่มีใครที่ไหนเค้าทำกัน

    ดังนั้น

    ผมถึงได้มาเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังแทน เล่าในบทความนี้ ผ่านบทสนทนาของผมกับไอ้จิมที่คุณอ่านจบไป ถ้าคุณได้ยินเสียงแปลกๆที่ตู้เสื้อผ้า ก็อย่าลุกไปเปิดดูล่ะ

    ถ้าไม่อย่างนั้น จีรวรรณก็จะตามคุณไป...ทุกๆที่...

    สุดท้ายนี้ ผมอยากบอกคุณว่า


    โ ช ค ดี น ะ ค รั บ

แบ่งปันหน้านี้